ไปเที่ยวกันไหม.................................................
DAY 1
มาเริ่มเลยดีกว่า ทริปนี้ได้ตั่วราคาโครตดี จาก Thai Lion Air จากไทยไป โฮจิมินห์ ในราคา 2300 บาท โดยประมาณนะคะ
ซึ่งเวลาในการเดินทางเราเลือกเวลาที่แสนจะโครต โครตเช้าเลย ก็คือ 05.30 ซึ่งไปถึง โฮจิมินห์ ประมาณเวลา 07.30 น
(ไม่ต้องปรับเวลานะคะ เพราะเวลาใกล้กัน)
พอเราจะออกจากสนามบิน สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือ หาชื้อ ชิมการ์ด ค่ะ ซึ่งเราชื้อมาในราคา 700 บาท
ที่นี้จะมีหลายราคา หลายเจ้า เราก็เลยถ่ายร้านที่เราเลือก กับราคาเรทต่างๆมาไว้ให้นะคะ
เมือทำการชื้อชิมเป็นที่เรียบร้อย เราก็ต้องนำกระเป๋าเดินทางไปฝาก การฝากกระเป๋าก็ตกเฉลี่ยใบละ 500 บาท
แนะนำว่าถ้ามาหลายคน เอาเงินตรงนี้ไปเช่าห้องดีกว่าค่ะ สามารถฝากกระเป๋าได้หลายใบ อาบน้ำได้ด้วย
จุดบริเวณฝากกระเป๋านะคะ
นี่คือราคาของการฝากกระเป๋า
(พอดีเราเลือกที่จะบินไปเมืองดาลัด ตอน 1 ทุ่ม ซึ่ง ค่าเดินทาง ก็ ประมาณ 1200 บาท (นอกจากเครื่องบินก็สามารถนั่งรถทัวร์ไปได้นะ)
แต่เราขอเป็นขากลับแล้วกัน)
เมื่อจัดการธุระเสร็จสิ้นเรียบร้อย เราก็เตรียมตัวเข้าสู่ตัวเมืองโฮจิมินห์ค่ะ
ตรงสนามบินเขาจะมีรถโดยสารประจำทาง จะพาเราไปสู่ตัวเมืองไม่ต้องนั่ง taxi ก็ได้ ราคาจะคนละ 50 บาทนะคะ
พอเรามาถึงตัวเมือง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ทานข้าวค่ะ เพราะหิวอย่างมากมาย
ร้านที่เลือก อันดับแรกเลย คือ
Check In 1 ร้าน Propaganda Bistro Restaurant
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งได้สวยงามดีค่ะ และบรรยากาศเย็น (จากแอร์)
ไปร้านแรก ไม่กล้าสั่งมั่ว เลยสั่งอาหารง่ายที่มีตามบ้านเรา ก็ทานกันไปหมดไปคนละ 250 บาท รวมน้ำดื่มด้วยนะ
ที่นี้เขาจะมีถั่วมาเสริฟ์ก่อนทานอาหาร ทานแล้วอร่อยเพลินดี หรือว่าหิว
รสชาติคล้ายปอเปี๊ยะทอดบ้านเรา แต่ของเขาจะรสชาติไม่จัดจ้าน เน้นผักเป็นหลัก
พอเติมพลังเป็นทีเรียบร้อยก็ลุยกันเลย ที่สองที่ไปเจอก็คือ
Check In 2 Notre Dame Square เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางที่ใครมาโฮจิมินห์ต้องมาถ่ายรูปที่แห่งนี้เป็นโบสถ์ มีสถาปัตย์กรรมแบบเก่าๆ ดิบๆ เลยจับชุดสาวเวียดนามใส่ถ่ายส่ะเลย (เอี๊ยนกันไปข้างหนึ่ง) ค่าชุดเวียดนาม 450 บาท
พอผ่านมาถ่ายรูปทางนี้เสร็จ เราแอบแวะไปดื่มน้ำโก้โก้เย็นที่ร้านกาแฟ เพราะด้วยความที่อากาศมันค่อนข้างร้อนระอุจริงๆ หมดไป 180 บาท
จากนั้นเราก็เดินทางไปท่องเที่ยวต่อที่
"Check In 3 ไปรษณียกลาง" ด้วยรูปทรงอาคารสีเหลืองเด่น ดูสวยงาม ใครมาก็บอกว่าต้องมานะ อ่ะๆ เข้าไปก็ได้ ไม่เสียค่าเข้านะคะ ข้างในก็จะมีของที่ระลึกขายเต็มไป เราเองก็เลยชื้อหมวกเวียดนามส่ะเลย (ชื้อมาทำไหม หมดไป 100 บาท)
จากนั้นเราก็เดินไปเจอถนนหนึ่ง เขาเรียกว่า ถนนหนังสือ
Check In 4 Book Street Nguyen Van Binh
ดูเหมือนว่าบ้านเมืองเขาจะให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือเป็นอย่างมากเลย ข้างหนึ่งเป็นร้านขายหนังสือ
อีกด้านเป็นร้านกาแฟ ที่มีหนังสือ พอเราเดินอ่านหนังสือ เอ้ย เดินโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่เรียบร้อย เราก็ออกมา
เตรียมจะไปโบสถ์สีชมพู
แต่ทว่า เขาเปิด 14.00 คือ เราไปวันศุกร์ คิดว่าถ้าไปวันอาทิตย์น่าจะเปิดเช้ากว่านี้
เราเลยแวะทานข้าวกัน ....ซึ่งก็ลืมถ่ายรูป เพราะหิวของจริง พอทานอาหารเสร็จเรียบร้อย (หมดไป 200 บาท) ก็ไปต่อค่ะ
มาถึง
Check In 5 Tan Dinh Church เป็นโบสถ์สีชมพูสวยๆ ข้างในอาคารเหมือนมีเด็กๆกำลังเรียนอยู่ ก็เลยไม่อยากรบกวน ก็ถ่ายรูปพอหอมปาก หอมคอ ก็ออกมา ที่นี้คนมาถ่ายเยอะนะ มีทั้งคนไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
จากนั้นเราก็ไปต่อค่ะ ไปวัดคล้ายกับวัดจีน ชื่อเรียกว่า
Check In 6 Emperor Jade Pagoda (Chua Ngoc Hoang or Phuoc Hai Tu)
เป็นเสมือนวัดจีน คล้ายศาลเจ้าบ้านเรา มีบ่อเต่า ที่มีเต่าเต็มไปหมด
พอเที่ยวจนเริ่มเหนื่อย จริงๆไปได้ต่อ แต่เราเฮ้ยมาเที่ยว เหนื่อยก็หยุด ก็เลยนั่งแท็กซี่กลับสนามบิน
เตรียมเดินทางไปยังเมืองดาลัดค่ะ ซึ่งค่ารถ taxi จากวัดไปสนามบินก็ราวๆ 300 บาท
เล่าประสบการณ์สุดแปลกก่อนเนอะ
ตอนที่เรานั่งรถแท็กซี่ คือโบกรถให้ไปส่งที่สนามบิน แต่เขาขับวนไป ไม่ถึงสักที เขาบอกไม่ไปแล้ว จ่ายเงินมา
เราก็กำลังจะจ่ายเงิน แต่มันงงๆ เขาก็ดึงเงินเราไปเลย ซึ่งเราเองก็ไม่ค่อยยอมตวาดออกไปทันทีและดึงเงินกลับคืนมา
ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในโฮจิมินห์
สำหรับโฮจิมินห์ เราว่าถ้ามาเที่ยวช่วงหน้าร้อน จะเป็นอะไรที่หงุดหงิดมาก เพราะมันร้อนอย่างมากมาย
แต่จุดเด่นของที่นี้คือ เรื่องร้านกาแฟ และร้านอาหาร ตกแต่งได้น่ารัก ถึงแม้ที่นี้เขาจะขับขี่มอเตอร์ไซต์และชอบบีบแตร
เสียงดัง แต่เราว่ามันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็เตือนกัน ทุกคันสวมหมวกกันน็อค
เราว่าให้เวลากับโฮจิมินห์สัก 1 วันก็น่าจะพอ แต่ถ้าใครอยากซึบซับบรรยากาศอยู่นานๆก็ได้
พอไปถึงสนามบินเราก็หิว ก็ไปนั่งกินอาหารอีกที่สนามบิน ซึ่งก็หมดค่าอาหารไปอีก 300 บาท
จากนั้นเราก็เดินทางจากโฮจิมินห์ ไปสู่เมืองดาลัต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราเลือกพักที
Check In 7 โรงแรม แซฟไฟร์ ดาลัต
ที่นี้ราคาห้องคืนละ ประมาณ 900 -1300 เราจองในเว็บ Agoda สภาพภายในและภายนอก ตกแต่งได้สวยงาม เหมือนอยู่ยุโรป
พนักงานที่นี้ก็พูดภาษาอังกฤษคล่องดีชอบมาก ตัวโรงแรมไม่ได้อยู่ห่างตลาดมากนะคะ สามารถเดินไปได้ อาจจะเหนื่อยหน่อยๆ
บรรยากาศตอนกลางคืน
มีมุมให้ถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ แต่ภายในห้องนอนอาจจะดูเก่าๆไปหน่อย แต่ก็ได้บรรยากาศดี
ิวอีกแล้ว
(เราอาจจะทานเก่งไปหน่อย) ก็เลยไปเดินตลาดนัดกลางคืน ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก
มา Check In 8
Night Market Dalat
ขนมนี้เห็นเกือบทุกร้านเลย ตอนแรกไม่กล้ากิน กลัวไม่อร่อย แต่ก็มาถึงก็ลองชิมหน่อย ปรากฏว่า เฮ้ย อร่อยว่ะ กินจนไม่เหลือ และหมดได้ภายใน 1 นาที
ส่วนนี้น่าจะเหมือนลูกชิ้นทอดบ้านเรา แต่ก็ไม่ได้กิน เพราะยัดอะไรลงท้องไปเยอะเกิน
อันนี้ของโปรดเลย เป็นอาหาร แล้วก็มีพริกกับน้ำปลา จิ้มๆกินอร่อยดี
นอกจากนี้เขายังมีน้ำเต้าหู ปลาหมึกย่าง มันเผา อร่อยดีค่ะ ต้องมากินให้ได้
***บอกก่อนนะคะ ว่าเมืองดาลัด เป็นเมืองที่มีอากาศค่อนข้างเย็นไปจนถึงหนาว ตอนเช้าอุณหภูมิจะอยู่ 23-25 แล้วแต่บางวัน แต่พอกลางคืน 19-20 อย่างไงอย่าลืมพกเสื้อคลุมมาไว้ด้วยนะ****
จบ Day ประสบการณ์ความแตกต่างจากเมืองร้อนไปยังเมืองหนาว ฉันปรับตัวไม่ทัน
Day 2
ก็เป็นทริปที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร อยากตื่น ก็ตื่น เราก็เลยตื่นสายพลาดโอกาสอาหารเช้าของโรงแรมไป
พอตื่นมาปุ๊บ ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวไป Check in กันต่อ ตอนแรกจะไปทัวร์ แต่เรารู้สึกชอบเมืองนี้มาก อยากลุยเอง ไปเอง ก็เลยเช่ามอเตอร์ไซต์ ซึงราคาก็ค่าเช่าอยู่ที่ 400 /วัน ค่าน้ำมัน 150 บาท เต็มถัง สามารถจองกับที่โรงแรมที่พักได้เลยค่ะ
เมื่อมีมอไซต์ ก็เตรียมแว๊นช์ ลุยกันไปเลย
ที่แรกของวันนี้ก็คือ Check in 9
Crazy House
เป็นแลนด์มารค์ที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับเมืองดาลัตเลยก็ว่าได้ มาที่นี้สนุกค่ะ มีอะไรให้ดู แปลกใหม่ดี
เหมือนมาเดินเที่ยวเขาวงกต มุมถ่ายรูป ไม่รู้จะหามุมอย่างไง แต่มันสนุกดีนะ เดินเข้าทางนู๊น ไปออกทางนี้
ค่าเข้าคนละ 80 บาท มีค่าจอดมอเตอร์ไซต์ด้วย 5 บาท
ที่นี้เป็นโรงแรมด้วยนะคะ แต่เราก็ยังสงสัย ว่าจะพักกันอย่างไง ในเมื่อคนมาเที่ยวเยอะแบบนี้
เราก็ใช้เวลากับที่ตรงนี้นานพอสมควรแล้ว ก็เลยออกไปหาอะไรทานดีกว่า
ก็ขี้เกียจไปไกลเลยเห็นร้านตรงข้าง Crazy House ก็เลยแวะเข้าไปทานเลยดีกว่า
Check In 10
Le Chalet Dalat
เป็นร้านอาหารที่ตกแต่งได้สวยงามมากๆเลยที่เดียว ตอนแรกนึกว่าราคาอาหารอาจจะแพง แต่ก็ไม่มากค่ะ ราคาพอรับได้
เราทานทั้งสเตค ชา กาแฟ และเครป หมดไป 500 บาท
เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวผจญภัยต่อเลยค่ะที่ต่อมาที่เราไป ก็คือ Check in 11
Bao Dai's Palace
ที่นี้ค่าเข้าคนละ 70 บาท มีค่าจอดรถด้วยนะคะ 5 บาท พอเข้ามาก็รมรืนย์ดีค่ะ เต็มไปด้วยวิวต้นสน
ก่อนจะเข้าอาคารเข้าจะมีถุงสีเท้าให้เราสวมไปกับรองเท้า (ตอนแรกนึกว่าให้ใส่รองเท้าแล้วหิ้ว)
ที่นี้เขาว่าเป็นที่พักของประธานาธิปดีของเวียดนาม (หรือเปล่า) ข้างในจะดูยิ่งใหญ่ มีห้องนอน ห้องรับแขก หลายห้อง
และยังมีที่ถ่ายรูปที่สามารถเช่าชุดเพื่อถ่ายกับฉากได้ด้วยคะ ราคาชุดละ 200 บาท
บางจุดสามารถนั่งได้ บางจุดไม่สามารถนั่งได้นะคะ
[CR] Check In 28 Location เวียดนามใต้ 5วัน 5 คืน (งบตามใจฉัน)
มาเริ่มเลยดีกว่า ทริปนี้ได้ตั่วราคาโครตดี จาก Thai Lion Air จากไทยไป โฮจิมินห์ ในราคา 2300 บาท โดยประมาณนะคะ
ซึ่งเวลาในการเดินทางเราเลือกเวลาที่แสนจะโครต โครตเช้าเลย ก็คือ 05.30 ซึ่งไปถึง โฮจิมินห์ ประมาณเวลา 07.30 น
(ไม่ต้องปรับเวลานะคะ เพราะเวลาใกล้กัน)
พอเราจะออกจากสนามบิน สิ่งแรกที่เราต้องทำ ก็คือ หาชื้อ ชิมการ์ด ค่ะ ซึ่งเราชื้อมาในราคา 700 บาท
ที่นี้จะมีหลายราคา หลายเจ้า เราก็เลยถ่ายร้านที่เราเลือก กับราคาเรทต่างๆมาไว้ให้นะคะ
เมือทำการชื้อชิมเป็นที่เรียบร้อย เราก็ต้องนำกระเป๋าเดินทางไปฝาก การฝากกระเป๋าก็ตกเฉลี่ยใบละ 500 บาท
แนะนำว่าถ้ามาหลายคน เอาเงินตรงนี้ไปเช่าห้องดีกว่าค่ะ สามารถฝากกระเป๋าได้หลายใบ อาบน้ำได้ด้วย
จุดบริเวณฝากกระเป๋านะคะ
นี่คือราคาของการฝากกระเป๋า
(พอดีเราเลือกที่จะบินไปเมืองดาลัด ตอน 1 ทุ่ม ซึ่ง ค่าเดินทาง ก็ ประมาณ 1200 บาท (นอกจากเครื่องบินก็สามารถนั่งรถทัวร์ไปได้นะ)
แต่เราขอเป็นขากลับแล้วกัน)
เมื่อจัดการธุระเสร็จสิ้นเรียบร้อย เราก็เตรียมตัวเข้าสู่ตัวเมืองโฮจิมินห์ค่ะ
ตรงสนามบินเขาจะมีรถโดยสารประจำทาง จะพาเราไปสู่ตัวเมืองไม่ต้องนั่ง taxi ก็ได้ ราคาจะคนละ 50 บาทนะคะ
พอเรามาถึงตัวเมือง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือ ทานข้าวค่ะ เพราะหิวอย่างมากมาย
ร้านที่เลือก อันดับแรกเลย คือ Check In 1 ร้าน Propaganda Bistro Restaurant
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งได้สวยงามดีค่ะ และบรรยากาศเย็น (จากแอร์)
ไปร้านแรก ไม่กล้าสั่งมั่ว เลยสั่งอาหารง่ายที่มีตามบ้านเรา ก็ทานกันไปหมดไปคนละ 250 บาท รวมน้ำดื่มด้วยนะ
ที่นี้เขาจะมีถั่วมาเสริฟ์ก่อนทานอาหาร ทานแล้วอร่อยเพลินดี หรือว่าหิว
รสชาติคล้ายปอเปี๊ยะทอดบ้านเรา แต่ของเขาจะรสชาติไม่จัดจ้าน เน้นผักเป็นหลัก
พอเติมพลังเป็นทีเรียบร้อยก็ลุยกันเลย ที่สองที่ไปเจอก็คือ Check In 2 Notre Dame Square เหมือนเป็นจุดศูนย์กลางที่ใครมาโฮจิมินห์ต้องมาถ่ายรูปที่แห่งนี้เป็นโบสถ์ มีสถาปัตย์กรรมแบบเก่าๆ ดิบๆ เลยจับชุดสาวเวียดนามใส่ถ่ายส่ะเลย (เอี๊ยนกันไปข้างหนึ่ง) ค่าชุดเวียดนาม 450 บาท
พอผ่านมาถ่ายรูปทางนี้เสร็จ เราแอบแวะไปดื่มน้ำโก้โก้เย็นที่ร้านกาแฟ เพราะด้วยความที่อากาศมันค่อนข้างร้อนระอุจริงๆ หมดไป 180 บาท
จากนั้นเราก็เดินทางไปท่องเที่ยวต่อที่ "Check In 3 ไปรษณียกลาง" ด้วยรูปทรงอาคารสีเหลืองเด่น ดูสวยงาม ใครมาก็บอกว่าต้องมานะ อ่ะๆ เข้าไปก็ได้ ไม่เสียค่าเข้านะคะ ข้างในก็จะมีของที่ระลึกขายเต็มไป เราเองก็เลยชื้อหมวกเวียดนามส่ะเลย (ชื้อมาทำไหม หมดไป 100 บาท)
จากนั้นเราก็เดินไปเจอถนนหนึ่ง เขาเรียกว่า ถนนหนังสือ Check In 4 Book Street Nguyen Van Binh
ดูเหมือนว่าบ้านเมืองเขาจะให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือเป็นอย่างมากเลย ข้างหนึ่งเป็นร้านขายหนังสือ
อีกด้านเป็นร้านกาแฟ ที่มีหนังสือ พอเราเดินอ่านหนังสือ เอ้ย เดินโพสต์ท่าถ่ายรูปเป็นที่เรียบร้อย เราก็ออกมา
เตรียมจะไปโบสถ์สีชมพู
แต่ทว่า เขาเปิด 14.00 คือ เราไปวันศุกร์ คิดว่าถ้าไปวันอาทิตย์น่าจะเปิดเช้ากว่านี้
เราเลยแวะทานข้าวกัน ....ซึ่งก็ลืมถ่ายรูป เพราะหิวของจริง พอทานอาหารเสร็จเรียบร้อย (หมดไป 200 บาท) ก็ไปต่อค่ะ
มาถึง Check In 5 Tan Dinh Church เป็นโบสถ์สีชมพูสวยๆ ข้างในอาคารเหมือนมีเด็กๆกำลังเรียนอยู่ ก็เลยไม่อยากรบกวน ก็ถ่ายรูปพอหอมปาก หอมคอ ก็ออกมา ที่นี้คนมาถ่ายเยอะนะ มีทั้งคนไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น
จากนั้นเราก็ไปต่อค่ะ ไปวัดคล้ายกับวัดจีน ชื่อเรียกว่า Check In 6 Emperor Jade Pagoda (Chua Ngoc Hoang or Phuoc Hai Tu)
เป็นเสมือนวัดจีน คล้ายศาลเจ้าบ้านเรา มีบ่อเต่า ที่มีเต่าเต็มไปหมด
พอเที่ยวจนเริ่มเหนื่อย จริงๆไปได้ต่อ แต่เราเฮ้ยมาเที่ยว เหนื่อยก็หยุด ก็เลยนั่งแท็กซี่กลับสนามบิน
เตรียมเดินทางไปยังเมืองดาลัดค่ะ ซึ่งค่ารถ taxi จากวัดไปสนามบินก็ราวๆ 300 บาท
เล่าประสบการณ์สุดแปลกก่อนเนอะ
ตอนที่เรานั่งรถแท็กซี่ คือโบกรถให้ไปส่งที่สนามบิน แต่เขาขับวนไป ไม่ถึงสักที เขาบอกไม่ไปแล้ว จ่ายเงินมา
เราก็กำลังจะจ่ายเงิน แต่มันงงๆ เขาก็ดึงเงินเราไปเลย ซึ่งเราเองก็ไม่ค่อยยอมตวาดออกไปทันทีและดึงเงินกลับคืนมา
ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีในโฮจิมินห์
สำหรับโฮจิมินห์ เราว่าถ้ามาเที่ยวช่วงหน้าร้อน จะเป็นอะไรที่หงุดหงิดมาก เพราะมันร้อนอย่างมากมาย
แต่จุดเด่นของที่นี้คือ เรื่องร้านกาแฟ และร้านอาหาร ตกแต่งได้น่ารัก ถึงแม้ที่นี้เขาจะขับขี่มอเตอร์ไซต์และชอบบีบแตร
เสียงดัง แต่เราว่ามันก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี อย่างน้อยก็เตือนกัน ทุกคันสวมหมวกกันน็อค
เราว่าให้เวลากับโฮจิมินห์สัก 1 วันก็น่าจะพอ แต่ถ้าใครอยากซึบซับบรรยากาศอยู่นานๆก็ได้
พอไปถึงสนามบินเราก็หิว ก็ไปนั่งกินอาหารอีกที่สนามบิน ซึ่งก็หมดค่าอาหารไปอีก 300 บาท
จากนั้นเราก็เดินทางจากโฮจิมินห์ ไปสู่เมืองดาลัต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เราเลือกพักที Check In 7 โรงแรม แซฟไฟร์ ดาลัต
ที่นี้ราคาห้องคืนละ ประมาณ 900 -1300 เราจองในเว็บ Agoda สภาพภายในและภายนอก ตกแต่งได้สวยงาม เหมือนอยู่ยุโรป
พนักงานที่นี้ก็พูดภาษาอังกฤษคล่องดีชอบมาก ตัวโรงแรมไม่ได้อยู่ห่างตลาดมากนะคะ สามารถเดินไปได้ อาจจะเหนื่อยหน่อยๆ
บรรยากาศตอนกลางคืน
มีมุมให้ถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ แต่ภายในห้องนอนอาจจะดูเก่าๆไปหน่อย แต่ก็ได้บรรยากาศดี
ิวอีกแล้ว
(เราอาจจะทานเก่งไปหน่อย) ก็เลยไปเดินตลาดนัดกลางคืน ซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก
มา Check In 8 Night Market Dalat
ขนมนี้เห็นเกือบทุกร้านเลย ตอนแรกไม่กล้ากิน กลัวไม่อร่อย แต่ก็มาถึงก็ลองชิมหน่อย ปรากฏว่า เฮ้ย อร่อยว่ะ กินจนไม่เหลือ และหมดได้ภายใน 1 นาที
ส่วนนี้น่าจะเหมือนลูกชิ้นทอดบ้านเรา แต่ก็ไม่ได้กิน เพราะยัดอะไรลงท้องไปเยอะเกินอันนี้ของโปรดเลย เป็นอาหาร แล้วก็มีพริกกับน้ำปลา จิ้มๆกินอร่อยดี
นอกจากนี้เขายังมีน้ำเต้าหู ปลาหมึกย่าง มันเผา อร่อยดีค่ะ ต้องมากินให้ได้
***บอกก่อนนะคะ ว่าเมืองดาลัด เป็นเมืองที่มีอากาศค่อนข้างเย็นไปจนถึงหนาว ตอนเช้าอุณหภูมิจะอยู่ 23-25 แล้วแต่บางวัน แต่พอกลางคืน 19-20 อย่างไงอย่าลืมพกเสื้อคลุมมาไว้ด้วยนะ****
จบ Day ประสบการณ์ความแตกต่างจากเมืองร้อนไปยังเมืองหนาว ฉันปรับตัวไม่ทัน
ก็เป็นทริปที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร อยากตื่น ก็ตื่น เราก็เลยตื่นสายพลาดโอกาสอาหารเช้าของโรงแรมไป
พอตื่นมาปุ๊บ ก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวไป Check in กันต่อ ตอนแรกจะไปทัวร์ แต่เรารู้สึกชอบเมืองนี้มาก อยากลุยเอง ไปเอง ก็เลยเช่ามอเตอร์ไซต์ ซึงราคาก็ค่าเช่าอยู่ที่ 400 /วัน ค่าน้ำมัน 150 บาท เต็มถัง สามารถจองกับที่โรงแรมที่พักได้เลยค่ะ
เมื่อมีมอไซต์ ก็เตรียมแว๊นช์ ลุยกันไปเลย
ที่แรกของวันนี้ก็คือ Check in 9 Crazy House
เป็นแลนด์มารค์ที่ท่องเที่ยวสำคัญสำหรับเมืองดาลัตเลยก็ว่าได้ มาที่นี้สนุกค่ะ มีอะไรให้ดู แปลกใหม่ดี
เหมือนมาเดินเที่ยวเขาวงกต มุมถ่ายรูป ไม่รู้จะหามุมอย่างไง แต่มันสนุกดีนะ เดินเข้าทางนู๊น ไปออกทางนี้
ค่าเข้าคนละ 80 บาท มีค่าจอดมอเตอร์ไซต์ด้วย 5 บาท
ที่นี้เป็นโรงแรมด้วยนะคะ แต่เราก็ยังสงสัย ว่าจะพักกันอย่างไง ในเมื่อคนมาเที่ยวเยอะแบบนี้
เราก็ใช้เวลากับที่ตรงนี้นานพอสมควรแล้ว ก็เลยออกไปหาอะไรทานดีกว่า
ก็ขี้เกียจไปไกลเลยเห็นร้านตรงข้าง Crazy House ก็เลยแวะเข้าไปทานเลยดีกว่า
Check In 10 Le Chalet Dalat
เป็นร้านอาหารที่ตกแต่งได้สวยงามมากๆเลยที่เดียว ตอนแรกนึกว่าราคาอาหารอาจจะแพง แต่ก็ไม่มากค่ะ ราคาพอรับได้
เราทานทั้งสเตค ชา กาแฟ และเครป หมดไป 500 บาท
เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อยก็เตรียมตัวผจญภัยต่อเลยค่ะที่ต่อมาที่เราไป ก็คือ Check in 11 Bao Dai's Palace
ที่นี้ค่าเข้าคนละ 70 บาท มีค่าจอดรถด้วยนะคะ 5 บาท พอเข้ามาก็รมรืนย์ดีค่ะ เต็มไปด้วยวิวต้นสน
ก่อนจะเข้าอาคารเข้าจะมีถุงสีเท้าให้เราสวมไปกับรองเท้า (ตอนแรกนึกว่าให้ใส่รองเท้าแล้วหิ้ว)
ที่นี้เขาว่าเป็นที่พักของประธานาธิปดีของเวียดนาม (หรือเปล่า) ข้างในจะดูยิ่งใหญ่ มีห้องนอน ห้องรับแขก หลายห้อง
และยังมีที่ถ่ายรูปที่สามารถเช่าชุดเพื่อถ่ายกับฉากได้ด้วยคะ ราคาชุดละ 200 บาท
บางจุดสามารถนั่งได้ บางจุดไม่สามารถนั่งได้นะคะ