ถ้าพูดถึงลาแมร์ สาวๆทุกคนต้องนึกถึงสกินแคร์ที่ทรงคุณค่าเพื่อผิวอ่อนเยาว์อย่าง Crème De la Mer แน่นอน ซึ่งเป็นสกินแคร์ที่สาวๆอยากจะได้ลองสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ทิฟเองก็่เช่นกันค่ะ จดๆจ้องๆอยู่นานสองนาน ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อผิวหน้าเราควรลงทุน แต่ก็ติดที่ราคาค่อนข้างสูง คิดว่าถ้าได้ลองกับผิวจริงๆ อาจจะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้น แล้ววันนี้ทิฟก็ได้มีโอกาสได้ลองสกินแคร์ที่ทิฟใฝ่ฝันถึง ไม่ใช่แค่ Crème De la Mer แต่เป็นทุกขั้นตอนในการปรนนิบัติผิวเลยล่ะค่ะ
เพราะว่าตอนนี้ในทุกๆวันที่ 15 ของเดือน ทางลาแมร์ได้จัด LA MER SERVICE DAY ไว้ให้บริการสาวๆ (รวมไปถึงหนุ่มๆ) ได้ร่วมทดลองผลิตภัณฑ์ของลาแมร์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้รับการปรนนิบัติผิวตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ได้ร่วมพูดคุย ได้ทำความรู้จักกับ แบรนด์มากขึ้น ที่พิเศษสุดๆก็คือ จะมีผลิตภัณฑ์พิเศษที่ให้สาวๆได้ลองกันสลับสับเปลี่ยนกันไปไม่ซ้ำในแต่ละเดือน สำหรับเดือนมิถุนายนนี้ ทิฟจะได้ลอง LA MER THE CONCENTRATE ซึ่งเป็นตัวช่วยสำหรับผิวที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผิวที่โดนความร้อน หลังทำเลเซอร์ ทรีทเม้นท์ ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้ดี และยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวริ้วรอย ช่วยให้ผิวกลับมาดูสดใสอ่อนเยาว์ พอได้ยินแบบนี้ ทิฟเริ่มสนใจตัวนี้ขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ
ก่อนที่เราจะเริ่ม ทางพนักงานจะแนะนำและเล่าถึงประวัติความเป็นมาก่อนค่ะ ว่า ลาแมร์ เกิดขึ้นได้ยังไง ทิฟเองก็เพิ่งได้รู้วันนี้แหละค่ะว่าผู้คิดค้น ลาแมร์ เป็นผู้ชาย ทิฟจะเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าเกิดจาก นักฟิสิกส์ ที่ชื่อว่า ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ ได้ประสบอุบัติเหตุในห้องทดลอง เค้าจึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวของเค้า และได้ใช้เวลาทดลอง 12 ปีเต็ม มากถึง 6,000 ครั้ง จนได้พบว่า สิ่งที่ช่วยฟื้นฟูผิวเค้าได้คือ สาหร่ายซีเคลป์ที่ผ่านกระบวนการสกัดมาเป็น Miracle Broth ที่อยู่ใน La Mer ทุกๆตัว ทีนี้เราก็ได้รู้ความเป็นมาและสิ่งที่ทำให้ลาแมร์มีความพิเศษแล้ว เราก็เริ่มขั้นตอนแรกได้เลยค่ะ
เริ่มจากการคลีนผิวด้วย The Cleansing Micellar Water ถ้าใครไม่สะดวกคลีนทั้งหน้า แจ้งได้เลยนะคะ ทางพนักงานจะเว้นช่วงตา คิ้ว และ ริมฝีปากไว้ให้ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะปล่อยให้เราเปลือยผิวกลับบ้าน หลังจากที่เราได้ลองผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ครบทุกตัว ทางพนักงานจะลงงานผิวให้เราใหม่แน่นอน ทั้งได้ลองสกินแคร์ และเมคอัพในครั้งเดียวเลย
ขั้นตอนต่อมา ตามด้วย The Tonic ขวดนี้ปรับสภาพผิวหลังทำความสะอาด รู้สึกผิวสดชื่นดีค่ะ
The Treatment Lotion ขวดนี้เป็นขั้นตอนแรกของการบำรุง เป็นตัวที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการบำรุงผิวในทุกๆขั้นตอน สำหรับใครที่สงสัยอะไร อยากทราบรายละเอียดตัวไหนเป็นพิเศษ ถามได้เลยนะคะ พนักงานให้คำแนะนำได้ดี และสุภาพมากๆ ประทับใจมากค่ะ
มาถึงคนพิเศษของเรา The Concentrate ขวดนี้จริงๆพนักงานแนะนำว่าให้เราใช้แค่เฉพาะช่วงที่ผิวมีปัญหาก็พอค่ะ หรือว่าวันที่เรารู้ว่าเราจะต้องไปเจอแดดแรงๆ ไปต่างประเทศ อากาศเปลี่ยน หรือก่อนและหลังทำเลเซอร์ หรือทำทรีทเม้นท์ เพราะว่าเค้ามี Miracle Broth เข้มข้นสูงถึง 5 เท่า ซึ่งจะช่วยปลอบประโลม และฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดีและในขั้นตอนนี้พนักงานยังได้ให้เทคนิคดีๆกับทิฟในการทำทรีทเม้นท์ผิวด้วยตัวเองโดยการนวดกระตุ้นบริเวณผิวหน้าเพื่อให้ได้รับการบำรุงได้อย่างเต็มที่ โดยการนวดวนทั่วผิวหน้าสามครั้งและใช้นิ้วมือดีดที่ผิวเพื่อกระตุ้นรูขุมขนเพื่อเปิดรับการบำรุง
ถัดมาจะเป็นการลงมอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีเนื้อให้เลือกมากมายตาม Lifestyle ของเรา วันนี้ไหนๆก็ไหนๆค่ะ ทิฟขอลอง Crème de la Mer ก่อนเลย ครีมที่เราใฝ่ฝันมาตลอด ซึ่ง Crème de la Mer นี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ตัวแรกอันโด่งดังของลาแมร์ เนื้อครีมจะค่อนข้างมีความเข้มข้น ซึ่งทิฟว่าเหมาะกับสาวๆที่ชอบนอนห้องแอร์ ส่วนสาวๆที่ต้องเจอแอร์บ้าง เจอแดดบ้างแบบทิฟ ในช่วงกลางวัน อาจจะใช้ The Moisturizing Soft Cream กระปุกตรงกลางก็เพียงพอ เพราะเนื้อจะบางเบากว่า ส่วนผู้ที่ชื่นชอบเนื้อสัมผัสบางเบา ใช้เป็นกระปุกทางซ้ายสุดนะคะ จะเป็นแบบเนื้อเจล เนื้อบางเบาแต่ยังคงความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี
ส่วนตัวแล้ว จากความรู้สึกที่ได้ลอง Crème de la Mer แล้ว สภาพผิวแบบไหนก็ใช้ได้นะคะ เพราะเวลาที่เราจะลงครีมที่ผิวเราต้องทำการวอร์มเนื้อครีมก่อน จนกว่าครีมจะกลายเป็นในลักษณะเหมือนเจลใสๆ ถึงจะลงที่ผิวได้ ไม่รู้สึกเหนอะหนะ หรือว่าหนักผิวเลย อีกสิ่งนึงที่ชอบคือกลิ่นค่ะ กลิ่นของ La Mer จะมีความหอมที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ ทิฟชอบนะคะ หอมผ่อนคลายดีค่ะ
บำรุงผิวเสร็จเรียบร้อยทางพนักงานจะลงครีมกันแดด เนื้อ Fluid ให้เราก่อนที่จะเมคอัพค่ะ
ทิฟเคยมาลองรองพื้นเมื่อตอนที่รองพื้นได้เข้ามาที่ไทยใหม่ๆ ตอนนั้นยังมีสีให้เลือกค่อนข้างน้อย แต่ว่าตอนนี้เค้านำเข้ามาครบทั้ง 15 สีแล้วนะคะ ทีนี้เราก็เลือกได้เลยว่ารองพื้นเฉดไหนน่าจะเหมาะกับเรา เลือกมาสักสามเบอร์ค่ะ ลองที่ผิวหน้าเลยเราจะได้รู้ว่ารองพื้นสีไหนที่ใช่สำหรับเรา
ทิฟเลือกได้แล้วค่ะเป็นเบอร์ 22 นะคะ พอดีผิวเป๊ะเลย สำหรับใครที่ชอบงานผิวแบบทิฟ ทิฟว่าต้องชอบค่ะ เนื้อรองพื้นเค้าบางเบา แต่สามารถปกปิดจุดบกพร่องได้ดี และยังดูเป็นผิวมากๆ เหมาะกับคนผิวแห้ง - ผิวผสม อาจจะไม่ได้ควบคุมความมันได้ดีมากนัก แต่ถ้าใครชอบความเป็นธรรมชาติ ความฉ่ำ ผิวดูใส รองพื้นขวดนี้เหมาะค่ะ คุ้มกับราคา 4,500 บาทจริงๆค่ะ
คอนซีลใต้ตากันเล็กน้อยค่ะ จากนั้นก็เซตทุกอย่างด้วยแป้ง The Powder ที่มีชิมเมอร์เล็กๆ ช่วยทำให้ผิวเราดูเปล่งประกายมากขึ้น รองพื้นที่ว่าเนียนละเอียด ยิ่งลงแป้งตัวนี้ ผิวยิ่งดูเนียนละเอียดขึ้นอีก ดูจากภาพได้เลยค่ะ ไม่ยอมวางกระจกเลย ผิวสวยขึ้นมากจริงๆ
สรุปว่าทิฟประทับใจในการบริการมากๆ จากตอนแรกที่ได้แต่เดินผ่าน แอบมอง เพราะบางทีก็แอบเกรงใจค่ะ ถ้าเราจะคลีนหน้าแล้วลองทั้งหมดเลยก็ยังไงๆอยู่ แต่วันนี้ได้เข้ามานั่งในเคาน์เตอร์ และได้ลองใช้สกินแคร์รวมไปถึงเมคอัพหลายๆตัวของลาแมร์ ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเราควรจะลงทุนกับชิ้นไหนเป็นพิเศษ และชิ้นไหนที่เหมาะกับเราบ้าง ส่วนใครที่กังวลว่า เอ๊ะ ไปใช้บริการแล้วต้องซื้อมั้ย ถ้าไปลองเฉยๆ จะได้มั้ย ได้ค่ะ เท่าที่ทิฟใช้บริการ LA MER SERVICE DAY เป็นระยะเวลา 30 นาที ไม่มีการพูดเชิงขายของให้กับทิฟเลย มีแต่การพูดคุย ถามตอบ สิ่งที่เราสงสัย และแนะนำอย่างสุภาพเท่านั้น
หากสาวๆสนใจอยากจะใช้บริการ LA MER SERVICE DAY ทิฟแนะนำว่าให้โทรสำรองที่นั่งก่อนนะคะ สามารถเช็คเบอร์โทรศัพท์ และสาขาของ La Mer ที่สาวๆสะดวก ทางเว็บไซต์
http://www.lamer.co.th/serviceday ได้เลยค่ะ อย่าลืมนะคะ เฉพาะวันที่ 15 ของทุกๆเดือนเท่านั้น เวลา 12.00-19.30 น. ค่ะ
[Advertorial]
สัมผัสลาแมร์อย่างใกล้ชิด กับ Service Day บริการที่ให้สาวๆ ได้รับประสบการณ์ดูแลผิวในแบบฉบับของลาแมร์
เพราะว่าตอนนี้ในทุกๆวันที่ 15 ของเดือน ทางลาแมร์ได้จัด LA MER SERVICE DAY ไว้ให้บริการสาวๆ (รวมไปถึงหนุ่มๆ) ได้ร่วมทดลองผลิตภัณฑ์ของลาแมร์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้รับการปรนนิบัติผิวตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ได้ร่วมพูดคุย ได้ทำความรู้จักกับ แบรนด์มากขึ้น ที่พิเศษสุดๆก็คือ จะมีผลิตภัณฑ์พิเศษที่ให้สาวๆได้ลองกันสลับสับเปลี่ยนกันไปไม่ซ้ำในแต่ละเดือน สำหรับเดือนมิถุนายนนี้ ทิฟจะได้ลอง LA MER THE CONCENTRATE ซึ่งเป็นตัวช่วยสำหรับผิวที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นผิวที่โดนความร้อน หลังทำเลเซอร์ ทรีทเม้นท์ ช่วยให้ความชุ่มชื่นกับผิวได้ดี และยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวริ้วรอย ช่วยให้ผิวกลับมาดูสดใสอ่อนเยาว์ พอได้ยินแบบนี้ ทิฟเริ่มสนใจตัวนี้ขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ
ก่อนที่เราจะเริ่ม ทางพนักงานจะแนะนำและเล่าถึงประวัติความเป็นมาก่อนค่ะ ว่า ลาแมร์ เกิดขึ้นได้ยังไง ทิฟเองก็เพิ่งได้รู้วันนี้แหละค่ะว่าผู้คิดค้น ลาแมร์ เป็นผู้ชาย ทิฟจะเล่าให้ฟังคร่าวๆว่าเกิดจาก นักฟิสิกส์ ที่ชื่อว่า ดร.แมกซ์ ฮูเบอร์ ได้ประสบอุบัติเหตุในห้องทดลอง เค้าจึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวของเค้า และได้ใช้เวลาทดลอง 12 ปีเต็ม มากถึง 6,000 ครั้ง จนได้พบว่า สิ่งที่ช่วยฟื้นฟูผิวเค้าได้คือ สาหร่ายซีเคลป์ที่ผ่านกระบวนการสกัดมาเป็น Miracle Broth ที่อยู่ใน La Mer ทุกๆตัว ทีนี้เราก็ได้รู้ความเป็นมาและสิ่งที่ทำให้ลาแมร์มีความพิเศษแล้ว เราก็เริ่มขั้นตอนแรกได้เลยค่ะ
เริ่มจากการคลีนผิวด้วย The Cleansing Micellar Water ถ้าใครไม่สะดวกคลีนทั้งหน้า แจ้งได้เลยนะคะ ทางพนักงานจะเว้นช่วงตา คิ้ว และ ริมฝีปากไว้ให้ แล้วก็ไม่ต้องห่วงว่าเค้าจะปล่อยให้เราเปลือยผิวกลับบ้าน หลังจากที่เราได้ลองผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ครบทุกตัว ทางพนักงานจะลงงานผิวให้เราใหม่แน่นอน ทั้งได้ลองสกินแคร์ และเมคอัพในครั้งเดียวเลย
ขั้นตอนต่อมา ตามด้วย The Tonic ขวดนี้ปรับสภาพผิวหลังทำความสะอาด รู้สึกผิวสดชื่นดีค่ะ
The Treatment Lotion ขวดนี้เป็นขั้นตอนแรกของการบำรุง เป็นตัวที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการบำรุงผิวในทุกๆขั้นตอน สำหรับใครที่สงสัยอะไร อยากทราบรายละเอียดตัวไหนเป็นพิเศษ ถามได้เลยนะคะ พนักงานให้คำแนะนำได้ดี และสุภาพมากๆ ประทับใจมากค่ะ
มาถึงคนพิเศษของเรา The Concentrate ขวดนี้จริงๆพนักงานแนะนำว่าให้เราใช้แค่เฉพาะช่วงที่ผิวมีปัญหาก็พอค่ะ หรือว่าวันที่เรารู้ว่าเราจะต้องไปเจอแดดแรงๆ ไปต่างประเทศ อากาศเปลี่ยน หรือก่อนและหลังทำเลเซอร์ หรือทำทรีทเม้นท์ เพราะว่าเค้ามี Miracle Broth เข้มข้นสูงถึง 5 เท่า ซึ่งจะช่วยปลอบประโลม และฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดีและในขั้นตอนนี้พนักงานยังได้ให้เทคนิคดีๆกับทิฟในการทำทรีทเม้นท์ผิวด้วยตัวเองโดยการนวดกระตุ้นบริเวณผิวหน้าเพื่อให้ได้รับการบำรุงได้อย่างเต็มที่ โดยการนวดวนทั่วผิวหน้าสามครั้งและใช้นิ้วมือดีดที่ผิวเพื่อกระตุ้นรูขุมขนเพื่อเปิดรับการบำรุง
ถัดมาจะเป็นการลงมอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีเนื้อให้เลือกมากมายตาม Lifestyle ของเรา วันนี้ไหนๆก็ไหนๆค่ะ ทิฟขอลอง Crème de la Mer ก่อนเลย ครีมที่เราใฝ่ฝันมาตลอด ซึ่ง Crème de la Mer นี้เป็นมอยส์เจอไรเซอร์ตัวแรกอันโด่งดังของลาแมร์ เนื้อครีมจะค่อนข้างมีความเข้มข้น ซึ่งทิฟว่าเหมาะกับสาวๆที่ชอบนอนห้องแอร์ ส่วนสาวๆที่ต้องเจอแอร์บ้าง เจอแดดบ้างแบบทิฟ ในช่วงกลางวัน อาจจะใช้ The Moisturizing Soft Cream กระปุกตรงกลางก็เพียงพอ เพราะเนื้อจะบางเบากว่า ส่วนผู้ที่ชื่นชอบเนื้อสัมผัสบางเบา ใช้เป็นกระปุกทางซ้ายสุดนะคะ จะเป็นแบบเนื้อเจล เนื้อบางเบาแต่ยังคงความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี
ส่วนตัวแล้ว จากความรู้สึกที่ได้ลอง Crème de la Mer แล้ว สภาพผิวแบบไหนก็ใช้ได้นะคะ เพราะเวลาที่เราจะลงครีมที่ผิวเราต้องทำการวอร์มเนื้อครีมก่อน จนกว่าครีมจะกลายเป็นในลักษณะเหมือนเจลใสๆ ถึงจะลงที่ผิวได้ ไม่รู้สึกเหนอะหนะ หรือว่าหนักผิวเลย อีกสิ่งนึงที่ชอบคือกลิ่นค่ะ กลิ่นของ La Mer จะมีความหอมที่เป็นเอกลักษณ์มากๆ ทิฟชอบนะคะ หอมผ่อนคลายดีค่ะ
ทิฟเคยมาลองรองพื้นเมื่อตอนที่รองพื้นได้เข้ามาที่ไทยใหม่ๆ ตอนนั้นยังมีสีให้เลือกค่อนข้างน้อย แต่ว่าตอนนี้เค้านำเข้ามาครบทั้ง 15 สีแล้วนะคะ ทีนี้เราก็เลือกได้เลยว่ารองพื้นเฉดไหนน่าจะเหมาะกับเรา เลือกมาสักสามเบอร์ค่ะ ลองที่ผิวหน้าเลยเราจะได้รู้ว่ารองพื้นสีไหนที่ใช่สำหรับเรา
ทิฟเลือกได้แล้วค่ะเป็นเบอร์ 22 นะคะ พอดีผิวเป๊ะเลย สำหรับใครที่ชอบงานผิวแบบทิฟ ทิฟว่าต้องชอบค่ะ เนื้อรองพื้นเค้าบางเบา แต่สามารถปกปิดจุดบกพร่องได้ดี และยังดูเป็นผิวมากๆ เหมาะกับคนผิวแห้ง - ผิวผสม อาจจะไม่ได้ควบคุมความมันได้ดีมากนัก แต่ถ้าใครชอบความเป็นธรรมชาติ ความฉ่ำ ผิวดูใส รองพื้นขวดนี้เหมาะค่ะ คุ้มกับราคา 4,500 บาทจริงๆค่ะ
คอนซีลใต้ตากันเล็กน้อยค่ะ จากนั้นก็เซตทุกอย่างด้วยแป้ง The Powder ที่มีชิมเมอร์เล็กๆ ช่วยทำให้ผิวเราดูเปล่งประกายมากขึ้น รองพื้นที่ว่าเนียนละเอียด ยิ่งลงแป้งตัวนี้ ผิวยิ่งดูเนียนละเอียดขึ้นอีก ดูจากภาพได้เลยค่ะ ไม่ยอมวางกระจกเลย ผิวสวยขึ้นมากจริงๆ
สรุปว่าทิฟประทับใจในการบริการมากๆ จากตอนแรกที่ได้แต่เดินผ่าน แอบมอง เพราะบางทีก็แอบเกรงใจค่ะ ถ้าเราจะคลีนหน้าแล้วลองทั้งหมดเลยก็ยังไงๆอยู่ แต่วันนี้ได้เข้ามานั่งในเคาน์เตอร์ และได้ลองใช้สกินแคร์รวมไปถึงเมคอัพหลายๆตัวของลาแมร์ ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเราควรจะลงทุนกับชิ้นไหนเป็นพิเศษ และชิ้นไหนที่เหมาะกับเราบ้าง ส่วนใครที่กังวลว่า เอ๊ะ ไปใช้บริการแล้วต้องซื้อมั้ย ถ้าไปลองเฉยๆ จะได้มั้ย ได้ค่ะ เท่าที่ทิฟใช้บริการ LA MER SERVICE DAY เป็นระยะเวลา 30 นาที ไม่มีการพูดเชิงขายของให้กับทิฟเลย มีแต่การพูดคุย ถามตอบ สิ่งที่เราสงสัย และแนะนำอย่างสุภาพเท่านั้น
หากสาวๆสนใจอยากจะใช้บริการ LA MER SERVICE DAY ทิฟแนะนำว่าให้โทรสำรองที่นั่งก่อนนะคะ สามารถเช็คเบอร์โทรศัพท์ และสาขาของ La Mer ที่สาวๆสะดวก ทางเว็บไซต์ http://www.lamer.co.th/serviceday ได้เลยค่ะ อย่าลืมนะคะ เฉพาะวันที่ 15 ของทุกๆเดือนเท่านั้น เวลา 12.00-19.30 น. ค่ะ
[Advertorial]