Jaisalmer เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองสีทอง (The Golden City)
และเป็นหนึ่งในเมืองดังสามสีของรัฐราชสถาน (Rajasthan)
อีกสองเมืองคือชัยปุระ (Jaipur) หรือเมืองสีชมพู
และ Jodhpur (ออกเสียงว่าโจ๊ดปู) หรือเมืองสีฟ้า
ที่เรียกว่าเมืองสีทองก็เพราะตัวอาคารบ้านเรือนที่นี่
มักสร้างด้วยหินทราย ทำให้ผนังและกำแพงเป็นสีเหลืองทอง
สีเดียวกับทราย แถมภูมิประเทศรอบๆ ก็แห้งแล้ง
ตามสไตล์เมืองติดทะเลทราย วิวมุมสูงของเมืองนี้
จึงเป็นโทนสีเหลืองกลืนกันไปหมด
เราเดินทางมาถึง Jaisalmer ตอนเช้าตรู่
ลองค้นหาห้องพักในเว็บดู ราคาถูกมาก
ราคาต่ำสุดคือคืนละ 30 บาท แม่เจ้า...
ทำเงินหายตอนเดินตลาดนัดแถวบ้านยังเยอะกว่านี้เลย
แต่เราเลือกพักที่ Abu Safari (80 บาท)
เพราะชอบสภาพห้องมากกว่าที่อื่น
สิ่งแรกที่โฮสเทลเหล่านี้จะทำตอนเช็กอินคือ
ขายทัวร์นอนกลางทะเลทรายทาร์ (Thar Desert)
นอกจากจะได้ขี่อูฐแล้ว ทัวร์นี้ยังมีอาหารให้พร้อม
ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊งสุดๆ ระหว่างรอรถมารับ
จะอาบน้ำ เล่นเน็ต หรือนอนพักผ่อนที่โฮสเทลก็ได้
ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ล็อกเกอร์ก็ได้
แถมกลับมาจากทัวร์ อยากอาบน้ำ
แล้วพักผ่อนให้หายเหนื่อยก็ทำได้อีก
ไม่คิดเงินเพิ่ม "No extra charges"
ตอนนั้นเราก็เบลอๆ เนาะ ยังตื่นไม่เต็มตา
พนักงานก็มาขายน้ำไหลไฟดับ บอกว่าคุ้มมาก
"Very cheap, this is the cheapest!"
ด้วยความที่ใจอยากเซลงไปนอนบนเตียงสุดๆ
เลยเออออห่อหมกไป เห็นว่านางเป็นคนออสเตรเลีย
คิดเอาเองว่าน่าจะเข้าใจหัวอกนักท่องเที่ยวตาดำๆ
ไม่หลอกเราหรอกเนอะ เลยโอเค... รูดบัตรเลยละกัน
สรุปอินี่โดนไป 1,800 รูปีอินเดีย (900 บาท)
ซึ่งตอนหลังมารู้ว่าราคาทัวร์นี้มีหลากหลายมาก
มีทั้งที่ถูกและก็แพงกว่าที่เราจ่ายไป
ขึ้นอยู่กับโฮสเทลและโชคชะตา ตามสไตล์อินเดีย
ที่หาราคากลางไม่ค่อยจะได้ ตอนนั้นใกล้จะจบทริปแล้ว
แต่เงินยังเหลือเยอะ เราก็เลยยอมทุ่มทุน
ตอนที่เห็นราคาห้องพักในเว็บถูกเว่อร์วัง
ก็ว่าอยู่ว่าเอากำไรมาจากไหนกัน
พอจ่ายค่าทัวร์ไปเท่านั้นแหละ หลู่เรื่อง
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาที่นี่
ร้อยทั้งร้อยก็ต้องอยากมีประสบการณ์
นอนกลางทะเลทรายกันทั้งนั้น จริงมะ
ใครจะมาเดินเล่นชมเมืองชิลๆ กัน
สภาพเมือง Jaisalmer ไม่ได้ต่างจากเมืองอื่นในรัฐนี้เลย
มีป้อม มีวัด มีวังเก่า แนวเดียวกันไปหมด
ก่อนเดินทางก็ต้องหาข้อมูลกันนิดหน่อย
เอาแบบให้เวลาไปเมาท์กับนักท่องเที่ยวคนอื่น
แล้วพอพยักหน้าตามน้ำตามเรื่องที่เขาพูดกันได้บ้าง
หลายบล็อกบอกว่า ปาร์ตี้กลางทะเลทรายที่นี่
เป็น the best party of my life! เลยนะ
เราก็ อุ๊ย มีปาร์ตี้ด้วย ต้องมีผู้ให้ส่องเพลินแน่ๆ
รีบวิ่งลงไปเช็กกับเจ๊คนขายทัวร์ว่ามีปาร์ตี้ชัวร์นะ
ชีก็ตอบว่าใช่ มีคนไปเยอะ สนุกสนานแน่นอน
...เอ้อ คุยกับเจ๊แล้วก็ใจชื้นเนาะ
รถยนต์คันใหญ่มาจอดหน้าที่พักตอนบ่ายโมง
มีชายหนุ่มสองคนมาร่วมแจมด้วย
คนนึงมาจากอเมริกา อีกคนมาจากเนเธอร์แลนด์
พอเป็นอาหารตาอาหารใจได้กรุบกริบ
เดี๋ยวคงมีนักท่องเที่ยวในรถคันอื่นๆ ตามไปสมทบแน่
คืนนี้จะต้องเป็น the night of my life!
ยิ่งขับออกมาจากตัวเมืองมากเท่าไหร่
ก็เริ่มมีบ้านเรือนน้อยลง
รอบข้างเริ่มกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แห้งแล้ง
มีรีสอร์ตบ้างประปราย ขับมาได้เกือบชั่วโมง
รถก็จอดให้เราลงริมถนนใหญ่
ที่นั่นมีชายอินเดียสองคนรอเราอยู่พร้อมอูฐสามตัว
อูฐแต่ละตัวตั้งชื่อตามนักร้องชื่อดัง
ตัวที่เราขี่ชื่อ Shakira
ขี่อูฐครั้งแรกไม่สนุกเหมือนที่จินตนาการไว้
แถมพอมันยืนแล้วโคตรจะสูง เสียวเว่อร์
ตกไปนี่ต้องมีบางส่วนใช้งานไม่ได้บ้างล่ะ
เวลาน้องเดินแต่ละก้าวตัวก็จะโยกไปโยกมา
เรียกได้ว่า ไม่ต้องหาสามีอีกแล้วค่ะ เพราะน้องอูฐ...
โยก โยก โยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลกสุดๆ
เราต้องขี่อูฐอีกเกือบชั่วโมงเข้าไปในทะเลทราย
ด้วยความอยากลองของ
อยากฝึกภาษาฮินดีที่ร่ำเรียนมา
กะจะบอกลุงไกด์ว่า... ขอหนูลงเดินได้ไหม
ลุงพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเข้าใจ
...แล้วให้มันวิ่งจ้า ฮือ
ทะเลทรายที่เรามานอนไม่ได้ใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ถ้าขึ้นไปยืนบนเนินทรายสูงๆ
ก็ยังพอเห็นพื้นที่ราบเรียบภายนอกอยู่
ห่างออกไปเกือบร้อยโลก็คือประเทศปากีสถานแล้ว
เรามองเห็นเต็นท์กางอยู่สองสามจุด
แต่นั่นไม่ใช่ที่นอนของเรา อ้าว เราก็งง
ทำไมนั่นไม่ใช่ที่นอนของเรา แล้วเราจะนอนที่ไหน
มารู้ก็ตอนที่ไกด์เอาผ้านวมหนาๆ
มาปูบนพื้นทรายแล้วบอกว่า
"This is your bed" นี่แหละ
เต็นท์นั่นเอาไว้เก็บที่นอนเฉยๆ
นี่เราจ่ายเงิน 900 บาทมานอนแบบนี้จริงหรอ
ค่าห้องพักที่โฮสเทล 80 บาท มีแอร์ มีเตียงพร้อม
นี่เรามาทำอะไรที่นี่กันวะ (ฮ่า)
ไกด์ปล่อยให้เราเดินเล่น สนทนากันตามอัธยาศัย
ส่วนพวกนางขอตัวไปทำอาหารเย็น
แน่นอนว่าเป็นมังสวิรัติ ตามวิถีหลักของคนอินเดีย
จริงๆ ถ้าใครอยากกินอะไรรีเควสต์ได้
...แต่ต้องจ่ายเพิ่ม
อาหารที่มีก็พอกินได้ มีแป้งนาน มีแกง
มีผลไม้นิดหน่อย น้ำก็มีเตรียมไว้ให้
แถมมีเบียร์ให้สั่งได้ไม่อั้นอีกด้วย (แต่จ่ายเพิ่ม)
เขามีคนคอยมาส่งให้ทั้งคืน
คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
อุตส่าห์หวังว่าจะมานอนดูทางช้างเผือกสักหน่อย
แต่ก็ดี เพราะมันทำให้กลางทะเลทรายไม่มืดมาก
สุดท้ายก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาเพิ่ม
มีเพียงเราสามคนกับไกด์อีกสองคน
ท่ามกลางเมล็ดทรายนับล้าน
เจ๊คนขายทัวร์คะ กลับไปเรามีเรื่องต้องคุยกัน!
ค่ำคืนเงียบสงัด แต่เรากลับชอบนะ
เราคุยกับหนุ่มทั้งสองตลอดคืน
คุยกันเรื่องความฝัน เรื่องนู้นเรื่องนี้
จากคนสามคนที่ต่างถิ่นต่างที่มา
แต่ก็ได้มารวมตัวกันภายใต้แสงจันทร์
โรแมนติกไปอีก...
ตัดภาพมาที่พวกมันโชว์รูปแฟนให้ดู
โอเค...เลิกคุย
ก่อนนอนเราได้ผ้านวมเพิ่มอีกผืนให้ห่มนอน
อากาศโคตรจะหนาว ต่ำกว่าสิบองศาอีก
อินเดียช่วงปลายปีหนาวสุดๆ
ใครจะไปต้องเตรียมตัวให้ดี
ผ้าห่มของเขาอบอุ่นมาก หลับสบายเลย
แต่พื้นฐานเป็นคนนอนดิ้น ตื่นมาอีกทีกลางดึก
เรากลิ้งออกไปแผ่หลาบนผืนทรายแล้ว
เช้ามานี่ทรายเต็มหน้าเต็มที่นอนไปหมด (ฮ่า)
ตอนเช้ามีอาหารให้อีกหนึ่งมื้อ เป็นไข่ต้ม
กับขนมปังปิ้ง พร้อมจัย (ชาอินเดีย)
เรามีเวลาได้เดินเล่นสักพัก จริงๆ ก็แล้วแต่เรา
ว่าอยากอยู่นานแค่ไหน ก่อนออกเดินทางกลับ
ขากลับไกด์คนนึงเดินจูงอูฐเหนื่อย
เลยขอขึ้นมานั่งกับหนุ่มอเมริกา
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ด้วย
เด็กที่นั่นตื่นเต้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก
วิ่งออกมาโบกไม้โบกมือกันใหญ่
เรากลับมาถึงที่พักในเมืองตอนเที่ยงกว่าๆ
ได้อาบน้ำชำระทรายจนโล่งตัว
เป็นค่ำคืนที่ไม่มีร่างกายส่วนใดโดนน้ำเลย
ดีนะที่อากาศเย็น เลยยังตัวหอมอยู่
...มั่นใจมาก!
ถ้าใครแวบไปแถบราชสถานต้องแวะไปเมืองนี้ให้ได้
จากชัยปุระ และ Jodhpur มีรถไปโดยตรงเลย
หรือใครอยู่นิวเดลีแล้วอยากมาก็มาได้
มีรถไฟมาถึงโดยตรงเลยเหมือนกัน
แต่ใช้เวลานานเว่อร์ ประมาณ 20 ชั่วโมงได้
นั่งกันตูดบานไปเลยค่ะ
ส่วนใครที่อยากไปคืนที่ปาร์ตี้สนุกๆ
ก็ต้องไปตามช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่
รับรองว่าสนุกสุดเหวี่ยงแน่นอน
...นอนคืนเดียว เอาไว้เมาท์กับเพื่อนได้เป็นปีเลย
ติดตามเรื่องเล่าสนุกๆ จากการเที่ยวธรรมชาติ
ตามประสาคนรักธรรมชาติ แต่ธรรมชาติไม่รัก
ได้ที่
https://www.facebook.com/mossyisnaturaldisaster/
หรือ
https://www.instagram.com/mossymouse/
[CR] นอนกลางดิน กินกลางทะเลทราย ริมชายแดนอินเดีย-ปากีสถาน ที่เมือง Jaisalmer
Jaisalmer เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเมืองสีทอง (The Golden City)
และเป็นหนึ่งในเมืองดังสามสีของรัฐราชสถาน (Rajasthan)
อีกสองเมืองคือชัยปุระ (Jaipur) หรือเมืองสีชมพู
และ Jodhpur (ออกเสียงว่าโจ๊ดปู) หรือเมืองสีฟ้า
ที่เรียกว่าเมืองสีทองก็เพราะตัวอาคารบ้านเรือนที่นี่
มักสร้างด้วยหินทราย ทำให้ผนังและกำแพงเป็นสีเหลืองทอง
สีเดียวกับทราย แถมภูมิประเทศรอบๆ ก็แห้งแล้ง
ตามสไตล์เมืองติดทะเลทราย วิวมุมสูงของเมืองนี้
จึงเป็นโทนสีเหลืองกลืนกันไปหมด
เราเดินทางมาถึง Jaisalmer ตอนเช้าตรู่
ลองค้นหาห้องพักในเว็บดู ราคาถูกมาก
ราคาต่ำสุดคือคืนละ 30 บาท แม่เจ้า...
ทำเงินหายตอนเดินตลาดนัดแถวบ้านยังเยอะกว่านี้เลย
แต่เราเลือกพักที่ Abu Safari (80 บาท)
เพราะชอบสภาพห้องมากกว่าที่อื่น
สิ่งแรกที่โฮสเทลเหล่านี้จะทำตอนเช็กอินคือ
ขายทัวร์นอนกลางทะเลทรายทาร์ (Thar Desert)
นอกจากจะได้ขี่อูฐแล้ว ทัวร์นี้ยังมีอาหารให้พร้อม
ไปแต่ตัวทัวร์ยกแก๊งสุดๆ ระหว่างรอรถมารับ
จะอาบน้ำ เล่นเน็ต หรือนอนพักผ่อนที่โฮสเทลก็ได้
ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ล็อกเกอร์ก็ได้
แถมกลับมาจากทัวร์ อยากอาบน้ำ
แล้วพักผ่อนให้หายเหนื่อยก็ทำได้อีก
ไม่คิดเงินเพิ่ม "No extra charges"
ตอนนั้นเราก็เบลอๆ เนาะ ยังตื่นไม่เต็มตา
พนักงานก็มาขายน้ำไหลไฟดับ บอกว่าคุ้มมาก
"Very cheap, this is the cheapest!"
ด้วยความที่ใจอยากเซลงไปนอนบนเตียงสุดๆ
เลยเออออห่อหมกไป เห็นว่านางเป็นคนออสเตรเลีย
คิดเอาเองว่าน่าจะเข้าใจหัวอกนักท่องเที่ยวตาดำๆ
ไม่หลอกเราหรอกเนอะ เลยโอเค... รูดบัตรเลยละกัน
สรุปอินี่โดนไป 1,800 รูปีอินเดีย (900 บาท)
ซึ่งตอนหลังมารู้ว่าราคาทัวร์นี้มีหลากหลายมาก
มีทั้งที่ถูกและก็แพงกว่าที่เราจ่ายไป
ขึ้นอยู่กับโฮสเทลและโชคชะตา ตามสไตล์อินเดีย
ที่หาราคากลางไม่ค่อยจะได้ ตอนนั้นใกล้จะจบทริปแล้ว
แต่เงินยังเหลือเยอะ เราก็เลยยอมทุ่มทุน
ตอนที่เห็นราคาห้องพักในเว็บถูกเว่อร์วัง
ก็ว่าอยู่ว่าเอากำไรมาจากไหนกัน
พอจ่ายค่าทัวร์ไปเท่านั้นแหละ หลู่เรื่อง
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่มาที่นี่
ร้อยทั้งร้อยก็ต้องอยากมีประสบการณ์
นอนกลางทะเลทรายกันทั้งนั้น จริงมะ
ใครจะมาเดินเล่นชมเมืองชิลๆ กัน
สภาพเมือง Jaisalmer ไม่ได้ต่างจากเมืองอื่นในรัฐนี้เลย
มีป้อม มีวัด มีวังเก่า แนวเดียวกันไปหมด
ก่อนเดินทางก็ต้องหาข้อมูลกันนิดหน่อย
เอาแบบให้เวลาไปเมาท์กับนักท่องเที่ยวคนอื่น
แล้วพอพยักหน้าตามน้ำตามเรื่องที่เขาพูดกันได้บ้าง
หลายบล็อกบอกว่า ปาร์ตี้กลางทะเลทรายที่นี่
เป็น the best party of my life! เลยนะ
เราก็ อุ๊ย มีปาร์ตี้ด้วย ต้องมีผู้ให้ส่องเพลินแน่ๆ
รีบวิ่งลงไปเช็กกับเจ๊คนขายทัวร์ว่ามีปาร์ตี้ชัวร์นะ
ชีก็ตอบว่าใช่ มีคนไปเยอะ สนุกสนานแน่นอน
...เอ้อ คุยกับเจ๊แล้วก็ใจชื้นเนาะ
รถยนต์คันใหญ่มาจอดหน้าที่พักตอนบ่ายโมง
มีชายหนุ่มสองคนมาร่วมแจมด้วย
คนนึงมาจากอเมริกา อีกคนมาจากเนเธอร์แลนด์
พอเป็นอาหารตาอาหารใจได้กรุบกริบ
เดี๋ยวคงมีนักท่องเที่ยวในรถคันอื่นๆ ตามไปสมทบแน่
คืนนี้จะต้องเป็น the night of my life!
ยิ่งขับออกมาจากตัวเมืองมากเท่าไหร่
ก็เริ่มมีบ้านเรือนน้อยลง
รอบข้างเริ่มกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แห้งแล้ง
มีรีสอร์ตบ้างประปราย ขับมาได้เกือบชั่วโมง
รถก็จอดให้เราลงริมถนนใหญ่
ที่นั่นมีชายอินเดียสองคนรอเราอยู่พร้อมอูฐสามตัว
อูฐแต่ละตัวตั้งชื่อตามนักร้องชื่อดัง
ตัวที่เราขี่ชื่อ Shakira
ขี่อูฐครั้งแรกไม่สนุกเหมือนที่จินตนาการไว้
แถมพอมันยืนแล้วโคตรจะสูง เสียวเว่อร์
ตกไปนี่ต้องมีบางส่วนใช้งานไม่ได้บ้างล่ะ
เวลาน้องเดินแต่ละก้าวตัวก็จะโยกไปโยกมา
เรียกได้ว่า ไม่ต้องหาสามีอีกแล้วค่ะ เพราะน้องอูฐ...
โยก โยก โยก โยกเข้าไปให้มันหลุดโลกสุดๆ
เราต้องขี่อูฐอีกเกือบชั่วโมงเข้าไปในทะเลทราย
ด้วยความอยากลองของ
อยากฝึกภาษาฮินดีที่ร่ำเรียนมา
กะจะบอกลุงไกด์ว่า... ขอหนูลงเดินได้ไหม
ลุงพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเข้าใจ
...แล้วให้มันวิ่งจ้า ฮือ
ทะเลทรายที่เรามานอนไม่ได้ใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ถ้าขึ้นไปยืนบนเนินทรายสูงๆ
ก็ยังพอเห็นพื้นที่ราบเรียบภายนอกอยู่
ห่างออกไปเกือบร้อยโลก็คือประเทศปากีสถานแล้ว
เรามองเห็นเต็นท์กางอยู่สองสามจุด
แต่นั่นไม่ใช่ที่นอนของเรา อ้าว เราก็งง
ทำไมนั่นไม่ใช่ที่นอนของเรา แล้วเราจะนอนที่ไหน
มารู้ก็ตอนที่ไกด์เอาผ้านวมหนาๆ
มาปูบนพื้นทรายแล้วบอกว่า
"This is your bed" นี่แหละ
เต็นท์นั่นเอาไว้เก็บที่นอนเฉยๆ
นี่เราจ่ายเงิน 900 บาทมานอนแบบนี้จริงหรอ
ค่าห้องพักที่โฮสเทล 80 บาท มีแอร์ มีเตียงพร้อม
นี่เรามาทำอะไรที่นี่กันวะ (ฮ่า)
ไกด์ปล่อยให้เราเดินเล่น สนทนากันตามอัธยาศัย
ส่วนพวกนางขอตัวไปทำอาหารเย็น
แน่นอนว่าเป็นมังสวิรัติ ตามวิถีหลักของคนอินเดีย
จริงๆ ถ้าใครอยากกินอะไรรีเควสต์ได้
...แต่ต้องจ่ายเพิ่ม
อาหารที่มีก็พอกินได้ มีแป้งนาน มีแกง
มีผลไม้นิดหน่อย น้ำก็มีเตรียมไว้ให้
แถมมีเบียร์ให้สั่งได้ไม่อั้นอีกด้วย (แต่จ่ายเพิ่ม)
เขามีคนคอยมาส่งให้ทั้งคืน
คืนนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง
อุตส่าห์หวังว่าจะมานอนดูทางช้างเผือกสักหน่อย
แต่ก็ดี เพราะมันทำให้กลางทะเลทรายไม่มืดมาก
สุดท้ายก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นมาเพิ่ม
มีเพียงเราสามคนกับไกด์อีกสองคน
ท่ามกลางเมล็ดทรายนับล้าน
เจ๊คนขายทัวร์คะ กลับไปเรามีเรื่องต้องคุยกัน!
ค่ำคืนเงียบสงัด แต่เรากลับชอบนะ
เราคุยกับหนุ่มทั้งสองตลอดคืน
คุยกันเรื่องความฝัน เรื่องนู้นเรื่องนี้
จากคนสามคนที่ต่างถิ่นต่างที่มา
แต่ก็ได้มารวมตัวกันภายใต้แสงจันทร์
โรแมนติกไปอีก...
ตัดภาพมาที่พวกมันโชว์รูปแฟนให้ดู
โอเค...เลิกคุย
ก่อนนอนเราได้ผ้านวมเพิ่มอีกผืนให้ห่มนอน
อากาศโคตรจะหนาว ต่ำกว่าสิบองศาอีก
อินเดียช่วงปลายปีหนาวสุดๆ
ใครจะไปต้องเตรียมตัวให้ดี
ผ้าห่มของเขาอบอุ่นมาก หลับสบายเลย
แต่พื้นฐานเป็นคนนอนดิ้น ตื่นมาอีกทีกลางดึก
เรากลิ้งออกไปแผ่หลาบนผืนทรายแล้ว
เช้ามานี่ทรายเต็มหน้าเต็มที่นอนไปหมด (ฮ่า)
ตอนเช้ามีอาหารให้อีกหนึ่งมื้อ เป็นไข่ต้ม
กับขนมปังปิ้ง พร้อมจัย (ชาอินเดีย)
เรามีเวลาได้เดินเล่นสักพัก จริงๆ ก็แล้วแต่เรา
ว่าอยากอยู่นานแค่ไหน ก่อนออกเดินทางกลับ
ขากลับไกด์คนนึงเดินจูงอูฐเหนื่อย
เลยขอขึ้นมานั่งกับหนุ่มอเมริกา
ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ด้วย
เด็กที่นั่นตื่นเต้นกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก
วิ่งออกมาโบกไม้โบกมือกันใหญ่
เรากลับมาถึงที่พักในเมืองตอนเที่ยงกว่าๆ
ได้อาบน้ำชำระทรายจนโล่งตัว
เป็นค่ำคืนที่ไม่มีร่างกายส่วนใดโดนน้ำเลย
ดีนะที่อากาศเย็น เลยยังตัวหอมอยู่
...มั่นใจมาก!
ถ้าใครแวบไปแถบราชสถานต้องแวะไปเมืองนี้ให้ได้
จากชัยปุระ และ Jodhpur มีรถไปโดยตรงเลย
หรือใครอยู่นิวเดลีแล้วอยากมาก็มาได้
มีรถไฟมาถึงโดยตรงเลยเหมือนกัน
แต่ใช้เวลานานเว่อร์ ประมาณ 20 ชั่วโมงได้
นั่งกันตูดบานไปเลยค่ะ
ส่วนใครที่อยากไปคืนที่ปาร์ตี้สนุกๆ
ก็ต้องไปตามช่วงเทศกาล เช่น ปีใหม่
รับรองว่าสนุกสุดเหวี่ยงแน่นอน
...นอนคืนเดียว เอาไว้เมาท์กับเพื่อนได้เป็นปีเลย
ติดตามเรื่องเล่าสนุกๆ จากการเที่ยวธรรมชาติ
ตามประสาคนรักธรรมชาติ แต่ธรรมชาติไม่รัก
ได้ที่ https://www.facebook.com/mossyisnaturaldisaster/
หรือ https://www.instagram.com/mossymouse/