คืออย่างนี้ค่ะ เมื่อสองอาทิตย์ก่อนนัดเจอกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมัธยม ที่แบบว่าไม่ได้เจอกันนานมว๊ากกก แต่ปกติก็คุยกันผ่านไลน์อยู่บ่อยๆ เลยนัดเจอกันวัดความปังซะหน่อย จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจจะประชันหน้ากันหรอกนะคะ แค่อยากเม้ามอยกันตามประสา แต่พอเห็นหน้าคุณเพื่อนเดินมาเท่านั้นแหละ หน้ามันมีออร่าจนเราอยากจะเอาหน้ากากทุเรียนมาปิดหน้าเราไว้เลยค่ะ เราเองก็ดูแลผิวหน้า ใช้สกินแคร์แบบ sensitive minimalist แปลตรงๆ ว่าผิวแพ้ง่ายและขี้เกียจนั่นเองค่ะ ฮ่าๆๆ
คุยกับเพื่อนไปกินไป ก็แอบถามมันว่า แกใช้อะไรทาผิว ถึงได้บริ๊งขนาดนี้ เพื่อนเลยรีบแนะนำสกินแคร์ยี่ห้อที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยค่ะ ตกเทรนอย่างแรง นั่นคือ Pimpega อ่านออกเสียงว่า พิม-เพ-กา และอธิบายความดีงามว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรล้วนๆ เลยไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ฟังแล้วก็แหม เหมาะกับผิวบอกบางอย่างเราทีเดียวเชียว แล้วเพื่อนก็แนะนำให้ใช้มันทั้งเซ็ตเลย มีทั้งสบู่ ครีมเห็ด ซีรั่ม และกันแดดค่ะ
แต่ด้วยความที่หน้าเราแพ้ง่าย และบอกเลยว่ายังไม่เคยใช้สกินแคร์ที่เป็นสมุนไพรมาก่อน แต่เพื่อนก็ใช้เห็นผลแล้วก็เป็นตัวแทนขายด้วย ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้างนะ เลยบอกเพื่อนว่าขอลองตัวซีรั่มก่อนละกัน เพราะว่ามีปัญหาฝ้าและกระตรงช่วงแก้ม
เพื่อนก็ช่วยอธิบายสรรพคุณต่อว่าตัวนี้ดียังงัย คือนอกจากจะช่วยลดจุดด่างดำ ยังช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ทำให้ผิวแข็งแรงในระดับเซลล์ผิวอีกด้วยนะ เหมาะกับผิวแห้งลอก หรือผิวขาดน้ำอย่างอย่างเรา
วันต่อมา เพื่อนก็ส่งของมาให้ หลังจากที่ชำระหนี้กันแล้ว อ๊ะไม่แพงอย่างที่คิดแฮะ ราคาไม่ถึง 500 บาท ตอนนั้นคิดแล้วว่าถ้าใช้ดีก็จะบันทึกไว้เป็นสิ่งจำเป็นแก่หน้าเราซะเลย หน้าตาซีรั่มเป็นแบบนี้ค่ะ มีสตรอเบอร์รี่ด้วย น่าใช้และก็น่ากินด้วยอ่า
มาดูเนื้อครีมกันค่ะ เอ๊ะไม่ใช่สิ มันดูไม่เป็นครีมนะ เป็นเหมือนเจลใสๆ ไม่ข้นมาก แต่ก็ไม่เหลวเกินไป เราลองเอียงมือ มันก็ค่อยๆไหลช้าๆ ค่ะ ลองดมดู อ่าว ไม่มีกลิ่นอะไรเลยค่ะ แต่เรารู้ว่าพวกสารแต่งกลิ่นหรือน้ำหอมหนะ มันจะทำให้ผิวเราระคายเคืองได้ง่าย เราเลยโอเคเลยค่ะ
เสร็จแล้วก็ลองทาที่แขนดูก่อนค่ะ ทาวนๆครั้งแรก ยังไม่ซึม เพราะเราบีบเยอะไปหน่อย แต่พอทาวนไปอีกแป๊บเดียว มันก็ซึมลงผิวอย่างง่ายดาย และมันไม่รู้สึกเหนอะด้วยนะคะ ไม่ค่อยชอบอะไรหนักๆหน้า ตามสไตล์มินนิมอล บอกเลยว่าเริ่ดค่า
ผ่านจากการทดสอบบนแขนแล้ว เราก็ลองใช้บนหน้าเราในคืนนั้นเลยค่ะ เราใช้เฉพาะตอนกลางคืนนะ กลัวผิวจะบาง แต่เพื่อนบอกว่าเป็นความเชื่อที่ผิดนะ มันไม่ได้บางลง แต่แค่ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ หน้าจะได้กระจ่างใสยังงัยหล่ะ
ด้วยความอยากรู้ว่ามันจะเวิร์คสำหรับเรามั๊ย เราเลยขยันสุดๆ ใช้มันทุกคืนไม่ว่าจะง่วงแค่ไหน ยาวนานมากกก ตั้ง 10 วันแหนะ แหะๆ พอนึกขึ้นมาได้ เราก็จะถ่ายไว้ก่อนค่ะ เพิ่งมีเวลามาเปิดดู เลยเห็นความแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องมาบอกต่อกันนี่หล่ะค่า
มาดูรูปกันแบบชัดๆ แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะเราถ่ายด้วยกล้องหน้ามันเลยไม่ค่อยชัดมาก ต้องขออภัยเพื่อนๆด้วยนะคะ
แต่เราดูแล้วมันก็รู้สึกว่าจางลงนะคะ ถ้าใครยังไม่เชื่อ ก็รีบจัดไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยจ้า ส่วนตัวเรา อุตส่าห์เจอของดีเข้าแล้ว ก็ต้องเริ่มหันมาดูแลตัวเอง เพิ่มความขยัน หมั่นทา จะได้ไปประชันออร่ากับเพื่อนตอนเจอกันครั้งหน้า วันนี้ลาไปก่อน บายค่า
[CR] ดีอย่างนี้ต้องขอบอกต่อ กระ ฝ้า ต้องจากลา อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยซีรั่มสมุนไพร ไร้สารเคมีด้วยนะ
คุยกับเพื่อนไปกินไป ก็แอบถามมันว่า แกใช้อะไรทาผิว ถึงได้บริ๊งขนาดนี้ เพื่อนเลยรีบแนะนำสกินแคร์ยี่ห้อที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยค่ะ ตกเทรนอย่างแรง นั่นคือ Pimpega อ่านออกเสียงว่า พิม-เพ-กา และอธิบายความดีงามว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากสมุนไพรล้วนๆ เลยไม่ทำให้ระคายเคืองผิว ฟังแล้วก็แหม เหมาะกับผิวบอกบางอย่างเราทีเดียวเชียว แล้วเพื่อนก็แนะนำให้ใช้มันทั้งเซ็ตเลย มีทั้งสบู่ ครีมเห็ด ซีรั่ม และกันแดดค่ะ
แต่ด้วยความที่หน้าเราแพ้ง่าย และบอกเลยว่ายังไม่เคยใช้สกินแคร์ที่เป็นสมุนไพรมาก่อน แต่เพื่อนก็ใช้เห็นผลแล้วก็เป็นตัวแทนขายด้วย ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้างนะ เลยบอกเพื่อนว่าขอลองตัวซีรั่มก่อนละกัน เพราะว่ามีปัญหาฝ้าและกระตรงช่วงแก้ม
เพื่อนก็ช่วยอธิบายสรรพคุณต่อว่าตัวนี้ดียังงัย คือนอกจากจะช่วยลดจุดด่างดำ ยังช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ทำให้ผิวแข็งแรงในระดับเซลล์ผิวอีกด้วยนะ เหมาะกับผิวแห้งลอก หรือผิวขาดน้ำอย่างอย่างเรา
วันต่อมา เพื่อนก็ส่งของมาให้ หลังจากที่ชำระหนี้กันแล้ว อ๊ะไม่แพงอย่างที่คิดแฮะ ราคาไม่ถึง 500 บาท ตอนนั้นคิดแล้วว่าถ้าใช้ดีก็จะบันทึกไว้เป็นสิ่งจำเป็นแก่หน้าเราซะเลย หน้าตาซีรั่มเป็นแบบนี้ค่ะ มีสตรอเบอร์รี่ด้วย น่าใช้และก็น่ากินด้วยอ่า
มาดูเนื้อครีมกันค่ะ เอ๊ะไม่ใช่สิ มันดูไม่เป็นครีมนะ เป็นเหมือนเจลใสๆ ไม่ข้นมาก แต่ก็ไม่เหลวเกินไป เราลองเอียงมือ มันก็ค่อยๆไหลช้าๆ ค่ะ ลองดมดู อ่าว ไม่มีกลิ่นอะไรเลยค่ะ แต่เรารู้ว่าพวกสารแต่งกลิ่นหรือน้ำหอมหนะ มันจะทำให้ผิวเราระคายเคืองได้ง่าย เราเลยโอเคเลยค่ะ
เสร็จแล้วก็ลองทาที่แขนดูก่อนค่ะ ทาวนๆครั้งแรก ยังไม่ซึม เพราะเราบีบเยอะไปหน่อย แต่พอทาวนไปอีกแป๊บเดียว มันก็ซึมลงผิวอย่างง่ายดาย และมันไม่รู้สึกเหนอะด้วยนะคะ ไม่ค่อยชอบอะไรหนักๆหน้า ตามสไตล์มินนิมอล บอกเลยว่าเริ่ดค่า
ผ่านจากการทดสอบบนแขนแล้ว เราก็ลองใช้บนหน้าเราในคืนนั้นเลยค่ะ เราใช้เฉพาะตอนกลางคืนนะ กลัวผิวจะบาง แต่เพื่อนบอกว่าเป็นความเชื่อที่ผิดนะ มันไม่ได้บางลง แต่แค่ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก เพื่อกระตุ้นให้สร้างเซลล์ผิวใหม่ หน้าจะได้กระจ่างใสยังงัยหล่ะ
ด้วยความอยากรู้ว่ามันจะเวิร์คสำหรับเรามั๊ย เราเลยขยันสุดๆ ใช้มันทุกคืนไม่ว่าจะง่วงแค่ไหน ยาวนานมากกก ตั้ง 10 วันแหนะ แหะๆ พอนึกขึ้นมาได้ เราก็จะถ่ายไว้ก่อนค่ะ เพิ่งมีเวลามาเปิดดู เลยเห็นความแตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องมาบอกต่อกันนี่หล่ะค่า
มาดูรูปกันแบบชัดๆ แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ เพราะเราถ่ายด้วยกล้องหน้ามันเลยไม่ค่อยชัดมาก ต้องขออภัยเพื่อนๆด้วยนะคะ
แต่เราดูแล้วมันก็รู้สึกว่าจางลงนะคะ ถ้าใครยังไม่เชื่อ ก็รีบจัดไปพิสูจน์ด้วยตัวเองกันเลยจ้า ส่วนตัวเรา อุตส่าห์เจอของดีเข้าแล้ว ก็ต้องเริ่มหันมาดูแลตัวเอง เพิ่มความขยัน หมั่นทา จะได้ไปประชันออร่ากับเพื่อนตอนเจอกันครั้งหน้า วันนี้ลาไปก่อน บายค่า