50 เรื่องของ Ringo Starr ที่คุณอาจไม่รู้?

กระทู้สนทนา
50 เรื่องของ Ringo Starr ที่คุณอาจไม่รู้?

1. ชื่อจริงของเขาคือ Richard Starkey
2. แต่คนรู้จักเขาในชื่อ Ringo Starr เขาเป็นทั้งนักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลง และนักแสดง
3. มีชื่อเสียงจากการเป็นมือกลองของวงThe Beatles
4. เนื่องจากน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ringo Starr ทำให้เขาไม่ค่อยได้ร้องประสานในวง The Beatlesนัก นานๆ ทีถึงจะร้องนำสักที เพลงที่มีเสียงประสานของเขา เช่น "Maxwell's Silver Hammer", "Carry That Weight" ส่วนเพลงที่เขาร้องนำ ได้แก่ "With a Little Help from My Friends", "Yellow Submarine" และ "Act Naturally"
5. เพลงที่เขาเขียนให้กับ The Beatles' คือ "Don't Pass Me By" และ "Octopus's Garden" และยังมีชื่อร่วมแต่งในหลายเพลง เช่น "What Goes On" และ "Flying"

6. ในวัยเด็ก Ringo เคยป่วยหนักสองครั้ง ทำให้ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน ซึ่งส่งผลต่อการเรียนของเขา
7. ในปี 1955 เขาเริ่มหางานทำ หลังจากนั้นจึงได้ทำงานรถไฟ ก่อนจะเป็นพนักงานหัดในโรงงานผลิตอุปกรณ์แห่งหนึ่งในลิเวอร์พูล
8. เขาเริ่มสนใจในดนตรี Skiffle (ดนตรีแจ๊สประเภทหนึ่งที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นอังกฤษราวช่วงกลางทศวรรษ 1950)ในปี 1957 เขากับเพื่อนๆ ร่วมกันตั้งวง Eddie Clayton Skiffle Group มีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่นระดับหนึ่ง ก่อนจะเสื่อมความนิยมเพราะคนหันไปนิยมดนตรีร็อคแอนด์โรลแบบอเมริกันที่เข้ามาในช่วงต้นปี 1958
9. ในช่วงที่ The Beatles รวมวงใหม่ๆ Ringo ยังเล่นอยู่กับอีกวงหนึ่งในลิเวอร์พูล นั่นคือวง Rory Storm and the Hurricanes
10. Ringo เข้าเป็นสมาชิกสี่เต่าทองในเดือนสิงหาคม ปี 1962 โดยเข้ามาแทน Pete Best มือกลองคนเดิม

11. Ringo แสดงในภาพยนตร์ของ The Beatles หลายเรื่อง รวมทั้งภาพยนตร์อื่นๆ อีกหลายเรื่องเช่นกัน
12. หลังจากวงแตกในปี 1970 เขาออกซิงเกิลเดี่ยวที่ประสบความสำเร็จหลายเพลง รวมทั้งเพลงฮิตที่ขึ้นถึงชาร์ทอันดับ 4 ในสหรัฐ "It Don't Come Easy" และเพลงที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ทั้ง "Photograph" และ "You're Sixteen"
13. ในปี 1972 เขาออกซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอังกฤษ "Back Off Boogaloo" ที่ขึ้นถึงอันดับ 2
14. อัลบั้ม Ringo ของเขาที่ออกในปี 1973 ประสบความสำเร็จได้ทั้งเงินและกล่อง ขึ้นถึง Top 10 ทั้งในอังกฤษและสหรัฐฯ
15. Ringo ร่วมแสดงในรายการสารคดีและเป็นแขกรับเชิญในรายการโทรทัศน์หลายรายการ

16. Ringo เป็นผู้ให้เสียงในรายการการ์ตูนสำหรับเด็ก Thomas & Friends ใน 2 ซีซั่นแรก และแสดงเป็น "Mr Conductor" ในรายการสำหรับเด็ก Shining Time Station ซีซั่นแรก ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ PBS
17. ตั้งแต่ปี 1989 เป็นต้นมา เขาออกทัวร์ร่วมกับวง Ringo Starr & His All-Starr Band ที่มีสมาชิกสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาร่วมวงถึง 12 แบบ
18. บทบาทของ Ringo ในวงการดนตรีได้รับการยกย่องจากมือกลองหลายคน เช่น Phil Collins แห่งวง Genesis ได้กล่าวยกย่องให้เขาเป็น "นักดนตรียอดเยี่ยม" ส่วน Steve Smith แห่งวงJourney กล่าวว่า "ก่อนยุคของ Ringo สุดยอดมือกลองจะวัดกันที่ฝีมือและความสามารถในการโซโลกลอง แต่ความนิยมใน Ringo ได้นำเสนอมุมมองใหม่ ๆ...เราเริ่มมองมือกลองเรื่องการมีส่วนร่วมในการประพันธ์เพลงมากขึ้น...งานของ Ringo มีลายเซ็นที่ชัดเจน คุณสามารถฟังเสียงกลองของเขาโดยไม่ต้องฟังดนตรีที่เหลือก็ยังบอกเพลงได้ว่าเป็นฝีมือของเขา"
19. ในปี 1998 ชื่อของ Ringo Starrได้รับการบรรจุเข้าหอเกียรติยศ Modern Drummer Hall of Fame
20. ในปี 2011 ผู้อ่านนิตยสาร Rolling Stone ยกย่องให้เขาเป็นมือกลองยอดเยี่ยมตลอดการอันดับที่ 5

21. The Beatles ได้รับการเสนอชื่อเข้าหอเกียรติยศ Rock and Roll Hall of Fame ปี 1988 ในพิธีมี George Harrison และ Ringo Starr เข้าร่วมงาน รวมทั้ง Yoko Ono, Julian Lennon และ Sean Lennon
22. ในปี 2015 เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าหอเกียรติยศ Rock and Roll Hall of Fame ในฐานะศิลปินเดี่ยว ทำให้เขาเป็นหนึ่งใน 21 สศิลปินที่ได้รับการเสนอชื่อมากกว่าหนึ่งครั้ง
23. Richard Starkey เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 1940 ที่บ้านเลขที่ 9 ถนน Madryn Street ในแถบ Dingle เมือง Liverpool
24. เขาเป็นลูกชายคนเดียวของคนขายลูกกวาด Elsie และ Richard Starkey
25. Elsie แม่ของเขาชอบร้องเพลงและเต้นรำ เป็นงานอดิเรกที่เธอชอบทำร่วมกับสามี

26. พ่อของเขาชื่นชอบดนตรีจังหวะสวิงเป็นอย่างมาก
27. ก่อนเกิดพ่อกับแม่กะจะตั้งชื่อเขาว่า "Ritchie" ทั้งคู่ชอบใช้เวลาว่างไปงานเต้นรำที่จัดขึ้นในแถบนั้น แต่หลังจากที่คลอดเขาออกมาแล้ว ทั้งสองก็ไม่ค่อยออกไปทำกิจกรรมที่ชอบอีก
28. Elsie แม่ของเขาเลี้ยงลูกแบบไข่ในหินจนเกินเหตุ
29. ในปี 1944 เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่าย ครอบครัวของเขาต้องขายบ้านเดิมและย้ายบ้านไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 10 ถนน Admiral Grove ในละแวกเดียวกัน หลังจากนั้นพ่อแม่ของเขาก็แยกทางกัน และหย่าขาดจากกันในปีนั้น
30. Ringo เคยกล่าวว่าเขาไม่มีความทรงจำที่แท้จริงเกี่ยวกับพ่อที่ไม่มีความผูกพันกันเลย เคยแวะมาเยี่ยมเขาแค่ 2-3 ครั้งเท่านั้น

31. แม่ของเขาแต่งงานใหม่ในวันที่ 17 เมษายน 1953 กับ Harry Graves คนลอนดอนที่ย้ายมาอยู่ลิเวอร์พูลหลังจากที่ชีวิตแต่งงานครั้งแรกล้มเหลวเช่นกัน
32. Graves พ่อเลี้ยงของเขาเป็นคนที่หลงใหลในดนตรีและนักร้องบิ๊กแบนด์ เขาแนะนำให้ Ringo รู้จักกับแผ่นเสียงของ Dinah Shore, Sarah Vaughan และ Billy Daniels
33. Graves กล่าวว่า ระหว่างเขากับ Ringo ไม่เคยมีเรื่องที่ไม่ดีต่อกัน ซึ่ง Ringo กล่าวในภายหลังว่า "เขาเป็นคนดี...ผมฉันเรียนรู้ความอ่อนโยนจาก Harry"
34. ในช่วงกลางปี 1956 พ่อเลี้ยงของเขาช่วยหางานช่างฝึกงานในโรงงานผลิตอุปกรณ์แห่งหนึ่งในลิเวอร์พูลให้ ระหว่างทำงานเขาได้รู้จัก Roy Trafford ทั้งสองคุยถูกคอกันเพราะเรื่องดนตรี Trafford แนะนำให้ Ringo รู้จักดนตรีแนว Skiffle หลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ดนตรีชนิดนี้
35. John Lennon เป็นคนชวน Ringo ให้มาร่วมวง The Beatles ซึ่งเขาตอบตกลง
36. Ringo เล่นกลองให้วง John Lennon/Plastic Ono Band ของ John วง Yoko Ono/Plastic Ono Band ของ Yoko และตีกลองอัลบั้ม All Things Must Pass, Living in the Material World และ Dark Horse ของ George Harrison

37. Ringo ร่วมเล่นใน Concert for Bangladesh ที่จัดโดย George Harrison ในปี 1971 ทั้งคู่ร่วมกันเขียนเพลง "It Don't Come Easy" ซึ่งขึ้นถึงอันดับ 4 ในสหรัฐฯ
38. Ringo เป็นเพื่อนกับ Marc Bolan นักดนตรีร็อคชาวอังกฤษแห่งวง T. Rex ในปี 1972 เขากำกับภาพยนตร์เรื่องแรก Born to Boogieภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับคอนเสิร์ตที่ Wembley Empire Pool นำแสดงโดยวง T. Rex และ Marc Bolan, Ringo Starr และ Elton John
39. ในช่วงวัยเด็ก Ringo เป็นแฟนพันธุ์แท้ดนตรี Skiffle และดนตรีบลูส์ แต่ในช่วงนั้น (ปี 1958) เขาอยู่กับวง Texans ก่อนที่จะหันมาชอบดนตรีร็อคแอนด์โรล
40. Ringo ยังได้รับอิททธิพลจากศิลปินแนวคันทรี่ เช่น Hank Williams, Buck Owens and Hank Snow รวมทั้งมือกลองแจ๊สอย่าง Chico Hamilton และ Yusef Lateef ซึ่งดนตรีของเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับการตีกลองที่ลื่นไหลและเปี่ยมพลังของ Ringo

41. Ringo พูดถึงยอดมือกลองแจ๊ส Buddy Rich ไว้ว่า "เขาทำหลายๆ อย่างด้วยมือเพียงมือเดียว ซึ่งต่อให้ผมมี 9 มือก็ทำไมไ่ด้ แต่นั่นคือเทคนิคการตีกลอง ทุกๆ คนที่ผมคุยด้วยจะถามว่า 'Buddy Rich ตีกลองเป็นยังไง?' ผมถามกลับว่า 'แล้วเขาเป็นยังไงล่ะ?' เพราะเขาไม่ได้ทำให้ผมสนใจ"
42. Ringo บอกว่า เขาไม่ได้สนใจมือกลองคนอื่นมากนัก แต่เขาซื้อแผ่นของมือกลอง Cozy Cole ที่ออกในปี 1958 ซึ่งนำเพลง "Topsy Part Two" ของ Benny Goodman มาหวดเสียใหม่
43. ในวัยเด็กนักดนตรีที่เขาชื่นชอบคือ Gene Autry เขาเล่าว่า "ผมจำได้ว่าถึงกับสั่นไปทั้งตัวเมื่อเขาร้องเพลง 'South of the Border'
44. ในช่วงทศวรรษที่ 1960 เขากลายเป็นแฟนตัวยงของ Lee Dorsey นักร้องเพลงป๊อปผิวดำชาวอเมริกัน
45. Ringo จะร้องนำ 1 เพลงในเกือบๆ ทุกอัลบั้มของ The Beatles ซึ่งเป็นความพยายามที่จะสร้างเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของนักดนตรีแต่ละคนในวง มีหลายครั้งที่ John และ Paul เขียนเพลงเพื่อมอบให้เขาโดยเฉพาะ เช่น "Yellow Submarine" จากอัลบั้ม Revolver หรือเพลง "With a Little Help from My Friends" จากอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band

46. เนื่องจากเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา Ringo จึงแทบจะไม่ได้ร้องประสานให้กับ The Beatles เลย จะได้ยินก็ในเพลง "Maxwell's Silver Hammer" และ "Carry That Weight"
47. ตอนที่ Ringo แต่งกับ Maureen Cox ในปี 1965 ผู้จัดการวง Brian Epstein รับหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวร่วมกับ Harry Graves พ่อเลี้ยงของเขา ส่วน George Harrison รับหน้าที่เป็นสักขีพยาน
48. การแต่งงานของทั้งคู่ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลง "Treat Him Tender, Maureen" โดยวงเกิร์ลกรุ๊ป Chicklettes
49. Ringo และ Maureen มีบุตรด้วยกัน 3 คน Zak, Jason และ Lee
50. ทั้งคู่หย่าขาดจากกันในปี 1975เพราะ Maureen ทนความเจ้าชู้ของ Ringo ไม่ไหว

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่