การส่งของให้ลูกค้าทางไปรษณีย์ไทย
โดยทั่วไปนั้นจะมีการส่งอยู่ทั้งหมด 3 ประเภทยอดฮิต
1. ส่งพัสดุธรรมดา
2. แบบลงทะเบียน
3. EMS
ข้อดี-ข้อเสียในแต่ละแบบ
1.พัสดุธรรมดา
ข้อดี = ราคาถูก ประหยัด , ไม่จำกัดน้ำหนัก
ข้อเสีย = เช็คสถานะออนไลน์ไม่ได้ ,ลูกค้าไม่ค่อยประทับใจ ,บางครั้งใช้เวลาจัดส่งนาน
2.ลงทะเบียน
ข้อดี = ราคากลาง ๆ , เช็คสถานะออนไลน์ได้
ข้อเสีย = เช็คสถานะออนไลน์ได้เพียงต้นทางและปลายทาง (ไม่แสดงผลระหว่างทาง) , จำกัดน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม
3. EMS
ข้อดี = จัดส่งรวดเร็วภายใน 1-3วัน ,เช็คสถานะออนไลน์ได้ละเอียด ,ไม่จำกัดน้ำหนัก
ข้อเสีย = ราคาสูง
โดยสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆได้ทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://www.thailandpost.com/ ค่ะ
ร้านบ้านไปรษณีย์ไทยคืออะไร ?
โดยทั่วไปจะมีร้านไปรษณีย์ไทย ที่รับดำเนินการการส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทย
แต่ราคาจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากจะมีค่าดำเนินการในการจัดส่งตั้งแต่ 15-50บาทเลยทีเดียว
อย่างเราที่เคยโดนคือส่งพัสดุน้ำหนักเท่ากัน
ส่งที่ไปรษณีย์ไทยโดยตรงจะเสีย 32 บาท
ร้านไปรษณีย์ไทย 1 เสีย 48 บาท
ร้านไปรษณีย์ไทย 2 เสีย 90 บาท
ดังนั้นก่อนส่งสินค้าทุกครั้งควรสอบถามค่าบริการต่อชิ้นก่อนว่าคิดเท่าไหร่
ไม่อย่างนั้นกำไรจะไม่ได้แถมจะเข้าเนื้ออีกต่างหาก (สำหรับพ่อค้าแม่ค้า)
และบางร้านจะยังมีค่ากล่อง (หากใช้กล่องทั่วไปไม่ใช่ของปณ) 5-10 บาท
ค่าเชือก (หากไม่ได้ผูกมาหรือบางร้านก็ไม่คิดค่ะ) 5-10 บาทเช่นกัน
#ซึ่งหากไม่สะดวกส่งของไปรษณีย์ใหญ่ แนะนำให้ส่งไปรษณีย์ไทยในห้างค่ะ (ถามก่อนนะว่าของปณ.ไทยโดยตรงไม่มีค่าบริการใช่ไหม)
จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แถมยังเข้าระบบทันทีไม่ต้องรอวันถัดไป
ในส่วนของการจัดส่งพัสดุชิ้นใหญ่ แนะนำให้ส่งกับขนส่งเอกชนจะดีกว่าค่ะ
เนื่องจากราคาพอ ๆ กัน แต่ระยะเวลาการจัดส่งรวดเร็วกว่า ทำให้สินค้าหรือสิ่งของไม่ช้ำมาก
ต่อมาเรื่องการตั้งราคาค่าส่งสินค้า
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าก็มีหลายแบบแตกต่างกันไป
อย่างเช่น (เป็นสินค้าน้ำหนักเบานะคะ)
พัสดุ 20 บาท
ลงทะเบียน 30 บาท
EMS 50 บาท
(ชิ้นถัดไปบวกเพิ่ม 10/ชิ้น หรือไม่บวกก็ได้)
แต่แนะนำว่าให้ตั้งค่าส่งให้ราคาถูก และเอาค่าส่งส่วนหนึ่งไปบวกในค่าสินค้า จะทำให้ขายสินค้าได้ง่ายกว่า
และควรคำนวณค่าจัดส่ง ค่ากล่อง ค่าน้ำมันก่อน ไม่อย่างนั้นส่วนนี้จะมาดึงกำไรไปหมดค่ะ
การส่งของให้ลูกค้าทางไปรษณีย์ไทย
โดยทั่วไปนั้นจะมีการส่งอยู่ทั้งหมด 3 ประเภทยอดฮิต
1. ส่งพัสดุธรรมดา
2. แบบลงทะเบียน
3. EMS
ข้อดี-ข้อเสียในแต่ละแบบ
1.พัสดุธรรมดา
ข้อดี = ราคาถูก ประหยัด , ไม่จำกัดน้ำหนัก
ข้อเสีย = เช็คสถานะออนไลน์ไม่ได้ ,ลูกค้าไม่ค่อยประทับใจ ,บางครั้งใช้เวลาจัดส่งนาน
2.ลงทะเบียน
ข้อดี = ราคากลาง ๆ , เช็คสถานะออนไลน์ได้
ข้อเสีย = เช็คสถานะออนไลน์ได้เพียงต้นทางและปลายทาง (ไม่แสดงผลระหว่างทาง) , จำกัดน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม
3. EMS
ข้อดี = จัดส่งรวดเร็วภายใน 1-3วัน ,เช็คสถานะออนไลน์ได้ละเอียด ,ไม่จำกัดน้ำหนัก
ข้อเสีย = ราคาสูง
โดยสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายคร่าวๆได้ทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ร้านบ้านไปรษณีย์ไทยคืออะไร ?
โดยทั่วไปจะมีร้านไปรษณีย์ไทย ที่รับดำเนินการการส่งพัสดุของไปรษณีย์ไทย
แต่ราคาจะแตกต่างกันออกไป เนื่องจากจะมีค่าดำเนินการในการจัดส่งตั้งแต่ 15-50บาทเลยทีเดียว
อย่างเราที่เคยโดนคือส่งพัสดุน้ำหนักเท่ากัน
ส่งที่ไปรษณีย์ไทยโดยตรงจะเสีย 32 บาท
ร้านไปรษณีย์ไทย 1 เสีย 48 บาท
ร้านไปรษณีย์ไทย 2 เสีย 90 บาท
ดังนั้นก่อนส่งสินค้าทุกครั้งควรสอบถามค่าบริการต่อชิ้นก่อนว่าคิดเท่าไหร่
ไม่อย่างนั้นกำไรจะไม่ได้แถมจะเข้าเนื้ออีกต่างหาก (สำหรับพ่อค้าแม่ค้า)
และบางร้านจะยังมีค่ากล่อง (หากใช้กล่องทั่วไปไม่ใช่ของปณ) 5-10 บาท
ค่าเชือก (หากไม่ได้ผูกมาหรือบางร้านก็ไม่คิดค่ะ) 5-10 บาทเช่นกัน
#ซึ่งหากไม่สะดวกส่งของไปรษณีย์ใหญ่ แนะนำให้ส่งไปรษณีย์ไทยในห้างค่ะ (ถามก่อนนะว่าของปณ.ไทยโดยตรงไม่มีค่าบริการใช่ไหม)
จะได้ประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ แถมยังเข้าระบบทันทีไม่ต้องรอวันถัดไป
ในส่วนของการจัดส่งพัสดุชิ้นใหญ่ แนะนำให้ส่งกับขนส่งเอกชนจะดีกว่าค่ะ
เนื่องจากราคาพอ ๆ กัน แต่ระยะเวลาการจัดส่งรวดเร็วกว่า ทำให้สินค้าหรือสิ่งของไม่ช้ำมาก
ต่อมาเรื่องการตั้งราคาค่าส่งสินค้า
สำหรับพ่อค้าแม่ค้าก็มีหลายแบบแตกต่างกันไป
อย่างเช่น (เป็นสินค้าน้ำหนักเบานะคะ)
พัสดุ 20 บาท
ลงทะเบียน 30 บาท
EMS 50 บาท
(ชิ้นถัดไปบวกเพิ่ม 10/ชิ้น หรือไม่บวกก็ได้)
แต่แนะนำว่าให้ตั้งค่าส่งให้ราคาถูก และเอาค่าส่งส่วนหนึ่งไปบวกในค่าสินค้า จะทำให้ขายสินค้าได้ง่ายกว่า
และควรคำนวณค่าจัดส่ง ค่ากล่อง ค่าน้ำมันก่อน ไม่อย่างนั้นส่วนนี้จะมาดึงกำไรไปหมดค่ะ