เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกค่ะ วันนี้อยากจะมาแนะนำเมืองน่ารักๆ เล็กๆ เมืองหนึ่งในประเทศจีนซึ่งยังไม่เคยเห็นใครรีวิวมาก่อน จริงๆ รอบนี้ไปจีนมาทั้งหมด 2 สัปดาห์ 14 วัน ไปหลากหลายเมืองมาก แต่ดูแล้วที่อื่นเหมือนมีเขียนรีวิวกันแล้ว และกลัวว่าถ้าเขียนทั้งหมดกลัวจะเขียนไม่จบ เลยเลือกเอาเมืองนี้มาแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จักกัน
เมืองนี้มีชื่อว่า ฟู๋หรงเจิ้น Furong Zhen (芙蓉镇) อยู่ในเขตหย่งชุ่น เขตปกครองตนเองชนชาติถู่เจียและม้งซ่างซี Yongshun County in Xiangxi (永顺县 湘西州) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน Hunan เมืองนี้หลายคนใช้เป็นเมืองที่แวะเป็นทางผ่านของทัวร์หลยกรุ๊ปที่มาจาก จางเจียเจี้ย แล้วไปเฟิ่งหวง เพราะจริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่ขนาดเล็กมาก เดินจริงๆ ประมาณ สองสามชั่วโมงก็ทั่วแล้ว แต่เผอิญเป็นคนชอบเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนไม่ขวักไขว่มาก เลยตัดสินใจที่จะค้างที่นี่หนึ่งคืน และก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะรู้สึกหลงรักมนต์เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ ตอนแรกเลยที่ตัดสินใจจะมาที่นี่เพราะเห็นรูปเมืองนี้ แล้วก็ค้นหาศึกษาวิธีการเดินทางมาว่าจะมาอย่างไร
เมืองฟู๋หรงเจิ้น นี้มีประวัติอันแสนยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยที่มีชื่อว่า ถู่เจีย เดิมมีชื่อว่า หวังชุน Wangcun (王村) แต่ภายหลังในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อที่เรียกในปัจจุบันเพราะเคยมีการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกันนี้ ในปีค.ศ. 1986 โดยชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวคือ Hibiscus Town ส่วนเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรไม่ทราบเหมือนกันเพราะไม่เคยดู แต่ว่าภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมายรวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ดีเด่นในปี ค.ศ. 1987 อีกด้วย ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองก็คือน้ำตกที่อยู่ใจกลางเมือง ถ้ามองจากฝั่งตรงข้ามจะดูเสมือนว่าเมืองตั้งอยู่บนหน้าผาที่มีน้ำตกไหลอยู่ข้างล่าง น้ำตกนี้มีขนาดกว้างประมาณ 40 เมตร และสูงประมาณ 60 เมตร ซึ่งความพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ เราสามารถเดินผ่านด้านหลังม่านน้ำตกได้
เกริ่นมาเนิ่นนานแล้ว มาพูดถึงการเดินทางมายัง ฟู๋หรงเจิ้น ดีกว่าว่าถ้ามาเอง จะมาอย่างไร พูดตามตรงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็หาไม่ค่อยได้เกี่ยวกับที่นี่ เน้นการถามไถ่เอา ครั้นที่พักที่จะจองตามเว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติที่นิยมใช้กันไม่ว่าจะเป็น Agoda, Booking.com, Hostel Word ต่างก็ไม่มีข้อมูล อันที่จองนี่ก็ขอให้ทางโฮสเตลที่พักในจางเจียเจี้ยช่วยจองให้จากเว็บไซต์ของจีน แล้วเราก็จ่ายเงินให้กับคนที่ช่วยจองให้อีกที
การเดินทาง
สำหรับการเดินทางนั้นถ้ามาจากจางเจียเจี้ย จะมีรถวิ่งตรงมาถึงที่ ฟู๋หรงเจิ้น โดยออกจากสถานีรถทุกๆ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 07:00 – 18:00 น. ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณคือ ชั่วโมงครึ่ง ตั๋วไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า สามารถไปซื้อเอาตอนจะขึ้นได้เลย ค่ารถ 25 หยวน รถจะเป็นรถแบบรถมินิบัสเล็กๆ ไม่ใช่รถบัสคันใหญ่ และมีจอดแวะรับส่งคนตลอดระหว่างทาง สัมภาระก็หอบขึ้นไว้บนรถเลยเพราะไม่มีที่ใส่กระเป๋าใต้ท้องรถ
ส่วนถ้าคนที่ไม่ได้เดินทางมาจากจางเจียเจี้ยนั้น ส่วนใหญ่แล้วเขาจะตั้งต้นมาจากจี๋โช่ว Jishou (吉首) ซึ่งอ่านข้อมูลมาว่าเมืองนี้มักจะใช้เป็นเมืองตั้งต้นสำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณต่างๆ ในมลฑลหูหนาน ซึ่งถ้านั่งรถจากจี๋โช่วนี่ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าตั๋ว 23 หยวน มีรถออกเรื่อยๆ อันนี้ไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะไม่ได้สอบถามมา
พอเดินทางมาถึง ดูตำแหน่งจากแอพแผนที่ในโทรศัพท์แล้ว (ที่จีน Google Map ใช้ไม่ได้นะคะ ต้องใช้แอพอื่น ยกเว้นเปิด VPN มา) สถานที่ที่เราจะไปคือเมืองโบราณฟูหร๋งเจิ้นนี้อยู่ห่างไปจากสถานีรถประมาณกิโลกว่าๆ คือ ถ้าเดินก็ได้ แต่ด้วยสัมภาระมากมาย ไม่ค่อยสะดวก เผอิญมีคนมาถามๆ ว่าต้องการจะไปฟู๋หรงเจิ้นไหม? ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ คือ กลัวโดนหลอก แต่เห็นมีคนจีนที่นั่งรถมาด้วยตอบตกลง และค่าโดยสารก็แค่ 2 หยวน เราก็เลยตอบตกลงขอไปด้วยเช่นกัน รถที่ขับไปส่งนั้นก็เป็นรถเก๋งธรรมดา และเขาก็จะพาเราไปส่งไว้ที่ปากทางเข้าฟู๋หรงเจิ้น ที่มีลานจอดรถ และบอกว่าให้ติดต่อโรงแรมให้มารับ
เมื่อลงจากรถก็เลยโทรศัพท์หาโรงแรมที่ได้จองไว้ รอแป๊บเดียวก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มารับ แล้วเขาก็ถามว่าซื้อบัตรเข้าชมเมืองแล้วยัง เลยบอกว่ายัง เขาเลยช่วยพาไปซื้อให้ ข้อดีคือ ถ้าซื้อเองต้องเสีย 110 หยวน แต่ถ้าเป็นแขกโรงแรม เขาช่วยซื้อให้ก็จะเหลือแค่ 70 หยวน ถามว่าจะไม่ซื้อได้ไหม? ก็ได้ แต่จะมีจุดที่เขาตั้งด่านไว้สำหรับตรวจบัตร คือ ถ้าจะไปถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ หรือเดินลอดน้ำตก ต้องซื้อบัตร ไม่ซื้อบัตรก็ผ่านบริเวณดังกล่าวไม่ได้
นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียว (จริงๆ ) ก็มาถึงที่พัก สำหรับที่พักที่ได้จองไว้มีชื่อว่า Tusi Bieyuan Hotel (土司别院) ตอนที่จองไม่ได้คิดอะไรมาก เน้นราคาไม่แพงมากและอยู่ในเมืองเก่า พอมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี เนื่องจากมาถึงเร็ว พนักงานบอกว่าห้องยังไม่พร้อม และเนื่องจากห้องไม่เต็มเขาเลยอัปเกรดห้องให้เป็นห้องที่สามารถชมวิวน้ำตกได้ เราก็ขอบอกขอบใจเขาใหญ่ ขอบอกว่าที่นี่ให้การต้อนรับดีมากๆ อบอุ่นสุดๆ ตอนแรกคิดว่าสงสัยเราเป็นชาวต่างชาติหรือเปล่า เพราะที่นี่มาแล้วไม่เห็นฝรั่งเลย แต่ตอนหลังก็มาเห็นว่าเขาก็ดูแลลูกค้าที่มาพักที่เป็นชาวจีนดีเหมือนกัน
นี่คือรูปด้านหน้าของร้านที่จองที่พักค่ะ นอกจากจะมีห้องพักแล้วยังมีขายของต่างๆ ด้วย
พนักงานที่ชงชาให้เราดื่ม
จากนั้นเขาก็เชิญให้เรานั่งพักชิลๆ ก่อน และเขาก็ชงชาให้ชิม ที่ว่าชงชานี่ แบบว่าชงชาแบบมีพิธีรีตองตามธรรมเนียมจีนเลย คือ ต้องต้มน้ำเดือด แล้วล้างภาชนะต่างๆ ก่อน จากนั้นค่อยชง ให้ชิมชาหลายประเภทมาก ทั้งหมดประมาณ 4 แบบได้มั้ง ดูเขาชงไปชงมาก็เพลิดเพลินดี ในที่สุดเราก็มาถูกใจชาชนิดนึงที่เขาชงให้กิน เรียกว่า ถู่ ซือ เหล ฉา Tusi Lei Cha (土司擂茶) ซึ่งเขาบอกว่าเป็นชาท้องถิ่น ดื่มแล้วรู้สึกไม่เหมือนดื่มชาเลย เพราะหน้าตาและรสชาติก็ผิดแผกแตกต่างจากชาปกติธรรมดาทั่วไป ในถุงใหญ่จะมีซองเล็กๆ ที่แตกต่างกัน 2 ซอง ให้เทรวมผสมกัน แล้วเทน้ำร้อนใส่พอให้ท่วม ชงให้เข้ากัน ส่วนผสมของชานี้มีธัญพืชและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เช่น งา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ยาจีน ฯลฯ ดื่มแล้วอร่อยดี ขากลับตัดสินใจซื้อกลับเป็นของฝากให้ที่บ้าน 4 ถุง 100 หยวน (ที่โรงแรมบอกว่าอันนี้เป็นราคาพิเศษให้ลูกค้าที่มาพัก ปกติขาย 3 ถุง 100 หยวน)
หลังจากดื่มชาหลากหลาย และคุยกับพนักงานพอควรแล้ว ก็ได้เวลาที่จะออกไปสำรวจเมืองแห่งนี้แล้ว พนักงานบอกว่าเรื่องกระเป๋าไม่ต้องห่วง ฝากไว้ที่นี่ เดี๋ยวห้องเรียบร้อยแล้ว เขาจะจัดการให้ ให้เราไปเดินเที่ยวตามสบายได้เลย เราก็เลยหอบกระเป๋าตังค์กับกล้องเดินสำรวจเมืองทันที
ออกจากโรงแรมเดินทางไปซ้าย เดินไปแป๊บนึงจะมีทางบันไดเดินลง เป็นทางที่เดินไปน้ำตกได้ เดินลงมานิดนึงก็จะเห็นด่านตรวจบัตร เมืองนี้อย่างที่กล่าวขนาดเล็ก เดินแล้วไม่น่าหลงได้ แต่พนักงานบอกไม่ต้องกลัว ถ้าหลงจริงก็ให้โทรหาเขา เดี๋ยวเขาจะไปรับ ฮ่าๆๆ ใจดีจัง เลยถามว่ามีคนหลงด้วยเหรอ? เขาบอกก็มีบ้าง เดินทางย่อยเล็กๆ น้อยๆ แล้วหาทางกลับไม่ถูก แต่ตอนไปเดินเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้สึกว่าจะมีทางย่อยเล็กๆ มากมายอะไร เดินไปเรื่อยๆ ชิลๆ หาวิวถ่ายรูปเมือง รูปน้ำตก
เดินเหนื่อยแล้ว ก็หาร้านอาหารข้างทางกิน กินแบบง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามละ 10 หยวน หลังจากนั้นก็เดินเล่นต่อได้ซื้อกิ๊บและที่มัดผมงานหัตถกรรมพื้นบ้าน สีสันสวยงาม กลับมาเป็นของฝาก และก็ไปแวะกินขนมขบเคี้ยวที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เต้าหู้ข้าว เรียกว่า หมี่ โต้ว ฝู (米豆腐) ราคา 5 หยวน และ เฮา เฉ่า ปา Hao Cao Ba (蒿草粑) ราคา 2 หยวน จะเห็นว่าทั้งเมืองมีขายทั้งสองอย่างนี่เยอะมาก แต่ไปนั่งกินที่ร้านหมายเลข 113 เพราะดูแล้วร้านนี้คนเข้าเยอะ เลยตัดสินใจตามคนหมู่มากดู เต้าหู้ข้าว กินแล้วรู้สึกเฉยๆ จืดๆ ไม่ประทับใจ แต่ขนมอีกอัน คือ เกา เฉ่า ปา นี่ รู้สึกอร่อยดี เหมือนเป็นแป้งแล้วยัดใส้หวานๆ ข้างใน
หลังจากเดินเล่นจนพอใจ แล้วก็กลับไปที่โรงแรม กลับมาถึงพนักงานชงชา ถู่ ซือ เหล ให้ดื่มเพิ่ม เขาเห็นว่าเราชอบเลยจัดให้ ดื่มอิ่มหนำใจแล้ว ก็เอาของเข้าห้อง เข้าไปพบว่าวิวเยี่ยมยอดมาก
ตกค่ำอาหารเย็น ขี้เกียจไปหากินที่อื่น เพราะที่พักพนักงานก็น่ารักเหลือเกิน เลยตัดสินใจฝากท้องที่นี่ ขึ้นไปชั้นสอง เนื่องจากไม่ได้กินข้าวมาแล้วหลายมื้อ เพราะส่วนใหญ่ฝากท้องกับก๋วยเตี๋ยวเป็นหลัก เลยอยากกินข้าวขึ้นมา สั่งเมนูเบสิกสุดๆ ของจีน คือ ไข่เจียวผัดมะเขือเทศ จริงๆ ที่นี่เขามีแม่ครัวทำกับข้าวต่างหาก แต่พอสั่งเมนูนี้ พนักงานที่ต้อนรับชงชาให้ตั้งแต่ตอนมาถึงบอกว่าลงมือผัดให้เองกับมือ ประทับใจมาก จริงๆ เขามีฉายหนังขาวดำเรื่อง ฟู๋หรงเจิ้น ให้ดูด้วย แต่ไม่ได้ดูเพราะคงดูไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ
กินข้าวเย็นเสร็จ ออกไปเดินย่อยอาหาร กะว่าจะไปนั่งจิบเหล้าชิลๆ เข้าไปร้านนึงร้องคาราโอเกะดังมาก อยู่แป๊บเดียวรีบออก เพราะไม่ใช่สไตล์ แล้วค่อยๆ เดินทอดน่องกลับมายังโรงแรม ที่เคาน์เตอร์มีลูกค้าสามสี่คนนั่งอยู่ พนักงานก็ชวนให้เรามานั่งด้วย พร้อมแนะนำให้ลูกค้าคนอื่นว่าเป็นแขกที่มาจากประเทศไทย ที่นี่กลางคืนสงบเงียบ ไม่มีอะไรให้ทำ ดีกว่ากลับห้องไปนอนเฉยๆ เลยตัดสินใจนั่งคุย (ฟังเขาคุยซะมากกว่า เพราะบางเรื่องมันยากเกินภาษาจีนที่เรารู้แบบงูๆ ปลาๆ) กับแขกคนอื่นๆ ฟังเขาคุยไป จิบน้ำชา (อีกแล้ว มีให้ตลอด ไม่มีค่าใช้จ่าย) ไป จะบอกว่าทั้งทริปนี้ ที่นี่เป็นที่ที่ได้ดื่มน้ำชามากที่สุด ฟังเขาคุยกันหลากหลายเรื่อง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนเวลาล่วงเลยไป มีแขกคนนึงบ่นเริ่มหิวแล้ว เขาเลยชวนกันกินมื้อดึก ที่จีนบางทีนอกจากอาหาร 3 มื้อ ตามปกติธรรมดาแล้ว บางทีเค้าจะมีมื้อดึกอีก เรียกว่า เซียว เย่ (宵夜) คล้ายๆ กับเป็น Night Snack ประมาณนี้ เลยแจมกับเขาด้วยทั้งๆ ที่ท้องยังอิ่มมากอยู่ อาหารที่สั่งกันมานี่ก็เรียกว่าอย่างเยอะ อย่างกับเป็นอีกมื้อนึงต่างหากเลย ไม่ใช่แค่กินเล่น ปกติตัวเองไม่ใช่คนชอบกินดึกๆ ดื่นๆ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาเที่ยวทั้งทีลองซักหน่อย คงไม่เสียหาย คืนนั้นนั่งกิน นั่งฟังเขาคุยกัน เข้านอนปาเข้าไปตีหนึ่ง
ต่อภาค 2 -
https://ppantip.com/topic/36519313
[CR] แนะนำเมืองเล็กๆ น่ารักในหูหนาน จีน - ฟู๋หรงเจิ้น Furong Zhen (芙蓉镇)
เมืองนี้มีชื่อว่า ฟู๋หรงเจิ้น Furong Zhen (芙蓉镇) อยู่ในเขตหย่งชุ่น เขตปกครองตนเองชนชาติถู่เจียและม้งซ่างซี Yongshun County in Xiangxi (永顺县 湘西州) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน Hunan เมืองนี้หลายคนใช้เป็นเมืองที่แวะเป็นทางผ่านของทัวร์หลยกรุ๊ปที่มาจาก จางเจียเจี้ย แล้วไปเฟิ่งหวง เพราะจริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่ขนาดเล็กมาก เดินจริงๆ ประมาณ สองสามชั่วโมงก็ทั่วแล้ว แต่เผอิญเป็นคนชอบเมืองเล็กๆ ที่ผู้คนไม่ขวักไขว่มาก เลยตัดสินใจที่จะค้างที่นี่หนึ่งคืน และก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะรู้สึกหลงรักมนต์เสน่ห์ของเมืองแห่งนี้ ตอนแรกเลยที่ตัดสินใจจะมาที่นี่เพราะเห็นรูปเมืองนี้ แล้วก็ค้นหาศึกษาวิธีการเดินทางมาว่าจะมาอย่างไร
เมืองฟู๋หรงเจิ้น นี้มีประวัติอันแสนยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยที่มีชื่อว่า ถู่เจีย เดิมมีชื่อว่า หวังชุน Wangcun (王村) แต่ภายหลังในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อที่เรียกในปัจจุบันเพราะเคยมีการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกันนี้ ในปีค.ศ. 1986 โดยชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวคือ Hibiscus Town ส่วนเนื้อเรื่องเป็นอย่างไรไม่ทราบเหมือนกันเพราะไม่เคยดู แต่ว่าภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมายรวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ดีเด่นในปี ค.ศ. 1987 อีกด้วย ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองก็คือน้ำตกที่อยู่ใจกลางเมือง ถ้ามองจากฝั่งตรงข้ามจะดูเสมือนว่าเมืองตั้งอยู่บนหน้าผาที่มีน้ำตกไหลอยู่ข้างล่าง น้ำตกนี้มีขนาดกว้างประมาณ 40 เมตร และสูงประมาณ 60 เมตร ซึ่งความพิเศษอีกอย่างของที่นี่คือ เราสามารถเดินผ่านด้านหลังม่านน้ำตกได้
เกริ่นมาเนิ่นนานแล้ว มาพูดถึงการเดินทางมายัง ฟู๋หรงเจิ้น ดีกว่าว่าถ้ามาเอง จะมาอย่างไร พูดตามตรงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็หาไม่ค่อยได้เกี่ยวกับที่นี่ เน้นการถามไถ่เอา ครั้นที่พักที่จะจองตามเว็บไซต์ที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติที่นิยมใช้กันไม่ว่าจะเป็น Agoda, Booking.com, Hostel Word ต่างก็ไม่มีข้อมูล อันที่จองนี่ก็ขอให้ทางโฮสเตลที่พักในจางเจียเจี้ยช่วยจองให้จากเว็บไซต์ของจีน แล้วเราก็จ่ายเงินให้กับคนที่ช่วยจองให้อีกที
การเดินทาง
สำหรับการเดินทางนั้นถ้ามาจากจางเจียเจี้ย จะมีรถวิ่งตรงมาถึงที่ ฟู๋หรงเจิ้น โดยออกจากสถานีรถทุกๆ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 07:00 – 18:00 น. ใช้เวลาเดินทางโดยประมาณคือ ชั่วโมงครึ่ง ตั๋วไม่จำเป็นต้องซื้อล่วงหน้า สามารถไปซื้อเอาตอนจะขึ้นได้เลย ค่ารถ 25 หยวน รถจะเป็นรถแบบรถมินิบัสเล็กๆ ไม่ใช่รถบัสคันใหญ่ และมีจอดแวะรับส่งคนตลอดระหว่างทาง สัมภาระก็หอบขึ้นไว้บนรถเลยเพราะไม่มีที่ใส่กระเป๋าใต้ท้องรถ
ส่วนถ้าคนที่ไม่ได้เดินทางมาจากจางเจียเจี้ยนั้น ส่วนใหญ่แล้วเขาจะตั้งต้นมาจากจี๋โช่ว Jishou (吉首) ซึ่งอ่านข้อมูลมาว่าเมืองนี้มักจะใช้เป็นเมืองตั้งต้นสำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณต่างๆ ในมลฑลหูหนาน ซึ่งถ้านั่งรถจากจี๋โช่วนี่ก็ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ค่าตั๋ว 23 หยวน มีรถออกเรื่อยๆ อันนี้ไม่ทราบเวลาที่แน่นอนเพราะไม่ได้สอบถามมา
พอเดินทางมาถึง ดูตำแหน่งจากแอพแผนที่ในโทรศัพท์แล้ว (ที่จีน Google Map ใช้ไม่ได้นะคะ ต้องใช้แอพอื่น ยกเว้นเปิด VPN มา) สถานที่ที่เราจะไปคือเมืองโบราณฟูหร๋งเจิ้นนี้อยู่ห่างไปจากสถานีรถประมาณกิโลกว่าๆ คือ ถ้าเดินก็ได้ แต่ด้วยสัมภาระมากมาย ไม่ค่อยสะดวก เผอิญมีคนมาถามๆ ว่าต้องการจะไปฟู๋หรงเจิ้นไหม? ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ คือ กลัวโดนหลอก แต่เห็นมีคนจีนที่นั่งรถมาด้วยตอบตกลง และค่าโดยสารก็แค่ 2 หยวน เราก็เลยตอบตกลงขอไปด้วยเช่นกัน รถที่ขับไปส่งนั้นก็เป็นรถเก๋งธรรมดา และเขาก็จะพาเราไปส่งไว้ที่ปากทางเข้าฟู๋หรงเจิ้น ที่มีลานจอดรถ และบอกว่าให้ติดต่อโรงแรมให้มารับ
เมื่อลงจากรถก็เลยโทรศัพท์หาโรงแรมที่ได้จองไว้ รอแป๊บเดียวก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มารับ แล้วเขาก็ถามว่าซื้อบัตรเข้าชมเมืองแล้วยัง เลยบอกว่ายัง เขาเลยช่วยพาไปซื้อให้ ข้อดีคือ ถ้าซื้อเองต้องเสีย 110 หยวน แต่ถ้าเป็นแขกโรงแรม เขาช่วยซื้อให้ก็จะเหลือแค่ 70 หยวน ถามว่าจะไม่ซื้อได้ไหม? ก็ได้ แต่จะมีจุดที่เขาตั้งด่านไว้สำหรับตรวจบัตร คือ ถ้าจะไปถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ หรือเดินลอดน้ำตก ต้องซื้อบัตร ไม่ซื้อบัตรก็ผ่านบริเวณดังกล่าวไม่ได้
นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียว (จริงๆ ) ก็มาถึงที่พัก สำหรับที่พักที่ได้จองไว้มีชื่อว่า Tusi Bieyuan Hotel (土司别院) ตอนที่จองไม่ได้คิดอะไรมาก เน้นราคาไม่แพงมากและอยู่ในเมืองเก่า พอมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี เนื่องจากมาถึงเร็ว พนักงานบอกว่าห้องยังไม่พร้อม และเนื่องจากห้องไม่เต็มเขาเลยอัปเกรดห้องให้เป็นห้องที่สามารถชมวิวน้ำตกได้ เราก็ขอบอกขอบใจเขาใหญ่ ขอบอกว่าที่นี่ให้การต้อนรับดีมากๆ อบอุ่นสุดๆ ตอนแรกคิดว่าสงสัยเราเป็นชาวต่างชาติหรือเปล่า เพราะที่นี่มาแล้วไม่เห็นฝรั่งเลย แต่ตอนหลังก็มาเห็นว่าเขาก็ดูแลลูกค้าที่มาพักที่เป็นชาวจีนดีเหมือนกัน
นี่คือรูปด้านหน้าของร้านที่จองที่พักค่ะ นอกจากจะมีห้องพักแล้วยังมีขายของต่างๆ ด้วย
พนักงานที่ชงชาให้เราดื่ม
จากนั้นเขาก็เชิญให้เรานั่งพักชิลๆ ก่อน และเขาก็ชงชาให้ชิม ที่ว่าชงชานี่ แบบว่าชงชาแบบมีพิธีรีตองตามธรรมเนียมจีนเลย คือ ต้องต้มน้ำเดือด แล้วล้างภาชนะต่างๆ ก่อน จากนั้นค่อยชง ให้ชิมชาหลายประเภทมาก ทั้งหมดประมาณ 4 แบบได้มั้ง ดูเขาชงไปชงมาก็เพลิดเพลินดี ในที่สุดเราก็มาถูกใจชาชนิดนึงที่เขาชงให้กิน เรียกว่า ถู่ ซือ เหล ฉา Tusi Lei Cha (土司擂茶) ซึ่งเขาบอกว่าเป็นชาท้องถิ่น ดื่มแล้วรู้สึกไม่เหมือนดื่มชาเลย เพราะหน้าตาและรสชาติก็ผิดแผกแตกต่างจากชาปกติธรรมดาทั่วไป ในถุงใหญ่จะมีซองเล็กๆ ที่แตกต่างกัน 2 ซอง ให้เทรวมผสมกัน แล้วเทน้ำร้อนใส่พอให้ท่วม ชงให้เข้ากัน ส่วนผสมของชานี้มีธัญพืชและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เช่น งา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ยาจีน ฯลฯ ดื่มแล้วอร่อยดี ขากลับตัดสินใจซื้อกลับเป็นของฝากให้ที่บ้าน 4 ถุง 100 หยวน (ที่โรงแรมบอกว่าอันนี้เป็นราคาพิเศษให้ลูกค้าที่มาพัก ปกติขาย 3 ถุง 100 หยวน)
หลังจากดื่มชาหลากหลาย และคุยกับพนักงานพอควรแล้ว ก็ได้เวลาที่จะออกไปสำรวจเมืองแห่งนี้แล้ว พนักงานบอกว่าเรื่องกระเป๋าไม่ต้องห่วง ฝากไว้ที่นี่ เดี๋ยวห้องเรียบร้อยแล้ว เขาจะจัดการให้ ให้เราไปเดินเที่ยวตามสบายได้เลย เราก็เลยหอบกระเป๋าตังค์กับกล้องเดินสำรวจเมืองทันที
ออกจากโรงแรมเดินทางไปซ้าย เดินไปแป๊บนึงจะมีทางบันไดเดินลง เป็นทางที่เดินไปน้ำตกได้ เดินลงมานิดนึงก็จะเห็นด่านตรวจบัตร เมืองนี้อย่างที่กล่าวขนาดเล็ก เดินแล้วไม่น่าหลงได้ แต่พนักงานบอกไม่ต้องกลัว ถ้าหลงจริงก็ให้โทรหาเขา เดี๋ยวเขาจะไปรับ ฮ่าๆๆ ใจดีจัง เลยถามว่ามีคนหลงด้วยเหรอ? เขาบอกก็มีบ้าง เดินทางย่อยเล็กๆ น้อยๆ แล้วหาทางกลับไม่ถูก แต่ตอนไปเดินเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้สึกว่าจะมีทางย่อยเล็กๆ มากมายอะไร เดินไปเรื่อยๆ ชิลๆ หาวิวถ่ายรูปเมือง รูปน้ำตก
เดินเหนื่อยแล้ว ก็หาร้านอาหารข้างทางกิน กินแบบง่ายๆ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามละ 10 หยวน หลังจากนั้นก็เดินเล่นต่อได้ซื้อกิ๊บและที่มัดผมงานหัตถกรรมพื้นบ้าน สีสันสวยงาม กลับมาเป็นของฝาก และก็ไปแวะกินขนมขบเคี้ยวที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เต้าหู้ข้าว เรียกว่า หมี่ โต้ว ฝู (米豆腐) ราคา 5 หยวน และ เฮา เฉ่า ปา Hao Cao Ba (蒿草粑) ราคา 2 หยวน จะเห็นว่าทั้งเมืองมีขายทั้งสองอย่างนี่เยอะมาก แต่ไปนั่งกินที่ร้านหมายเลข 113 เพราะดูแล้วร้านนี้คนเข้าเยอะ เลยตัดสินใจตามคนหมู่มากดู เต้าหู้ข้าว กินแล้วรู้สึกเฉยๆ จืดๆ ไม่ประทับใจ แต่ขนมอีกอัน คือ เกา เฉ่า ปา นี่ รู้สึกอร่อยดี เหมือนเป็นแป้งแล้วยัดใส้หวานๆ ข้างใน
หลังจากเดินเล่นจนพอใจ แล้วก็กลับไปที่โรงแรม กลับมาถึงพนักงานชงชา ถู่ ซือ เหล ให้ดื่มเพิ่ม เขาเห็นว่าเราชอบเลยจัดให้ ดื่มอิ่มหนำใจแล้ว ก็เอาของเข้าห้อง เข้าไปพบว่าวิวเยี่ยมยอดมาก
ตกค่ำอาหารเย็น ขี้เกียจไปหากินที่อื่น เพราะที่พักพนักงานก็น่ารักเหลือเกิน เลยตัดสินใจฝากท้องที่นี่ ขึ้นไปชั้นสอง เนื่องจากไม่ได้กินข้าวมาแล้วหลายมื้อ เพราะส่วนใหญ่ฝากท้องกับก๋วยเตี๋ยวเป็นหลัก เลยอยากกินข้าวขึ้นมา สั่งเมนูเบสิกสุดๆ ของจีน คือ ไข่เจียวผัดมะเขือเทศ จริงๆ ที่นี่เขามีแม่ครัวทำกับข้าวต่างหาก แต่พอสั่งเมนูนี้ พนักงานที่ต้อนรับชงชาให้ตั้งแต่ตอนมาถึงบอกว่าลงมือผัดให้เองกับมือ ประทับใจมาก จริงๆ เขามีฉายหนังขาวดำเรื่อง ฟู๋หรงเจิ้น ให้ดูด้วย แต่ไม่ได้ดูเพราะคงดูไม่รู้เรื่อง ฮ่าๆๆ
กินข้าวเย็นเสร็จ ออกไปเดินย่อยอาหาร กะว่าจะไปนั่งจิบเหล้าชิลๆ เข้าไปร้านนึงร้องคาราโอเกะดังมาก อยู่แป๊บเดียวรีบออก เพราะไม่ใช่สไตล์ แล้วค่อยๆ เดินทอดน่องกลับมายังโรงแรม ที่เคาน์เตอร์มีลูกค้าสามสี่คนนั่งอยู่ พนักงานก็ชวนให้เรามานั่งด้วย พร้อมแนะนำให้ลูกค้าคนอื่นว่าเป็นแขกที่มาจากประเทศไทย ที่นี่กลางคืนสงบเงียบ ไม่มีอะไรให้ทำ ดีกว่ากลับห้องไปนอนเฉยๆ เลยตัดสินใจนั่งคุย (ฟังเขาคุยซะมากกว่า เพราะบางเรื่องมันยากเกินภาษาจีนที่เรารู้แบบงูๆ ปลาๆ) กับแขกคนอื่นๆ ฟังเขาคุยไป จิบน้ำชา (อีกแล้ว มีให้ตลอด ไม่มีค่าใช้จ่าย) ไป จะบอกว่าทั้งทริปนี้ ที่นี่เป็นที่ที่ได้ดื่มน้ำชามากที่สุด ฟังเขาคุยกันหลากหลายเรื่อง รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนเวลาล่วงเลยไป มีแขกคนนึงบ่นเริ่มหิวแล้ว เขาเลยชวนกันกินมื้อดึก ที่จีนบางทีนอกจากอาหาร 3 มื้อ ตามปกติธรรมดาแล้ว บางทีเค้าจะมีมื้อดึกอีก เรียกว่า เซียว เย่ (宵夜) คล้ายๆ กับเป็น Night Snack ประมาณนี้ เลยแจมกับเขาด้วยทั้งๆ ที่ท้องยังอิ่มมากอยู่ อาหารที่สั่งกันมานี่ก็เรียกว่าอย่างเยอะ อย่างกับเป็นอีกมื้อนึงต่างหากเลย ไม่ใช่แค่กินเล่น ปกติตัวเองไม่ใช่คนชอบกินดึกๆ ดื่นๆ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาเที่ยวทั้งทีลองซักหน่อย คงไม่เสียหาย คืนนั้นนั่งกิน นั่งฟังเขาคุยกัน เข้านอนปาเข้าไปตีหนึ่ง
ต่อภาค 2 - https://ppantip.com/topic/36519313