สวัสดีค่าสายเที่ยวทุกคน แน่นอนว่าคุณต้องเป็นสายเที่ยวแน่นอนเพราะไม่งั้นก็คงไม่เข้ามาอ่านกระทู้ของอิชั้นใช่มั้ยคะ คิคิ หลังจากเพิ่งไปเดินขึ้นดอยสุเทพมาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เหมือนฟ้าจะไม่ได้ส่งเราให้เกิดมาเพื่อนอนอยู่บ้านเฉยๆ จึงมีเรื่องให้ต้องออกทริปกันอีกแล้ว บางทีก็อยากหาเงินให้เก่งเหมือนเที่ยวบ้างไรบ้าง
ติดตามเรื่องราวการเดินเท้าขึ้นดอยสุเทพได้ที่นี่เลยจ้า
https://ppantip.com/topic/36452462
เรามาดูกันค่ะว่า
ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปที่แก่งกระจาน-ชะอำ ครั้งนี้จะมีเรื่องเล่าการเดินทางในฉบับสายเที่ยวจังแต่ตังไม่มีอย่างเราอย่างไร ไปดูกันเล้ยยยย
ต้องบอกว่าทริปนี้ค่อนข้างจะหลุด concept สไตล์การเที่ยวของเราอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้ไม่ได้ไปคนเดียว เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว และนอนในรีสอร์ทแทนโฮสเทล แต่อย่างว่าล่ะจ้ะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนฉันใด การเดินทางก็ย่อมไม่มีความแน่นอนฉันนั้น จงอย่าเดินทางเกินเดือนละสองครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นท่านจะรู้สึกตัวเบาโดยไม่ทันตั้งตัว
เข้าเรื่องกันตะ
ทริปนี้เป็นทริปกะทันหัน ไม่มีแผน เก็บกระเป๋าตอน 5 ทุ่ม ออกจากบ้านที่ชลบุรีตอนตี 5 ถึงเพชรบุรีบ่ายสอง มีผู้ร่วมทริป 5 ชีวิต รวมเราด้วย ขับรถยนต์มุ่งหน้าสู่ “ณัฐพล รีสอร์ท” ที่พักสำหรับ 3 วัน 2 คืน (19-21 พ.ค.) ของพวกเราชาวแกงค์ ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าที่พักกันนั้นได้แวะซื้อเสบียงตุนไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนย มาม่า โจ๊ก ผลไม้กระป๋อง น้ำดื่ม ประหนึ่งเราจะไปพักที่ป่าอันไกลโพ้นที่ไม่สามารถหาซื้อของกินได้ 5555 ไม่ใช่อะไรหรอก แต่ลงความเห็นกันว่าอาหารที่รีสอร์ทน่าจะแพง น่าจะซื้อของไปไว้เพื่อประหยัดเงิน
“ณัฐพล รีสอร์ท”
เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ริมคลองปล่อยน้ำจากเขื่อน รีสอร์ทหาง่ายมาก ภายในมีที่พักแบบบ้านเป็นหลัง และเป็นห้องพัก
ของเราเป็นบ้านไม้ (ปูเสื่อน้ำมันด้วย) ค่อนข้างจะเก่า เพราะจองไม่ทันเลยได้หลังนี้ พักได้ 10 คน มี 2 ห้องนอน ห้องน้ำใหญ่มาก ประหนึ่งจะให้เข้าไปอาบน้ำพร้อมกันหมดเลย บางทีถ้าทำเล็กกว่านี้แต่ทำเป็น 2 ห้องดูจะเวิร์คกว่า พวกสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีตู้เย็น ทีวี แอร์เย็นมาก ถ้าอยากจะเอาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นมาก็ได้แต่ต้องแจ้งเจ้าของก่อน ส่วนสัตว์เลี้ยงคิดเพิ่มตัวละ 300 บาท
ราคาบ้านพักคิดตามช่วงเวลา วันจันทร์-ศุกร์ คืนละ 3,000 บาท เสาร์-อาทิตย์ คืนละ 4,000 บาท พร้อมอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ (อาหารเช้ามีเฉพาะวันอาทิตย์)
หลังนี้เป็นบ้านที่เราพัก
ที่พักหลังอื่น
นอกจากนี้รีสอร์ทยังมีบริการเรือยางไว้ล่องเรือไปตามลำคลอง ที่เป็นทางปล่อยน้ำมาจากเขื่อนแก่งกระจาน ราคาลำละ 1,200 บาท และก็มีสไลเดอร์ให้แขกและบุคคลภายนอกเข้ามาเล่นกัน โดยคลองสายนี้จะมีน้ำไหลเชี่ยวในช่วงตอนกลางวัน หลังจาก 5 โมงเย็นไปแล้วก็จะแห้งเพราะเขื่อนปิดน้ำ และจะเปิดอีกทีในตอนเช้าของวันถัดไป
เธอเห็นสไลเดอร์สีเหลืองนั่นไหม
คลองปล่อยน้ำจากเขื่อนแก่งกระจาน
หลังจากเขื่อนปิด น้ำจะลดและค่อยๆแห้ง คือสวยมาก สีน้ำเหมือนสระมรกตเลย
พอหอมปากหอมคอกับที่พักของเราไปแล้ว ต่อไปไปดูสถานที่เที่ยวที่เราไปกันบ้างดีกว่า
ที่แรก “สะพานแขวนแก่งกระจาน” ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก ใครจำฉากนั้นได้บ้างที่มาริโอ้กับเฟิร์นมาสวีทกันบนสะพาน ในหนังมันสวยมากเพราะมีเป็นช่วงที่น้ำเต็มเขื่อน แต่ตอนที่เราไปน้ำแห้งพอดี เลยไม่ค่อยได้ฟีลลิ่งเท่าไหร่ แถมสะพานก็ปิดปรับปรุงครึ่งทาง เดินแค่ไปถึงกลางสะพานแล้วก็หันหลังกลับ มันก็จะเสียวๆ หน่อยเพราะเป็นสะพานไม้ ที่บางช่วงมีรูโหว่รูเบ้อเริ่ม
ที่ที่สองไม่มี 555 คือเราไปกันแค่นี้เพราะเป็นช่วงหน้าฝน เดินทางไม่ค่อยสะดวกเลยอยู่ในที่พักกันซะมากกว่า ตอนแรกกะว่าจะไปดูทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่ง แต่สอบถามกับทางที่พักได้ความมาว่าถ้าจะไปต้องให้รถจากอุทยานมารับเท่านั้น ค่ารถเหมาคันละ 2,000 บาท ซึ่งเรามากันห้าคนถ้าไปก็ตกคนละ 400 บาท คิดแล้วค่อนข้างจะแพงอยู่ ก็เลยไม่ไปดีกว่า แต่จริงๆแล้วถ้าใครจะไปก็ให้บอกที่พักล่วงหน้าแล้วเค้าจะหาคนมาเพิ่มให้ ซึ่งก็คือแขกคนอื่นที่อยากไปชมทะเลหมอกเหมือนกัน รวมๆกันไปจะประหยัดขึ้น แต่วันนั้นไม่มีแขกจะไปด้วยเลย พวกเราก็อดไปตามระเบียบ
นอกจากเขาพะเนินทุ่งที่เราตั้งใจจะไปแล้วไม่ได้ไปนั้น เรายังจะไปชมผีเสื้อที่แคมป์บ้านกร่างด้วย แบบขับรถไปถึงหน้าแคมป์แล้ว กำลังจะจ่ายเงิน (ค่าเข้าคนละ 100 บาท) แต่รู้สึกเอะใจเลยลองถามเจ้าหน้าที่ว่าวันนี้มีผีเสื้อเยอะรึป่าว แล้วเจ้าหน้าที่ก็ตอบแบบอึกๆอักๆ กลับมาว่าพอจะมีบ้างเพราะฝนเพิ่งตกไป ผีเสื้อไม่ค่อยออกมา เราก็เลยลงมติกันว่าหันหัวรถกลับดีกว่า ดูท่าแล้วจะไม่คุ้ม เข้าไปอาจจะเจอผีเสื้ออยู่กันสองสามตัวก็เป็นได้
* สำหรับเทศกาลดูผีเสื้อนั้น จะอยู่ในช่วงมกราคมถึงเมษายนของทุกปี โดยจะมีผีเสื้อกว่า 250 ชนิดบินมาอยู่รวมกันที่แคมป์บ้านกร่าง และอุทยานแก่งกระจาน นักท่องเที่ยวก็จะเข้าไปถ่ายรูปและชมความงามของผีเสื้อกัน เสียดายเราไม่มีบุญได้เห็น กระซิกๆ
เอาเป็นว่าสรุปแล้วทริปนี้แทบจะไม่ได้เที่ยวเลย อยู่แค่ในที่พัก นอน ร้องเพลง เล่นกีตาร์ เล่นน้ำ กิน แล้วก็นอนอยู่ในห้อง วนไป 2 วันจ้า
วันเดินทางกลับ
วันนี้พวกเราจะกลับกันแล้ว เราก็ตื่นเช้าปกติแล้วก็ไปทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ ที่มีข้าวผัด ข้าวต้ม ไส้กรอก ไข่ดาว ปาท่องโก๋ ขนมปังปิ้ง กาแฟและโอวัลติน ตามสไตล์อาหารเช้าแบบ Continental Breakfast รสชาติข้าวผัดกับข้าวต้มก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับอร่อยเหาะ กินแก้หิวได้ก็ผ่านแล้ว
เวลาล่วงไปประมาณ 10 โมงครึ่ง พวกเราก็ check-out ออกจากรีสอร์ท แล้ววางแผนกันว่าจะไปแวะชะอำก่อนกลับ พูดกันว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดให้ไม่ได้ไปอีกมั้ง และแล้วเราก็ได้ไปชะอำดังที่ตั้งใจไว้จริงๆ อารมณ์เหมือนข้าคือผู้ชนะ เพราะพลาดมาสองที่แล้ว ถ้าพลาดที่นี่อีกก็คงกลับบ้านไปนอนตีพุง แล้วสังเวชใจเพียงลำพัง
ระหว่างไปชะอำ เราไปแวะไปที่ อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ ใกล้ๆกับแก่งกระจาน ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระแม่กวนอิมไม้แกะสลัก ปางพันเนตรพันกรสูงที่สุดในโลก ภายในมีเนื้อที่ประมาณ 187 ไร่ อุทยานแห่งนี้ได้รวบรวมความรู้ทางศาสนาต่างๆ ไว้ให้คนได้เข้าไปศึกษา โดยภายในจะแบ่งพื้นที่เป็นแดนศาสนา ประกอบด้วย หุบเขาสี่อริยสงฆ์ แดนพราหมณ์-ฮินดู แดนมหายานและเต๋า แดนห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ แดนสุขาวดี แดนพุทธเกษตร แดนมิตรต่างดาว และแดนสิบสองนักษัตร คือมาที่เดียวแต่ได้ความรู้ทุกศาสนาเลยทีเดียว
เมื่อไปถึง เราจะต้องนั่งรถที่อุทยานเตรียมไว้ให้เพื่อเข้าไปด้านในอุทยาน ค่ารถคนละ 10 บาท ไม่เก็บค่าผ่านประตูด้วยนะเออ
แดนพุทธเกษตร
อ่านแล้วชอบ เลยถ่ายมา
ประตูสวรรค์ ใครผ่านแล้วจะหมดทุกข์หมดโศก ช่วยล้างอวิชชาทั้งหลาย
พระแม่กวนอิมพันมือ มีด้านละ 250 กร เราจะต้องเดินสักการะให้ครบ 4 ด้าน เพื่อจะได้ครบทั้งพันมือ ถึงจะได้บุญ
เราไปถึงชะอำกันเกือบบ่ายโมง ที่แรกที่ไปคือร้านอาหารทะเล คือมาทะเลแล้วไม่กินอาหารทะเลก็เหมือนมาไม่ถึงสิเนอะ พวกเราไปฝากท้องกันที่ร้าน “ลัคกี้ ซีฟู้ด” อยู่ตรงชะอำเหนือแถวๆทางไปสะพานปลา รสชาติอาหารก็ถือว่าโอเค พวกเราสั่งหอยนางรมสด ปูม้านึ่ง ต้มยำรวมมิตร แล้วก็ปลากะพงทอดราดน้ำปลา กินแบบราชาแต่กายามีตังอยู่ไม่มีกี่บาท 555 ค่าอาหารมื้อนั้นหมดไป 1,370 บาท ที่อื่นมันก็ราคาประมาณนี้อะนะ มันก็ออกจะแปลกๆ เหมือนกันที่อาหารทะเลอยู่ใกล้ทะเล แต่ราคาแพงกว่าตลาดนัด แล้วมันก็เป็นทุกที่ซะด้วย งง
เอาล่ะ หนังท้องตึง ก็ออกเดินทางไปพักกายพักใจที่ริมทะเล ณ ชายหาดชะอำกันต่อ วันนั้นคนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ทั้งๆที่เป็นวันอาทิตย์ อาจจะเพราะท้องฟ้าที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดวัน แต่ก็ดีไม่วุ่นวาย พวกเราเช่าเก้าอี้ชายหาดนั่ง ตัวละ 30 บาท สั่งส้มตำกับไก่ย่างมากินกันอีกหน่อย เหมือนตอนเที่ยงยังไม่ได้กินอะไรมา 5555 แล้วก็นอนยาวกันเลยจ้า เอาแรงก่อนกลับบ้าน
สำหรับชายหาดชะอำในความคิดเรา มันก็สวยนะ มีต้นสนขึ้นเรียงรายทอดยาวไปตามชายหาด แต่เสียตรงที่มีขยะบนชายหายเยอะมาก ถึงแม้ว่าหาดทรายจะขาวนวลแค่ไหน แต่ถ้ามองไปแล้วเห็นขยะเกลื่อนอยู่บนชายหาดก็ทำให้ความอภิรมย์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติในประเทศไทยที่ความเจริญชอบเข้าไปบุกรุกความงามตามธรรมชาติของสถานที่ต่างๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะปลูกฝังให้ผู้ที่มีส่วนร่วมกับความเจริญเหล่านั้นได้เข้ามาร่วมกันรับผิดชอบกับธรรมชาติที่นับวันจะยิ่งถูกทำลายมากขึ้น เรื่องนี้พูดมากก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเซ็นซิทิฟ แค่เป็นการรำพึงกับตัวเองก็แค่นั้น
ป้ากำลังหาหอยกระปุก
พักผ่อนหย่อนกายกันอย่างเต็มที่ มองเวลาก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว พวกเราก็ขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ ช่วงเวลาพักผ่อนมักจะผ่านไปเร็วเสมอ จากนั้นแต่ละคนก็ต้องกลับไปทำตามบทบาทหน้าที่ของตน แล้ววันหนึ่งเมื่อใจเรียกร้องให้ออกไปพักผ่อน เราก็จะออกเดินทางกันอีกครั้งเพื่อให้ร่างกายไปชาร์ตแบตแล้วค่อยกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้ง วนเวียนไปอย่างนี้จนกว่าร่างกายจะออกไปไม่ไหวแล้ว...
การเดินทางครั้งนี้บอกอะไรเราหลายอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนชอบเที่ยวคนเดียว แต่พอได้มาเที่ยวกับพี่ๆ เราก็รู้สึกดีไปอีกแบบ เพราะมันทำให้เราไม่เหงา มีคนนอนข้างๆยามค่ำคืน มีคนนั่งกินข้าวด้วย มีคนร้องเพลง หัวเราะเฮฮาด้วยกัน แล้วมีเพื่อนร่วมทางที่ร่วมกันแชร์สิ่งดีๆ ด้วยกัน มันเป็นการเดินทางที่แสนวิเศษเหลือเกิน เราเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะให้เรามีความสุขกับการอยู่คนเดียวมากแค่ไหน แต่การมีคนอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เรามีความสุขได้ไม่แพ้กัน...
แล้วพบกันใหม่
ติดตามเรื่องเล่าการเดินทางอื่นๆได้ที่เพจจ้า
https://www.facebook.com/soloezgo/?ref=bookmarks
ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปที่แก่งกระจาน-ชะอำ สไตล์ชะนีถึกชอบเที่ยว
สวัสดีค่าสายเที่ยวทุกคน แน่นอนว่าคุณต้องเป็นสายเที่ยวแน่นอนเพราะไม่งั้นก็คงไม่เข้ามาอ่านกระทู้ของอิชั้นใช่มั้ยคะ คิคิ หลังจากเพิ่งไปเดินขึ้นดอยสุเทพมาเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เหมือนฟ้าจะไม่ได้ส่งเราให้เกิดมาเพื่อนอนอยู่บ้านเฉยๆ จึงมีเรื่องให้ต้องออกทริปกันอีกแล้ว บางทีก็อยากหาเงินให้เก่งเหมือนเที่ยวบ้างไรบ้าง
ติดตามเรื่องราวการเดินเท้าขึ้นดอยสุเทพได้ที่นี่เลยจ้า https://ppantip.com/topic/36452462
เรามาดูกันค่ะว่า ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ไปที่แก่งกระจาน-ชะอำ ครั้งนี้จะมีเรื่องเล่าการเดินทางในฉบับสายเที่ยวจังแต่ตังไม่มีอย่างเราอย่างไร ไปดูกันเล้ยยยย
ต้องบอกว่าทริปนี้ค่อนข้างจะหลุด concept สไตล์การเที่ยวของเราอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้ไม่ได้ไปคนเดียว เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว และนอนในรีสอร์ทแทนโฮสเทล แต่อย่างว่าล่ะจ้ะชีวิตไม่มีอะไรแน่นอนฉันใด การเดินทางก็ย่อมไม่มีความแน่นอนฉันนั้น จงอย่าเดินทางเกินเดือนละสองครั้ง เพราะไม่อย่างนั้นท่านจะรู้สึกตัวเบาโดยไม่ทันตั้งตัว
เข้าเรื่องกันตะ
ทริปนี้เป็นทริปกะทันหัน ไม่มีแผน เก็บกระเป๋าตอน 5 ทุ่ม ออกจากบ้านที่ชลบุรีตอนตี 5 ถึงเพชรบุรีบ่ายสอง มีผู้ร่วมทริป 5 ชีวิต รวมเราด้วย ขับรถยนต์มุ่งหน้าสู่ “ณัฐพล รีสอร์ท” ที่พักสำหรับ 3 วัน 2 คืน (19-21 พ.ค.) ของพวกเราชาวแกงค์ ซึ่งก่อนที่เราจะเข้าที่พักกันนั้นได้แวะซื้อเสบียงตุนไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมนมเนย มาม่า โจ๊ก ผลไม้กระป๋อง น้ำดื่ม ประหนึ่งเราจะไปพักที่ป่าอันไกลโพ้นที่ไม่สามารถหาซื้อของกินได้ 5555 ไม่ใช่อะไรหรอก แต่ลงความเห็นกันว่าอาหารที่รีสอร์ทน่าจะแพง น่าจะซื้อของไปไว้เพื่อประหยัดเงิน
“ณัฐพล รีสอร์ท”
เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ริมคลองปล่อยน้ำจากเขื่อน รีสอร์ทหาง่ายมาก ภายในมีที่พักแบบบ้านเป็นหลัง และเป็นห้องพัก
ของเราเป็นบ้านไม้ (ปูเสื่อน้ำมันด้วย) ค่อนข้างจะเก่า เพราะจองไม่ทันเลยได้หลังนี้ พักได้ 10 คน มี 2 ห้องนอน ห้องน้ำใหญ่มาก ประหนึ่งจะให้เข้าไปอาบน้ำพร้อมกันหมดเลย บางทีถ้าทำเล็กกว่านี้แต่ทำเป็น 2 ห้องดูจะเวิร์คกว่า พวกสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีตู้เย็น ทีวี แอร์เย็นมาก ถ้าอยากจะเอาพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างอื่นมาก็ได้แต่ต้องแจ้งเจ้าของก่อน ส่วนสัตว์เลี้ยงคิดเพิ่มตัวละ 300 บาท
ราคาบ้านพักคิดตามช่วงเวลา วันจันทร์-ศุกร์ คืนละ 3,000 บาท เสาร์-อาทิตย์ คืนละ 4,000 บาท พร้อมอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ (อาหารเช้ามีเฉพาะวันอาทิตย์)
หลังนี้เป็นบ้านที่เราพัก
นอกจากนี้รีสอร์ทยังมีบริการเรือยางไว้ล่องเรือไปตามลำคลอง ที่เป็นทางปล่อยน้ำมาจากเขื่อนแก่งกระจาน ราคาลำละ 1,200 บาท และก็มีสไลเดอร์ให้แขกและบุคคลภายนอกเข้ามาเล่นกัน โดยคลองสายนี้จะมีน้ำไหลเชี่ยวในช่วงตอนกลางวัน หลังจาก 5 โมงเย็นไปแล้วก็จะแห้งเพราะเขื่อนปิดน้ำ และจะเปิดอีกทีในตอนเช้าของวันถัดไป
พอหอมปากหอมคอกับที่พักของเราไปแล้ว ต่อไปไปดูสถานที่เที่ยวที่เราไปกันบ้างดีกว่า
ที่แรก “สะพานแขวนแก่งกระจาน” ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง สิ่งเล็กเล็กที่เรียกว่ารัก ใครจำฉากนั้นได้บ้างที่มาริโอ้กับเฟิร์นมาสวีทกันบนสะพาน ในหนังมันสวยมากเพราะมีเป็นช่วงที่น้ำเต็มเขื่อน แต่ตอนที่เราไปน้ำแห้งพอดี เลยไม่ค่อยได้ฟีลลิ่งเท่าไหร่ แถมสะพานก็ปิดปรับปรุงครึ่งทาง เดินแค่ไปถึงกลางสะพานแล้วก็หันหลังกลับ มันก็จะเสียวๆ หน่อยเพราะเป็นสะพานไม้ ที่บางช่วงมีรูโหว่รูเบ้อเริ่ม
ที่ที่สองไม่มี 555 คือเราไปกันแค่นี้เพราะเป็นช่วงหน้าฝน เดินทางไม่ค่อยสะดวกเลยอยู่ในที่พักกันซะมากกว่า ตอนแรกกะว่าจะไปดูทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่ง แต่สอบถามกับทางที่พักได้ความมาว่าถ้าจะไปต้องให้รถจากอุทยานมารับเท่านั้น ค่ารถเหมาคันละ 2,000 บาท ซึ่งเรามากันห้าคนถ้าไปก็ตกคนละ 400 บาท คิดแล้วค่อนข้างจะแพงอยู่ ก็เลยไม่ไปดีกว่า แต่จริงๆแล้วถ้าใครจะไปก็ให้บอกที่พักล่วงหน้าแล้วเค้าจะหาคนมาเพิ่มให้ ซึ่งก็คือแขกคนอื่นที่อยากไปชมทะเลหมอกเหมือนกัน รวมๆกันไปจะประหยัดขึ้น แต่วันนั้นไม่มีแขกจะไปด้วยเลย พวกเราก็อดไปตามระเบียบ
นอกจากเขาพะเนินทุ่งที่เราตั้งใจจะไปแล้วไม่ได้ไปนั้น เรายังจะไปชมผีเสื้อที่แคมป์บ้านกร่างด้วย แบบขับรถไปถึงหน้าแคมป์แล้ว กำลังจะจ่ายเงิน (ค่าเข้าคนละ 100 บาท) แต่รู้สึกเอะใจเลยลองถามเจ้าหน้าที่ว่าวันนี้มีผีเสื้อเยอะรึป่าว แล้วเจ้าหน้าที่ก็ตอบแบบอึกๆอักๆ กลับมาว่าพอจะมีบ้างเพราะฝนเพิ่งตกไป ผีเสื้อไม่ค่อยออกมา เราก็เลยลงมติกันว่าหันหัวรถกลับดีกว่า ดูท่าแล้วจะไม่คุ้ม เข้าไปอาจจะเจอผีเสื้ออยู่กันสองสามตัวก็เป็นได้
* สำหรับเทศกาลดูผีเสื้อนั้น จะอยู่ในช่วงมกราคมถึงเมษายนของทุกปี โดยจะมีผีเสื้อกว่า 250 ชนิดบินมาอยู่รวมกันที่แคมป์บ้านกร่าง และอุทยานแก่งกระจาน นักท่องเที่ยวก็จะเข้าไปถ่ายรูปและชมความงามของผีเสื้อกัน เสียดายเราไม่มีบุญได้เห็น กระซิกๆ
เอาเป็นว่าสรุปแล้วทริปนี้แทบจะไม่ได้เที่ยวเลย อยู่แค่ในที่พัก นอน ร้องเพลง เล่นกีตาร์ เล่นน้ำ กิน แล้วก็นอนอยู่ในห้อง วนไป 2 วันจ้า
วันเดินทางกลับ
วันนี้พวกเราจะกลับกันแล้ว เราก็ตื่นเช้าปกติแล้วก็ไปทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์ ที่มีข้าวผัด ข้าวต้ม ไส้กรอก ไข่ดาว ปาท่องโก๋ ขนมปังปิ้ง กาแฟและโอวัลติน ตามสไตล์อาหารเช้าแบบ Continental Breakfast รสชาติข้าวผัดกับข้าวต้มก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับอร่อยเหาะ กินแก้หิวได้ก็ผ่านแล้ว
เวลาล่วงไปประมาณ 10 โมงครึ่ง พวกเราก็ check-out ออกจากรีสอร์ท แล้ววางแผนกันว่าจะไปแวะชะอำก่อนกลับ พูดกันว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดให้ไม่ได้ไปอีกมั้ง และแล้วเราก็ได้ไปชะอำดังที่ตั้งใจไว้จริงๆ อารมณ์เหมือนข้าคือผู้ชนะ เพราะพลาดมาสองที่แล้ว ถ้าพลาดที่นี่อีกก็คงกลับบ้านไปนอนตีพุง แล้วสังเวชใจเพียงลำพัง
ระหว่างไปชะอำ เราไปแวะไปที่ อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ ใกล้ๆกับแก่งกระจาน ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระแม่กวนอิมไม้แกะสลัก ปางพันเนตรพันกรสูงที่สุดในโลก ภายในมีเนื้อที่ประมาณ 187 ไร่ อุทยานแห่งนี้ได้รวบรวมความรู้ทางศาสนาต่างๆ ไว้ให้คนได้เข้าไปศึกษา โดยภายในจะแบ่งพื้นที่เป็นแดนศาสนา ประกอบด้วย หุบเขาสี่อริยสงฆ์ แดนพราหมณ์-ฮินดู แดนมหายานและเต๋า แดนห้าแม่ผู้ยิ่งใหญ่ แดนสุขาวดี แดนพุทธเกษตร แดนมิตรต่างดาว และแดนสิบสองนักษัตร คือมาที่เดียวแต่ได้ความรู้ทุกศาสนาเลยทีเดียว
เมื่อไปถึง เราจะต้องนั่งรถที่อุทยานเตรียมไว้ให้เพื่อเข้าไปด้านในอุทยาน ค่ารถคนละ 10 บาท ไม่เก็บค่าผ่านประตูด้วยนะเออ
เราไปถึงชะอำกันเกือบบ่ายโมง ที่แรกที่ไปคือร้านอาหารทะเล คือมาทะเลแล้วไม่กินอาหารทะเลก็เหมือนมาไม่ถึงสิเนอะ พวกเราไปฝากท้องกันที่ร้าน “ลัคกี้ ซีฟู้ด” อยู่ตรงชะอำเหนือแถวๆทางไปสะพานปลา รสชาติอาหารก็ถือว่าโอเค พวกเราสั่งหอยนางรมสด ปูม้านึ่ง ต้มยำรวมมิตร แล้วก็ปลากะพงทอดราดน้ำปลา กินแบบราชาแต่กายามีตังอยู่ไม่มีกี่บาท 555 ค่าอาหารมื้อนั้นหมดไป 1,370 บาท ที่อื่นมันก็ราคาประมาณนี้อะนะ มันก็ออกจะแปลกๆ เหมือนกันที่อาหารทะเลอยู่ใกล้ทะเล แต่ราคาแพงกว่าตลาดนัด แล้วมันก็เป็นทุกที่ซะด้วย งง
เอาล่ะ หนังท้องตึง ก็ออกเดินทางไปพักกายพักใจที่ริมทะเล ณ ชายหาดชะอำกันต่อ วันนั้นคนก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ทั้งๆที่เป็นวันอาทิตย์ อาจจะเพราะท้องฟ้าที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนตลอดวัน แต่ก็ดีไม่วุ่นวาย พวกเราเช่าเก้าอี้ชายหาดนั่ง ตัวละ 30 บาท สั่งส้มตำกับไก่ย่างมากินกันอีกหน่อย เหมือนตอนเที่ยงยังไม่ได้กินอะไรมา 5555 แล้วก็นอนยาวกันเลยจ้า เอาแรงก่อนกลับบ้าน
สำหรับชายหาดชะอำในความคิดเรา มันก็สวยนะ มีต้นสนขึ้นเรียงรายทอดยาวไปตามชายหาด แต่เสียตรงที่มีขยะบนชายหายเยอะมาก ถึงแม้ว่าหาดทรายจะขาวนวลแค่ไหน แต่ถ้ามองไปแล้วเห็นขยะเกลื่อนอยู่บนชายหาดก็ทำให้ความอภิรมย์ลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติในประเทศไทยที่ความเจริญชอบเข้าไปบุกรุกความงามตามธรรมชาติของสถานที่ต่างๆ มันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายที่จะปลูกฝังให้ผู้ที่มีส่วนร่วมกับความเจริญเหล่านั้นได้เข้ามาร่วมกันรับผิดชอบกับธรรมชาติที่นับวันจะยิ่งถูกทำลายมากขึ้น เรื่องนี้พูดมากก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเซ็นซิทิฟ แค่เป็นการรำพึงกับตัวเองก็แค่นั้น
พักผ่อนหย่อนกายกันอย่างเต็มที่ มองเวลาก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว พวกเราก็ขับรถมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ ช่วงเวลาพักผ่อนมักจะผ่านไปเร็วเสมอ จากนั้นแต่ละคนก็ต้องกลับไปทำตามบทบาทหน้าที่ของตน แล้ววันหนึ่งเมื่อใจเรียกร้องให้ออกไปพักผ่อน เราก็จะออกเดินทางกันอีกครั้งเพื่อให้ร่างกายไปชาร์ตแบตแล้วค่อยกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติอีกครั้ง วนเวียนไปอย่างนี้จนกว่าร่างกายจะออกไปไม่ไหวแล้ว...
การเดินทางครั้งนี้บอกอะไรเราหลายอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนชอบเที่ยวคนเดียว แต่พอได้มาเที่ยวกับพี่ๆ เราก็รู้สึกดีไปอีกแบบ เพราะมันทำให้เราไม่เหงา มีคนนอนข้างๆยามค่ำคืน มีคนนั่งกินข้าวด้วย มีคนร้องเพลง หัวเราะเฮฮาด้วยกัน แล้วมีเพื่อนร่วมทางที่ร่วมกันแชร์สิ่งดีๆ ด้วยกัน มันเป็นการเดินทางที่แสนวิเศษเหลือเกิน เราเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงพูดว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เพราะให้เรามีความสุขกับการอยู่คนเดียวมากแค่ไหน แต่การมีคนอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เรามีความสุขได้ไม่แพ้กัน...
แล้วพบกันใหม่
ติดตามเรื่องเล่าการเดินทางอื่นๆได้ที่เพจจ้า https://www.facebook.com/soloezgo/?ref=bookmarks