ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม มีแต่เสียง 4/6/2017 - ข้ามเวลาที่ฟิลลาเดเฟีย

กระทู้คำถาม

ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับอมยิ้ม17 สมาชิกห้องเพลงทุกๆท่าน วันนี้ผม MC WANG JIE (แอ๊ด) เข้าประจำการ อีก 1 วันครับอมยิ้ม36

วันนี้ จะเล่าเรื่องราวของ ปฏิบัติการทดสอบ การเดินทางข้ามกาลเวลาที่ฟิลลาเดลเฟีย ครับ


การทดลองฟิลาเดอเฟีย (Philadelphia Experiment) เป็นปฏิบัติการลับของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1943 เพื่อทดลองหาวิธีทำให้เรือรบหลบรอดจากการตรวจจับได้โดยเรดาร์ของฝ่ายศัตรูในเวลาทำสงคราม แต่มีเหตุขัดข้องหรือเหตุร้ายที่แปลกประหลาดบางอย่างเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องระงับยกเลิกโครงการนี้ โดยไม่เปิดเผยผลการทดลองใด ๆ ต่อสาธารณชนทั้งสิ้น แถมยังปฏิเสธอีกต่างหากว่าการทดลองดังกล่าว ไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้เกิดข่าวลือตามมามากมาย และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ปกปิดข้อมูลลับบางอย่างเอาไว้ เช่นเดียวกับการปกปิดข้อมูลเรื่องราวของ UFO และมนุษย์ต่างดาว !!!

อย่างไรก็ตาม จากการทดลองในครั้งนี้ มีรายงานระบุว่า สหรัฐฯสามารถได้เทคโนโลยีใหม่มาครอบครอง (ในยุคนั้น) นั่นคือ ปีศาจล่องหน Stealth  เครื่องบินที่สามารถหลบเรดาห์ของข้าศึกศัตรูได้ และได้นํามาใช้ในศึก สงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

เช้าวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1943 เวลา 9:00 น. การทดลองที่นำไปสู่การเดินทางข้ามเวลาได้เริ่มขึ้น บนเรือพิฆาต เอลดริจ หรือ ดีอี 173 (USS Eldridge - DE-173) เครื่องสร้างพลังงานสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน มันสร้างหมอกควันสีเขียวขึ้นทีละน้อยรอบ ๆ ลำเรือ และเมื่อหมอกควันสีเขียว เริ่มจางลง เรือเอลดริจ ก็หายไปจากจอเรดาร์ และจากสายตาผู้คนที่เฝ้าดูการทดลองครั้งนั้น

ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีคำสั่งให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก หมอกควันสีเขียวเริ่มก่อตัวอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์!

บรรดาลูกเรือทั้งหมดที่อยู่บนกราบเรือ มีอาการคลื่นเหียน อาเจียน ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ กองทัพเรือมีคำสั่ง ให้เปลี่ยนลูกเรือชุดใหม่ เพื่อทำการทดลองต่อไป แต่ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน (Dr. John von Neumann) นักวิทยาศาสตร์ผู้รับผิดชอบการทดลองครั้งนี้ ได้คัดค้านขอให้ยุติการทดลองไว้ชั่วคราว เพื่อขอเวลาในการตรวจหา สาเหตุและทำการแก้ไขเสียก่อน




กองทัพเรือขีดเส้นตายให้กับ ดร. จอห์น ไว้แค่วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 โดยไม่ได้ให้เหตุผลเลยว่าทำไมการทดลองจึงต้องมีขึ้นภายในวันที่ 12 สิงหาคม นอกเสียจากบอกกับ ดร. จอห์น ว่า พวกเขายังไม่ต้องการให้เรือรบหายไปจริงๆ จากสายตา พวกเขาต้องการเพียงแค่ให้เรือรบไม่ปรากฏบนจอเรดาร์เท่านั้น  หลังจากที่ ดร.จอห์น ได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว การทดลองเรือรบล่องหน ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันเส้นตายที่กองทัพเรือ กำหนดไว้ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1943 ลูกเรือชุดใหม่ได้ขึ้นประจำการบน เรือพิฆาตเอลดริจ เครื่องสร้างสนามแม่เหล็กเริ่มทำงาน เวลาผ่านไปราว 60 วินาที ทุกอย่างดูไปได้สวย เรือพิฆาตเอลดริจ เริ่มหายไปจากจอเรดาร์ แต่ก็ยังสามารถมองเห็นเป็นรูป โครงเรือลางๆ ได้ด้วยตา แต่ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างแว่บขึ้น

เรือพิฆาตเอลดริจ ได้หายไปจากน่านน้ำ!
ดร. จอห์น เริ่มมีอาการระส่ำระสาย เขาไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาได้แก้ไขเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กแล้ว แต่ทำไมเหตุการณ์เดิมยังเกิดขึ้น พวกเขาพยายามส่งวิทยุติดต่อกับเรือพิฆาตเอลดริจ แต่ก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด

ราว 4 ชั่วโมงต่อมา เรือพิฆาตเอลดริจก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่เดิม !!! เสาอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ รับ-ส่งคลื่นวิทยุหักโค่นลง เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต่างก็รีบรุดไปที่เรือพิฆาตเอลดริจทันที เมื่อไปถึงเรือพวกเขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่พบ นั่นคือ ร่างของลูกเรือ 2 คน ถูกดูดจนตัวติดกับพื้นเรือ เหมือนประหนึ่งว่าร่างกายของเขาเป็นโลหะชิ้นหนึ่ง เช่นเดียวกับลูกเรืออีก 2 คน ที่ถูกผนังเรือดูดเข้าไปจนติดเป็นส่วนหนึ่งของผนัง ส่วนลูกเรือคนที่ 5 นับว่าโชคดีหน่อยที่เพียงแค่แขนข้างหนึ่งของเขาเท่านั้นที่ติดอยู่กับผนังเรือ เขายังมีชีวิตอยู่เพียงแต่ว่าต้องตัดแขนเขาเพื่อแยกตัวเขาออกจากผนังเรือ ลูกเรือหลายคนถูกไฟไหม้ตามร่างกาย และทุกคนมีอาการสติแตก ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จะมีก็แต่ลูกเรือที่ประจำการอยู่ในห้องด้านล่างของตัวเรือเท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตราย และหนึ่งในนั้นก็คือ อัลเฟรด เบเลก (Alfred Bielek) หรือชื่อเดิมคือ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน (Edward A. Cameron)


เมื่อเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กทำงานเต็มที่ เหล่าลูกเรือก็พบว่าเรือพิฆาตเอลดริจ ได้ปรากฏตัวบนฝั่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงได้ลงจากเรือเพื่อมาสำรวจพื้นที่ พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และสุนัขตรวจตราลาดตระเวณอยู่เต็มไปทั่วบริเวณ เมื่อมองไปบนท้องฟ้าพวกเขาก็เห็นเฮลิคอปเตอร์ ฉายไฟสปอตไลท์มาที่พวกเขา แต่ตอนนั้นพวกเขาไม่รู้จักเฮลิคอปเตอร์ !!!

ครู่เดียวเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็กรูกันมาที่พวกเขาแล้วพาพวกเขาลงไปยังห้องใต้ดิน พวกเขาพบกับชายสูงอายุคนหนึ่ง ซึ่งได้แนะนำตัวเองว่าเขาคือ ดร. จอห์น ฟอน นิวแมน !!! อัลเฟรดถึงกับช็อค เพราะเขาเพิ่งจะจากกับ ดร.จอห์น เมื่อสักครู่นี้เอง และเขาก็หนุ่มกว่านี้มาก ดร.จอห์น อธิบายให้ฟังว่า สถานที่นี้คือ สถานที่ทดลอง โครงการฟินิกส์ (Phoenix Project) ตั้งอยู่ที่มอนทอก เมืองลองไอส์แลนด์ (Montauk, Long Island)

ดร.จอห์นบอกกับพวกเขาว่าวันนี้คือ วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1983 !!

ดร. จอห์น เล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ "การทดลองฟิลาเดเฟีย" ในปี ค.ศ. 1943 จากนั้นก็สั่งให้ทุกคนกลับไปที่เรือ และให้ปิดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กโดยเร็ว การทดลองฟิลาเดเฟียในปี ค.ศ. 1943 และการทดลองฟินิกส์ ในปี ค.ศ. 1983 ได้ก่อให้เกิด "ช่องว่าง" ของเวลาและได้ดูดเอาเรือพิฆาตเอลดริจ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ซึ่งมีเวลาห่างกัน 40 ปี

ดร. จอห์น สั่งให้ทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ ที่จะหยุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็ก ไม่เช่นนั้นสนามแม่เหล็กจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เกิดปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อโลก  เมื่อพวกเขากลับไปที่เรือ ก็ช่วยกันหยิบขวานขึ้นมาทุบไปบนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า แผงควบคุม และอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดเครื่องสร้างสนามแม่เหล็กก็หยุดทำงาน และเรือพิฆาตเอลดริจ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่เดิม ในปี ค.ศ. 1943 อีกครั้ง

ลูกเรือทุกคนที่รอดชีวิตกลับมาได้จากการทดลองครั้งนั้น ได้ถูกรัฐบาลจัดการล้างสมอง ลบความจำจนหมดสิ้น และได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ พร้อมทั้งสร้างข้อมูลชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา และนี่คือเหตุผลที่ เอ็ดวาร์ด เอ คาเมรอน ได้หายไปจากโลก และมี อัลเฟรด เบเลก ขึ้นมาแทน

และหลังจากนั้น ทางการสหรัฐฯ ก็บอกว่า ไม่เคยมีการทดลองดังกล่าวเกิดขึ้น เรื่องเรือหายแล้วกลับมามีคนติดกับส่วนต่างๆของเรือ หรือเรื่องการเดินทางข้ามเวลา เป็นเรื่องแต่งเรื่องโกหกหลอกลวงทั้งสิ้น ซึ่งหลายคนก็เชื่อ และหลายคนก็ไม่เชื่อ จึงทำให้เกิดข่าวลือตามมามากมาย และทำให้เกิดข้อสงสัยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ปกปิดข้อมูลลับบางอย่างเอาไว้

และเรื่องการทดลองฟิลลาเดลเฟียนี้ เคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ในชื่อเดียวกัน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตัวอย่างภาพยนตร์


เพิ่มเติม : สิ่งที่น่าสนใจ เกี่ยวกับ "การเดินทางข้ามกาลเวลา"

หากเราเดินทางข้ามเวลาหนึ่ง ไปยังอีกเวลาหนึ่งได้ จะทำให้เกิด "โลกคู่ขนาน" คือ เกิดมิติซ้อนมิติ คนๆหนึ่ง จะกลายเป็นมีสองคน ยิ่งเดินทางมากกว่า 1 รอบ ก็จะกลายเป็นหลายคนไปได้ เหมือนในภาพยนตร์เรื่อง BACK TO THE FUTURE ภาค 1 และ 2 เราจะเห็นพระเอกคือ มาร์ติน แม็คฟลาย ปรากฏให้เห็นสองคนก็มี สามคนก็มี ณ สถานที่เดียวกัน

มาร์ตี้ แม็คฟลาย 2 คน ณ ที่เดียวกัน ใน BACK TO THE FURURE-2

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตัวอย่างจากภาพยนตร์


คำถามที่น่าคิด.... ถ้าท่านมีโอกาส เดินทางข้ามเวลาไป ทั้งกลับไปในอดีต เพื่อแก้ปัญหาเรื่องราวบางอย่างให้เป็นไปดังใจที่ต้องการได้ หรือข้ามไปดูอนาคตข้างหน้าได้ จะไปไหม ? ถ้าไปในอนาคต จะไปทำอะไร ??? อมยิ้ม04

เอกสารอ้างอิง
-http://en.wikipedia.org/wiki/Philadelphia_Experiment
-http://www.crystalinks.com/phila.html
-http://skepdic.com/philadel.html
-หนังสือ The Philadelphia Experiment เขียนโดย Charles Berlitz
เครดิต จากกระทู้โกดังเก่า ของคุณ : Mr.Terran http://topicstock.ppantip.com/wahkor/topicstock/2007/02/X5158670/X5158670.html

NOTE : ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป MC แอ๊ด จะเข้าประจำการ เฉพาะวันเสาร์ และ/หรือ วันอาทิตย์ เท่านั้น เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ ต้องสอนหนังสือเต็มเวลา ตั้งแต่เช้าถึงเย็น จึงขอแจ้งให้พี่น้อง MC ทุกท่านทราบโดยทั่วกันครับ
อมยิ้ม04

และต่อแต่นี้เป็นต้นไป เชิญทุกท่าน เข้าสู่มิติแห่งการแลกเปลี่ยนเสียงเพลงแก่กันและกันตามอัธยาศัย ได้เลยครับ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 28
เอาตึกล่องหนมาแจมกับเรือรบล่องหน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

Tower Infinity  (ทาวเวอร์ อินฟินิตี้) หอคอยล่องหน  

เมื่อเดือนกันยายน 2556 รัฐบาลเกาหลีใต้ได้อนุมัติแผนการก่อสร้างโครงการตึกระฟ้าล่องหน (Invisible skyscraper)
1 ในนวัตกรรมที่ดีที่สุดแห่งปี 2556 จากนิตยสารไทม์



ทาวเวอร์ อินฟินิตี้ เป็นอาคารที่มีความสูงถึง 450 เมตรตั้งอยู่ชานกรุงโซล ใกล้กับสนามบินนานาชาติอินชอน
ออกแบบโดย GDS Architects บริษัทสถาปนิกชื่อดังของอเมริกา

ภายในอาคารจะถูกพัฒนาเป็นแหล่งรวมความบันเทิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ธีมพาร์ค ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ รถไฟเหาะ
สวนน้ำ รวมถึงอพาร์ทเมนต์ และเป็นอาคารที่มีจุดชมวิวสูงที่สุดแห่งหนึ่งที่ความสูง 392 เมตรจากพื้นดิน

ความงดงามของ Tower Infinity


ที่เด็ดคือตึกนี้ล่องหนได้ในบางเวลา !!!



เขาใช้เทคนิคการสร้างภาพลวงตาด้วยระบบดิจิตอลอันล้ำสมัย โดยใช้ผนังกระจก หลอดและแผง LED



คือ ติดตั้งกล้องไว้ที่ผนังโครงสร้างกระจกด้านนอกทั้ง 6 มุม บนความสูงที่แตกต่างกัน 3 ระดับ
เพื่อจับภาพรอบด้านแบบเรียลไทม์ ภาพทั้งหมดที่ได้จะถูกปรับมาตราส่วนและทิศทาง
ก่อนนำมาผสานรวมกันเพื่อให้ได้ภาพที่กลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกับวิวรอบด้านแบบไร้รอยต่อ
หลังจากนั้นภาพทั้งหมดจะถูกฉายลงบนจอแอลอีดีบริเวณผนังด้านหน้าซึ่งแบ่งการทำงานออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน
(บน-กลาง-ล่าง) แต่ละส่วนประกอบด้วยแผงหลอดไฟแอลอีดี 500 แถว ซึ่งจะแสดงภาพดิจิตอลแบบเป็นอิสระต่อกัน



ลูกเล่นของหอคอยที่ว่ายังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะผู้ควบคุมสามารถปรับระดับการล่องหนของหอคอยได้
(เช่น หายแบบลางเลือน หรือหายไปเลย)

แต่จะใช้เทคนิคล่องหนในระยะเวลาสั้นๆ ช่วงเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ไม่ได้ให้ล่องหนตลอดเวลา

และจะมีการเปิดไฟสัญญาณเตือนอากาศยานสีแดงตลอดเวลา เพื่อป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ



นอกจากสร้างภาพลวงตาแล้ว จอแอลอีดีของหอคอยยังสามารถแสดงแสงสี
ถ่ายทอดรายการสำคัญหรือกิจกรรมพิเศษต่างๆ ทั้งยังใช้เป็นสื่อโฆษณาได้ด้วย
ประโยชน์อีกอย่างของการสร้างหอคอยล่องหนก็คือ “ไม่บดบังทัศนียภาพ” ถึงแม้จะสูงถึง 450 เมตรก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่