สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวคร่าวๆ นะคะ เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ เพิ่งเรียนจบ ป.ตรี เรียนจบแล้ว เรารีบหางานทำทันทีเลยค่ะ เพราะอยากแบ่งเบาภาระของครอบครัว รู้ตัวว่าประสบการณ์ไม่มีด้วย เพราะตอนเรียน คือเรียนอย่างเดียว กิจกรรมทำบ้างตามนโยบายของมหาวิทยาลัยค่ะ เป็นข้อเสียนะ จริงๆ ถ้ารู้จักทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยคงจะได้อะไรมากกว่านี้
มาถึงงานแรกที่เราได้นัดสัมภาษณ์ เกิดจากการหางานในเว็บไซต์หางานต่างๆ จนเจอบริษัทประกันแห่งนี้แหละค่ะ เพราะระบุว่า *ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ งานจะเกี่ยวกับการตลาด ประชาสัมพันธ์ ออกบูท เงินเดือน 15,000-19,000 / รายได้ 30,000+ ประมาณนี้ค่ะ เรารีบโทรไปสอบถามเลยค่ะ สรุปคือนัดสัมภาษณ์เลย ตอนนั้นดีใจมาก พนักงานที่นัดสัมภาษณ์บอกพิกัดที่ตั้งบริษัทค่ะว่าอยู่ใกล้บีทีเอสหมอชิต ให้เรามาลงตรงนั้น แล้วต่อวินมอเตอร์ไซต์มาที่ตึกซันทาวเวอร์ (บี) มาถึงแล้วค่อยโทรบอกอีกที เราตกลงและไปสัมภาษณ์ตามนัดค่ะ พอมาถึงหน้าตึกซัน เราโทรไปบอกว่าถึงแล้ว แล้วพนักงานก็ให้เราขึ้นลิฟท์มาชั้น 11 จะเจอร้านกาแฟ แล้วจะมีคนมารับเข้าไป สักพักเราก็ได้สัมภาษณ์ค่ะ ตอนสัมภาษณ์พนักงานคนนึงแนะนำตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทำงานอยู่ที่นี่ได้เงินเดือนอยู่ที่ 120,000 แล้ว บริษัทนี้เป็นองค์กรระดับสากล มั่นคง โปรดักขายง่าย เพราะแบรนด์น่าเชื่อถือ บลาๆๆ.. แล้วก็นัดเรามาอบรมในสัปดาห์ถัดมา เราก็มาค่ะ อยากรู้มันเป็นยังไง ตอนกลับจากสัมภาษณ์ยังโทรถามซ้ำนะว่าต้องขายประกันรึเปล่า พนักงานตอบว่าตรงนี้เป็นงานการตลาดค่ะ ทำในออฟฟิศ ไม่ใช่ในส่วนของงานขายหรือตัวแทนประกัน
มาถึงช่วงที่อบรม จะอบรมเต็มๆ เลย 4 วัน แล้ววันที่ 5 ไปสอบตัวแทนประกัน เราผ่านค่ะ แค่ครั้งแรก จ่ายค่าสอบเอง 200/ครั้ง ค่าเดินทางจ่ายเองค่ะ (MRTไป-กลับ) สอบผ่านกลับมาออฟฟิศมากรอกประวัติบลาๆ แล้วพนักงานก็มาเก็บค่าบัตร 310 บาท ค่าอบรม 250 โดยที่ไม่บอกเราล่วงหน้า
มาถึงช่วงเริ่มงาน สุดท้ายก็ขายประกันอยู่ดี เดือนแรก เค้าจะให้เราไปขายกับคนในครอบครัว คนรู้จัก เพื่อน หรือใครก็ได้ที่อยากเห็นเราประสบความสำเร็จ เพราะต้องทำยอดช่วงประเมินงาน 6 เดือน แล้วจะได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกๆ ต้นเดือนจะมีโปรโมชั่นเงินสด/ทอง สำหรับคนที่ส่งผลงานได้ทันตามกำหนดค่ะ แต่เราไม่ได้ เพราะทะเลาะกับครอบครัวหนักมาก คือเราขายให้ครอบครัวก่อนเลย (ก่อนขายเค้าจะให้เราลิสรายชื่อผู้มุ่งหวังให้เยอะที่สุด แต่เราไม่ค่อยรู้จักใครเลยมาขายให้ครอบครัวก่อน) ตอนนั้นเราเครียดมาก ขายไม่ได้เลย ทั้งคนรู้จักในที่พัก ก็มีแต่บอกให้เราเปลี่ยนงาน ไปออฟฟิศทุกวัน ก็ไปนั่งเฉยๆ ไม่มีงานอื่น นอกจากขายประกัน กับ โพสต์ประกาศหาคนเพิ่ม มาเป็นลูกทีมเรา สุดท้ายครอบครัวก็ช่วยทำมาค่ะ เงินที่ได้มาไม่ถึง 5,000 ด้วย
เดือนที่สอง หนักกว่า เพราะได้ลูกค้าคนเดียว ได้เงินไม่กี่ร้อย ไหนจะต้องไปอบรมที่สำนักงานใหญ่ เดินทางด้วย MRT อีก ไป-กลับ ครั้งละ 32 บาท ต่อวินมอเตอร์ไซต์อีกไป-กลับ ครั้งละ 40 บาท อบรมเดือนละ 2 ครั้ง มีค่าข้าวให้คนละ 60 บาท/2 วันที่อบรม มาออฟฟิศก็นั่งโพสต์ประกาศสมัครงานหาคน วนไป ให้ทำสถิติที่โพสต์หาคนด้วยว่าวันนี้ทำได้กี่ครั้ง จากช่องทางไหน นัดสัมภาษณ์ได้กี่คน จบไปอีกเดือน...
เดือนที่สาม หาลูกค้าไม่ได้อีกเช่นเคยค่ะ ไม่ใช่อะไรนะคะ แต่ไม่มีใครสนับสนุนให้เราทำงานนี้จริงๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเรามีความสามารถมากกว่านี้ เราจะมีอนาคตที่ดีได้โดยที่ไม่ต้องมาเดินขายประกันก็ได้ แต่ยังมีอบรมอยู่นะ เราก็ไปอบรมค่ะ อบรมครั้งนี้เรามองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น เปรียบเทียบอะไรได้ชัดมาก เพราะวิทยากรที่มาบรรยาย ก็ได้ทำงานที่นี่เป็นที่แรก หลังจากเรียนจบ เริ่มต้นจากการขายประกันให้กับคนที่ไม่รู้จัก โดยการไปขายในที่ที่ตัวเองไปบ่อยๆ ซ้ำๆ จนสร้างตลาดเองได้ และยังเป็นตลาดรองรับสำหรับลูกทีมที่มีฐานตลาดน้อย และพาออกพื้นที่เป็นประจำ ซึ่งบางทีมจะมีกิจกรรมออกบูทในพื้นที่ต่างๆ ให้ได้มีการขยายตลาดเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะได้ลูกค้าก็จะมากขึ้น แต่ทีมที่ทำแบบนี้ มาจากสาขาอื่นกันหมด เราเลยเปรียบเทียบกัน เห็นชัดเจนมากว่าทำไมทีมอื่นถึงพาลูกทีมให้ประสบความสำเร็จได้ตามแบบขั้นบันได แนวโน้มดีขึ้นๆ ลูกทีมหลุดน้อยมาก ขณะที่ในสาขาที่เราทำอยู่ คือลูกทีมอยู่ได้ไม่กี่วันก็พากันออกไปทีละคน สองคน บวกกับเอาแต่นั่งจับมือถือกันอยู่ในออฟฟิศ ไม่มีกิจกรรมออกบูท ไม่มีออกไปหาลูกค้านอกพื้นที่ นอกจากสนับสนุนให้หาแต่ลูกค้าแถวๆ ตึกที่ทำงานเท่านั้น สุดท้ายเราตัดสินใจไม่เข้าออฟฟิศอีกแล้ว เพราะรู้สึกว่าไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากโพสต์หาคนและหาลูกค้า ซึ่งเราหาไม่ได้ จนเงินเราหมดไปหนักมากกับค่าเดินทาง และสุดท้ายต้องขอเงินจากครอบครัวซ้ำอีก
สุดท้ายสิ่งที่เราได้มาคือ ไม่ใช่ว่าเราถอดใจ ไม่ใช่ว่าเราอดทนไม่พอ เราเป็นคนนึงที่มีฝัน อยากทำให้ครอบครัวสบาย แต่มันทำให้เราคิดได้ว่า เราอยากทำได้อย่างที่ฝัน เรามีเป้าหมาย แค่วิธีนี้มันไม่เหมาะกับเรา เพราะอะไรที่ทำแล้วใช่ เราจะสนุกไปกับมัน เราแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการ แต่เป้าหมายต้องเหมือนดิม เรามาทำงานนี้ ไม่ใช่เพราะโง่ (หรือใครจะคิดแบบนี้ก็ได้ ถ้าความคิดคุณแคบแค่นี้จริงๆ) อย่างที่รู้กันวิธีที่จะประสบความสำเร็จได้ มันมีหลายทาง มันไม่ตายตัว มันไม่ใช่ทฤษฎี แต่มันเกิดจากการลงมือทำ เกิดจากความคิดที่กว้างขึ้น งานขายประกันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้มีรายได้สูงๆ ได้ค่ะ ได้เยอะมากด้วย แต่แค่มันไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับเรา หรือโชคดีหน่อยก็อาจจะเจอทีมที่ดี ที่ช่วยให้เราทำได้ และประสบความสำเร็จตามรอยที่เค้าทำได้มา ไม่ใช่ว่าหาลูกค้าไม่ได้ แล้วเริ่มเขี่ยทิ้ง เริ่มไม่สนใจ ตัดหางปล่อยวัดแบบที่เราเจอมา นี่สำคัญมากค่ะ ทำงานแบบนี้ ต้องมีเงินซัพพอร์ตค่าเดินทางไปหาลูกค้าที่เพียงพอ จะดีมากถ้ารู้จักคนเยอะๆ ไม่มีปัญหาทางการเงิน ไม่ก็รู้จักคนใหญ่คนโตระดับเจ้าของธุรกิจ คนที่มีตำแหน่งงานสูงๆ ฐานเงินเดือน/รายได้สูง ก็จะทำให้เราทำงานนี้ได้ไม่ยากค่ะ เรามาแชร์ประสบการณ์นี้ เพราะอยากให้หลายคนที่กำลังเข้าสู่วงการประกันได้รู้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งข้อดีข้อเสียเราบอกไปหมดแล้ว ไม่ใช่งานที่เสียทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ดีมากมายเสมอไป
ข้อดีของบริษัทประกันที่เราทำ
1. ทำงานเป็นทีม ให้กำลังใจกันเสมอ
2. สามารถให้แม่ทีมช่วยพูดกับลูกค้าที่เราหามาได้ (โอกาสปิดการขายได้สูง)
3. ยอดขายน้อยกว่าบริษัทประกันอื่นๆ
4. แบบประกันขายง่าย เพราะแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ระดับสากล มีความมั่นคงสูง
5. รักษาผลประโยชน์ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี
6. มีการมอบของขวัญ/ของที่ระลึก ให้กับลูกค้าในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ถือเป็นบริการที่ดีอย่างหนึ่ง
7. ในส่วนของแบบประกันออมทรัพย์ ได้ผลตอบแทนที่สูงจริงค่ะ มีการการันตีเงินคืนแน่นอน เด่นกว่าที่อื่น ลูกค้าไม่ขาดทุนค่ะ
8. เวลาทำงานจันทร์-ศุกร์ หยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
9. มีการจัดงานแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งที่หรูหรา และประกาศรางวัลรับถ้วยสำหรับผู้ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ถือว่าสมฐานะ เป็นเกียรติ
10. มีเงินโปรโมชั่น/รางวัล/ของขวัญ ทุกต้นเดือน สำหรับผู้ที่ส่งงานได้ทันตามกำหนด
ข้อเสียที่เราพบคือ
1. ไม่มีเงินเดือนสตาร์ทให้ นอกจากการขายเพื่อสะสมยอด แล้วไปเทียบเป็นเงินเดือน สูงสุดอยู่ที่ 19,000 บาท
2. อบรมบ่อยมาก (คงเพราะงานนี้ต้องมีความรู้มากขึ้น)
3. เสียค่าใช้จ่ายในการสอบ/อบรมเองทั้งหมด ตั้งแต่ค่าอบรมในส่วนของรัฐ 250 บ.(ครั้งเดียว)/ ค่าสอบตัวแทนประกัน ครั้งละ 200 บ. (สอบไม่ผ่าน ต้องสอบให้ได้จนกว่าจะผ่าน ครั้งละ 200)
4. เสียค่าบัตรตัวแทนประกันเองอีก 310 บ.
5. เสียค่าเดินทางเองทั้งหมด ตั้งแต่ไปพบลูกค้า และค่าเดินทางสำหรับไปอบรมที่สำนักงานใหญ่
6. ไม่มีผลงาน = ไม่ได้เงิน (แฟร์ๆ กันไป)
7. เสียค่าโทรศัพท์โทรหาลูกค้าเอง รวมถึงต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อโพสต์ประกาศรับสมัครงาน
8. ต้องรู้จักคนเยอะพอสมควร ไม่เหมาะกับคนที่รู้จักคนน้อยๆ นอกจากจะได้ทีมที่ดี ถึงจะมีฐานลูกค้าน้อย เค้าจะพาไปออกนอกพื้นที่ที่เป็นฐานตลาดรองรับไว้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตลาดที่แม่ทีมไปสร้างสัมพันธ์ไว้เอง ถ้าแม่ทีมไม่มีแบบนี้ อนาคตอาจมืดดับได้
9. ช่วงประเมินงาน 6 เดือนนี้ ใช้คำว่าทำงานจันทร์-ศุกร์ไม่ได้ค่ะ เพราะต้องหาลูกค้าตลอดเวลา อาจจะเหนื่อยหน่อยในช่วงนี้
10. ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ถึงแม้วันไหนจะไม่มีลูกค้าก็ตาม ไม่มีลูกค้าก็นั่งโพสต์ประกาศหาคนมาสมัครงานไป วนไปปป..
11. รู้ไว้ว่า งานหลักของขายประกันคือ "ขาย" และ "หาคนมาเป็นลูกทีมเพิ่ม" รายได้จะมาจากสองอย่างนี้เป็นหลักค่ะ
12. ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง หากทำยอดไม่ถึง ภายในเวลาประเมินงาน 6 เดือนแรก
13. การประกาศรับสมัครงานที่มีแนวโน้มไปในทางหลอกคนมาขายประกัน อันที่จริงแล้วเค้าไม่ได้ตั้งใจหลอกหรอกค่ะ เราเคยถามว่ามันมีแต่วิธีนี้จริงหรือ? เค้าตอบว่า "ถ้าไม่ทำแบบนี้จะมีใครมาสมัครล่ะ" แต่สำหรับเรา เราคิดว่ามันแอบเป็นวิธีไม่ดีนิดนึง เพราะข้อมูลไม่ตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของงานคือ การขายประกัน แต่ใช้การเปรียบเทียบคำมาแทนการขาย คือ การตลาด ประชาสัมพันธ์ ที่ปรึกษาทางการเงิน แต่เข้าใจค่ะ เพราะงานนี้คนแอนตี้เยอะ
ทุกอย่างที่เรามาแชร์ประสบการณ์นี้ จุดประสงค์คือ แชร์ในสิ่งที่ตัวเองเผชิญ มันมีทั้งดีและไม่ดี เหมือนกันทุกงานค่ะ มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ทุกงานมีเวลาที่เราต้องเหนื่อย ต้องพิสูจน์ เพราะเราก็เป็นคนนึงที่พื้นฐานการเงินไม่ได้ดีมาก การมาทำงานแบบนี้ เราไม่มีเงินซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายที่มากพอ และไม่ได้รู้จักใครหรือคนใหญ่คนโตมากมาย มันถึงไม่เหมาะกับเรา สำคัญที่สุด คือ "เราไม่สนุกกับงานค่ะ"
จนถึงตอนนี้ เราตัดสินใจออกมาแบบเงียบๆ ถึงบอกก็ไม่มีใครในบริษัทอยากรู้ค่ะ เพราะที่นี่เข้าง่ายออกง่าย เค้าไม่สนใจหรอกค่ะ สนแค่เราหาลูกค้าได้ หลังจากที่ตัดสินใจแบบนี้แล้ว เราสบายใจขึ้นเยอะค่ะ ค่อยๆ หางานอื่นทำ คิดดีๆ เผื่อจะมีงานไหนที่เหมาะกับเรา หวังว่าสิ่งที่เรามาแชร์นี้จะมีข้อคิดหลายๆ อย่าง หรือไม่ก็เป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนนะคะ ^^
**แท็กห้องผิดขออภัยนะคะ**
แชร์ประสบการณ์เด็กจบใหม่ทำงานบริษัทประกันเป็นที่แรกในชีวิต
มาถึงงานแรกที่เราได้นัดสัมภาษณ์ เกิดจากการหางานในเว็บไซต์หางานต่างๆ จนเจอบริษัทประกันแห่งนี้แหละค่ะ เพราะระบุว่า *ยินดีรับนักศึกษาจบใหม่ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ งานจะเกี่ยวกับการตลาด ประชาสัมพันธ์ ออกบูท เงินเดือน 15,000-19,000 / รายได้ 30,000+ ประมาณนี้ค่ะ เรารีบโทรไปสอบถามเลยค่ะ สรุปคือนัดสัมภาษณ์เลย ตอนนั้นดีใจมาก พนักงานที่นัดสัมภาษณ์บอกพิกัดที่ตั้งบริษัทค่ะว่าอยู่ใกล้บีทีเอสหมอชิต ให้เรามาลงตรงนั้น แล้วต่อวินมอเตอร์ไซต์มาที่ตึกซันทาวเวอร์ (บี) มาถึงแล้วค่อยโทรบอกอีกที เราตกลงและไปสัมภาษณ์ตามนัดค่ะ พอมาถึงหน้าตึกซัน เราโทรไปบอกว่าถึงแล้ว แล้วพนักงานก็ให้เราขึ้นลิฟท์มาชั้น 11 จะเจอร้านกาแฟ แล้วจะมีคนมารับเข้าไป สักพักเราก็ได้สัมภาษณ์ค่ะ ตอนสัมภาษณ์พนักงานคนนึงแนะนำตัวเองว่าเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ทำงานอยู่ที่นี่ได้เงินเดือนอยู่ที่ 120,000 แล้ว บริษัทนี้เป็นองค์กรระดับสากล มั่นคง โปรดักขายง่าย เพราะแบรนด์น่าเชื่อถือ บลาๆๆ.. แล้วก็นัดเรามาอบรมในสัปดาห์ถัดมา เราก็มาค่ะ อยากรู้มันเป็นยังไง ตอนกลับจากสัมภาษณ์ยังโทรถามซ้ำนะว่าต้องขายประกันรึเปล่า พนักงานตอบว่าตรงนี้เป็นงานการตลาดค่ะ ทำในออฟฟิศ ไม่ใช่ในส่วนของงานขายหรือตัวแทนประกัน
มาถึงช่วงที่อบรม จะอบรมเต็มๆ เลย 4 วัน แล้ววันที่ 5 ไปสอบตัวแทนประกัน เราผ่านค่ะ แค่ครั้งแรก จ่ายค่าสอบเอง 200/ครั้ง ค่าเดินทางจ่ายเองค่ะ (MRTไป-กลับ) สอบผ่านกลับมาออฟฟิศมากรอกประวัติบลาๆ แล้วพนักงานก็มาเก็บค่าบัตร 310 บาท ค่าอบรม 250 โดยที่ไม่บอกเราล่วงหน้า
มาถึงช่วงเริ่มงาน สุดท้ายก็ขายประกันอยู่ดี เดือนแรก เค้าจะให้เราไปขายกับคนในครอบครัว คนรู้จัก เพื่อน หรือใครก็ได้ที่อยากเห็นเราประสบความสำเร็จ เพราะต้องทำยอดช่วงประเมินงาน 6 เดือน แล้วจะได้เลื่อนตำแหน่ง ทุกๆ ต้นเดือนจะมีโปรโมชั่นเงินสด/ทอง สำหรับคนที่ส่งผลงานได้ทันตามกำหนดค่ะ แต่เราไม่ได้ เพราะทะเลาะกับครอบครัวหนักมาก คือเราขายให้ครอบครัวก่อนเลย (ก่อนขายเค้าจะให้เราลิสรายชื่อผู้มุ่งหวังให้เยอะที่สุด แต่เราไม่ค่อยรู้จักใครเลยมาขายให้ครอบครัวก่อน) ตอนนั้นเราเครียดมาก ขายไม่ได้เลย ทั้งคนรู้จักในที่พัก ก็มีแต่บอกให้เราเปลี่ยนงาน ไปออฟฟิศทุกวัน ก็ไปนั่งเฉยๆ ไม่มีงานอื่น นอกจากขายประกัน กับ โพสต์ประกาศหาคนเพิ่ม มาเป็นลูกทีมเรา สุดท้ายครอบครัวก็ช่วยทำมาค่ะ เงินที่ได้มาไม่ถึง 5,000 ด้วย
เดือนที่สอง หนักกว่า เพราะได้ลูกค้าคนเดียว ได้เงินไม่กี่ร้อย ไหนจะต้องไปอบรมที่สำนักงานใหญ่ เดินทางด้วย MRT อีก ไป-กลับ ครั้งละ 32 บาท ต่อวินมอเตอร์ไซต์อีกไป-กลับ ครั้งละ 40 บาท อบรมเดือนละ 2 ครั้ง มีค่าข้าวให้คนละ 60 บาท/2 วันที่อบรม มาออฟฟิศก็นั่งโพสต์ประกาศสมัครงานหาคน วนไป ให้ทำสถิติที่โพสต์หาคนด้วยว่าวันนี้ทำได้กี่ครั้ง จากช่องทางไหน นัดสัมภาษณ์ได้กี่คน จบไปอีกเดือน...
เดือนที่สาม หาลูกค้าไม่ได้อีกเช่นเคยค่ะ ไม่ใช่อะไรนะคะ แต่ไม่มีใครสนับสนุนให้เราทำงานนี้จริงๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าเรามีความสามารถมากกว่านี้ เราจะมีอนาคตที่ดีได้โดยที่ไม่ต้องมาเดินขายประกันก็ได้ แต่ยังมีอบรมอยู่นะ เราก็ไปอบรมค่ะ อบรมครั้งนี้เรามองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น เปรียบเทียบอะไรได้ชัดมาก เพราะวิทยากรที่มาบรรยาย ก็ได้ทำงานที่นี่เป็นที่แรก หลังจากเรียนจบ เริ่มต้นจากการขายประกันให้กับคนที่ไม่รู้จัก โดยการไปขายในที่ที่ตัวเองไปบ่อยๆ ซ้ำๆ จนสร้างตลาดเองได้ และยังเป็นตลาดรองรับสำหรับลูกทีมที่มีฐานตลาดน้อย และพาออกพื้นที่เป็นประจำ ซึ่งบางทีมจะมีกิจกรรมออกบูทในพื้นที่ต่างๆ ให้ได้มีการขยายตลาดเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะได้ลูกค้าก็จะมากขึ้น แต่ทีมที่ทำแบบนี้ มาจากสาขาอื่นกันหมด เราเลยเปรียบเทียบกัน เห็นชัดเจนมากว่าทำไมทีมอื่นถึงพาลูกทีมให้ประสบความสำเร็จได้ตามแบบขั้นบันได แนวโน้มดีขึ้นๆ ลูกทีมหลุดน้อยมาก ขณะที่ในสาขาที่เราทำอยู่ คือลูกทีมอยู่ได้ไม่กี่วันก็พากันออกไปทีละคน สองคน บวกกับเอาแต่นั่งจับมือถือกันอยู่ในออฟฟิศ ไม่มีกิจกรรมออกบูท ไม่มีออกไปหาลูกค้านอกพื้นที่ นอกจากสนับสนุนให้หาแต่ลูกค้าแถวๆ ตึกที่ทำงานเท่านั้น สุดท้ายเราตัดสินใจไม่เข้าออฟฟิศอีกแล้ว เพราะรู้สึกว่าไปแล้ว ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากโพสต์หาคนและหาลูกค้า ซึ่งเราหาไม่ได้ จนเงินเราหมดไปหนักมากกับค่าเดินทาง และสุดท้ายต้องขอเงินจากครอบครัวซ้ำอีก
สุดท้ายสิ่งที่เราได้มาคือ ไม่ใช่ว่าเราถอดใจ ไม่ใช่ว่าเราอดทนไม่พอ เราเป็นคนนึงที่มีฝัน อยากทำให้ครอบครัวสบาย แต่มันทำให้เราคิดได้ว่า เราอยากทำได้อย่างที่ฝัน เรามีเป้าหมาย แค่วิธีนี้มันไม่เหมาะกับเรา เพราะอะไรที่ทำแล้วใช่ เราจะสนุกไปกับมัน เราแค่ต้องเปลี่ยนวิธีการ แต่เป้าหมายต้องเหมือนดิม เรามาทำงานนี้ ไม่ใช่เพราะโง่ (หรือใครจะคิดแบบนี้ก็ได้ ถ้าความคิดคุณแคบแค่นี้จริงๆ) อย่างที่รู้กันวิธีที่จะประสบความสำเร็จได้ มันมีหลายทาง มันไม่ตายตัว มันไม่ใช่ทฤษฎี แต่มันเกิดจากการลงมือทำ เกิดจากความคิดที่กว้างขึ้น งานขายประกันก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้มีรายได้สูงๆ ได้ค่ะ ได้เยอะมากด้วย แต่แค่มันไม่ใช่วิธีที่เหมาะกับเรา หรือโชคดีหน่อยก็อาจจะเจอทีมที่ดี ที่ช่วยให้เราทำได้ และประสบความสำเร็จตามรอยที่เค้าทำได้มา ไม่ใช่ว่าหาลูกค้าไม่ได้ แล้วเริ่มเขี่ยทิ้ง เริ่มไม่สนใจ ตัดหางปล่อยวัดแบบที่เราเจอมา นี่สำคัญมากค่ะ ทำงานแบบนี้ ต้องมีเงินซัพพอร์ตค่าเดินทางไปหาลูกค้าที่เพียงพอ จะดีมากถ้ารู้จักคนเยอะๆ ไม่มีปัญหาทางการเงิน ไม่ก็รู้จักคนใหญ่คนโตระดับเจ้าของธุรกิจ คนที่มีตำแหน่งงานสูงๆ ฐานเงินเดือน/รายได้สูง ก็จะทำให้เราทำงานนี้ได้ไม่ยากค่ะ เรามาแชร์ประสบการณ์นี้ เพราะอยากให้หลายคนที่กำลังเข้าสู่วงการประกันได้รู้อีกมุมหนึ่ง ซึ่งข้อดีข้อเสียเราบอกไปหมดแล้ว ไม่ใช่งานที่เสียทุกอย่าง แต่ก็ไม่ได้ดีมากมายเสมอไป
ข้อดีของบริษัทประกันที่เราทำ
1. ทำงานเป็นทีม ให้กำลังใจกันเสมอ
2. สามารถให้แม่ทีมช่วยพูดกับลูกค้าที่เราหามาได้ (โอกาสปิดการขายได้สูง)
3. ยอดขายน้อยกว่าบริษัทประกันอื่นๆ
4. แบบประกันขายง่าย เพราะแบรนด์มีความน่าเชื่อถือ ระดับสากล มีความมั่นคงสูง
5. รักษาผลประโยชน์ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี
6. มีการมอบของขวัญ/ของที่ระลึก ให้กับลูกค้าในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ถือเป็นบริการที่ดีอย่างหนึ่ง
7. ในส่วนของแบบประกันออมทรัพย์ ได้ผลตอบแทนที่สูงจริงค่ะ มีการการันตีเงินคืนแน่นอน เด่นกว่าที่อื่น ลูกค้าไม่ขาดทุนค่ะ
8. เวลาทำงานจันทร์-ศุกร์ หยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์
9. มีการจัดงานแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งที่หรูหรา และประกาศรางวัลรับถ้วยสำหรับผู้ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยม ถือว่าสมฐานะ เป็นเกียรติ
10. มีเงินโปรโมชั่น/รางวัล/ของขวัญ ทุกต้นเดือน สำหรับผู้ที่ส่งงานได้ทันตามกำหนด
ข้อเสียที่เราพบคือ
1. ไม่มีเงินเดือนสตาร์ทให้ นอกจากการขายเพื่อสะสมยอด แล้วไปเทียบเป็นเงินเดือน สูงสุดอยู่ที่ 19,000 บาท
2. อบรมบ่อยมาก (คงเพราะงานนี้ต้องมีความรู้มากขึ้น)
3. เสียค่าใช้จ่ายในการสอบ/อบรมเองทั้งหมด ตั้งแต่ค่าอบรมในส่วนของรัฐ 250 บ.(ครั้งเดียว)/ ค่าสอบตัวแทนประกัน ครั้งละ 200 บ. (สอบไม่ผ่าน ต้องสอบให้ได้จนกว่าจะผ่าน ครั้งละ 200)
4. เสียค่าบัตรตัวแทนประกันเองอีก 310 บ.
5. เสียค่าเดินทางเองทั้งหมด ตั้งแต่ไปพบลูกค้า และค่าเดินทางสำหรับไปอบรมที่สำนักงานใหญ่
6. ไม่มีผลงาน = ไม่ได้เงิน (แฟร์ๆ กันไป)
7. เสียค่าโทรศัพท์โทรหาลูกค้าเอง รวมถึงต้องใช้อินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อโพสต์ประกาศรับสมัครงาน
8. ต้องรู้จักคนเยอะพอสมควร ไม่เหมาะกับคนที่รู้จักคนน้อยๆ นอกจากจะได้ทีมที่ดี ถึงจะมีฐานลูกค้าน้อย เค้าจะพาไปออกนอกพื้นที่ที่เป็นฐานตลาดรองรับไว้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นตลาดที่แม่ทีมไปสร้างสัมพันธ์ไว้เอง ถ้าแม่ทีมไม่มีแบบนี้ อนาคตอาจมืดดับได้
9. ช่วงประเมินงาน 6 เดือนนี้ ใช้คำว่าทำงานจันทร์-ศุกร์ไม่ได้ค่ะ เพราะต้องหาลูกค้าตลอดเวลา อาจจะเหนื่อยหน่อยในช่วงนี้
10. ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ถึงแม้วันไหนจะไม่มีลูกค้าก็ตาม ไม่มีลูกค้าก็นั่งโพสต์ประกาศหาคนมาสมัครงานไป วนไปปป..
11. รู้ไว้ว่า งานหลักของขายประกันคือ "ขาย" และ "หาคนมาเป็นลูกทีมเพิ่ม" รายได้จะมาจากสองอย่างนี้เป็นหลักค่ะ
12. ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง หากทำยอดไม่ถึง ภายในเวลาประเมินงาน 6 เดือนแรก
13. การประกาศรับสมัครงานที่มีแนวโน้มไปในทางหลอกคนมาขายประกัน อันที่จริงแล้วเค้าไม่ได้ตั้งใจหลอกหรอกค่ะ เราเคยถามว่ามันมีแต่วิธีนี้จริงหรือ? เค้าตอบว่า "ถ้าไม่ทำแบบนี้จะมีใครมาสมัครล่ะ" แต่สำหรับเรา เราคิดว่ามันแอบเป็นวิธีไม่ดีนิดนึง เพราะข้อมูลไม่ตรงไปตรงมา เนื้อแท้ของงานคือ การขายประกัน แต่ใช้การเปรียบเทียบคำมาแทนการขาย คือ การตลาด ประชาสัมพันธ์ ที่ปรึกษาทางการเงิน แต่เข้าใจค่ะ เพราะงานนี้คนแอนตี้เยอะ
ทุกอย่างที่เรามาแชร์ประสบการณ์นี้ จุดประสงค์คือ แชร์ในสิ่งที่ตัวเองเผชิญ มันมีทั้งดีและไม่ดี เหมือนกันทุกงานค่ะ มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย ทุกงานมีเวลาที่เราต้องเหนื่อย ต้องพิสูจน์ เพราะเราก็เป็นคนนึงที่พื้นฐานการเงินไม่ได้ดีมาก การมาทำงานแบบนี้ เราไม่มีเงินซัพพอร์ตค่าใช้จ่ายที่มากพอ และไม่ได้รู้จักใครหรือคนใหญ่คนโตมากมาย มันถึงไม่เหมาะกับเรา สำคัญที่สุด คือ "เราไม่สนุกกับงานค่ะ"
จนถึงตอนนี้ เราตัดสินใจออกมาแบบเงียบๆ ถึงบอกก็ไม่มีใครในบริษัทอยากรู้ค่ะ เพราะที่นี่เข้าง่ายออกง่าย เค้าไม่สนใจหรอกค่ะ สนแค่เราหาลูกค้าได้ หลังจากที่ตัดสินใจแบบนี้แล้ว เราสบายใจขึ้นเยอะค่ะ ค่อยๆ หางานอื่นทำ คิดดีๆ เผื่อจะมีงานไหนที่เหมาะกับเรา หวังว่าสิ่งที่เรามาแชร์นี้จะมีข้อคิดหลายๆ อย่าง หรือไม่ก็เป็นประโยชน์สำหรับใครบางคนนะคะ ^^
**แท็กห้องผิดขออภัยนะคะ**