เมื่อฉันได้ไปเดินขึ้นดอยสุเทพ @ประเพณีเตียวขึ้นดอย ณ เชียงใหม่

ทริปนี้สั้นๆ แต่ได้ใจความสำคัญว่า “ไปเถอะแก ไปเดินขึ้นดอยกัน”
หลังจากเปิดดูปฏิทินแล้วสายตาเจ้าเอยก็ไปสะดุดกับตัวหนังสือหนาสีแดงว่า วันวิสาขบูชา ในช่องวันที่ 9 พฤษภาคม 2560 และแล้วก็ระลึกชาติได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอ่านเจอเกี่ยวกับประเพณีของเมืองเชียงใหม่ที่ปีนึงจะมีแค่ครั้งเดียว และจะจัดก่อนวันวิสาขบูชาหนึ่งวัน ประเพณีนั้นมีชื่อชื่อว่า “เตียวขึ้นดอย ไหว้สาป๋าระมีพระธาตุดอยสุเทพ” ซึ่งในวันงานจะมีประชาชนชาวเชียงใหม่และจากจังหวัดใกล้เคียงมาร่วมกันเดินเท้าขึ้นดอยสุเทพ เป็นระยะทางกว่า 11 กิโลเมตร เพื่อขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพเนื่องในวันวิสาขบูชา แม่เจ้า!! ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ว่าปีนี้จะต้องไปร่วมเดินเท้าขึ้นดอยสุเทพให้ได้ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยก่อนเรียนจบ รอช้าอยู่ไย ตัดสินใจเก็บกระเป๋าเดินทางเลยจ้า ไปเชียงใหม่ครั้งนี้จะไปแบบเด็กสาวสายบุญเจ้า
แพลนคร่าวๆ ของน้องนี้คือ จะเดินทางไปกลับด้วยรถไฟฟรี ออกเดินทางวันที่ 8 พอไปถึงก็จะหาโฮสเทลไว้ซุกหัวนอนหนึ่งคืน และเดินทางกลับวันที่ 10 พฤษภาคม โอเคแพลนพร้อม ใจพร้อม กายพร้อม เราทำได้ เฮ้!
จะบอกว่าทริปนี้ไปกันสองคนนะเออ ไปกับผู้ด้วย แต่เพื่อนผู้นะจ๊ะ

ข้ามไปวันที่ 8 พฤษภาคม เลยละกัน เราออกเดินทางจากชลบุรี 9.45 น. ไปถึงเอกมัยประมาณเกือบเที่ยง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟหัวลำโพงอย่างเร็วรี่ และรีบไปเอาตั๋วฟรี กรุงเทพ-เชียงใหม่ ขบวน 109 ตามตารางเวลารถไฟจะออกจากกรุงเทพ 13.45 น. และจะถึงสถานีเชียงใหม่ 04.05 น. ได้ตั๋วแล้วก็สบายใจเตรียมตรู๊ดไว้เลย การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานนักนะเออ การนั่งรถไฟไทยชั้น 3 กว่า 14 ชั่วโมง ใครไม่เคยประสบกับตัวเอง ย่อมไม่มีทางเข้าถึงหัวอกน้องได้ Let’s Go!!

วันที่ 9 พฤษภาคม ขณะนั้นเวลา 04.40 น. โอเครถไฟเลทแบบรับได้จ้า เมื่อสองร่างน้อยๆ ย่ำลงบนพื้นสถานีรถไฟเชียงใหม่ประดั่งเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ถึงแล้วโว้ยยยย เชียงใหม่
ด้วยความเหนียวหนะและเหนียวเหนอะ เราสองคนจึงรีบไปอาบน้ำ ซึ่งที่สถานีมีห้องน้ำเอาไว้ให้ผู้โดยสารได้อาบน้ำกันอย่างเบิกบานสราญฤทัยด้วยเจ้า ค่าเสียหายคนละ 15 บาทเอง เก๋ๆ น้ำแรงพอใช้ได้
นาฬิกาบอกเวลาเกือบ 6 โมงเช้า เราจึงจรลีออกจากสถานีรถไฟแล้วเดินไปตามถนน ตอนแรกกะว่าจะเดินไปให้ถึงประตูเชียงใหม่แล้วหาอาหารเช้ากินกัน แต่....สังขารเราไม่ไหวจ้า โบกรถแดงดีกว่า
และแล้วมื้อแรกที่เชียงใหม่ของเฮาสองคน โจ๊กจืดๆ ที่เติมซีอิ๊วเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น 555 ได้แต่ก้มหน้าก้มตากินกันอย่างไม่พูดไม่จา

พอหนังท้องอิ่มก็จะไม่ยอมให้หนังตาหย่อนเด็ดขาด เราลองไปเดินเล่นในตลาดเช้าที่เต็มไปด้วยแผงลอยขายอาหารท้องถิ่นของเมืองเชียงใหม่ จากนั้นก็ออกเดินทาง

เราคุยกันว่าจะเดินเล่นในตัวเมืองเชียงใหม่ เดินไปเรื่อยๆ แผนที่ไม่ต้อง เจออะไรน่าสนใจก็ค่อยแวะดู และที่แรกที่เราเดินเข้าไปก็คือ วัดพันแหวน ที่ตั้งอยู่ในซอยอะไรสักอย่างนึง จำชื่อไม่ได้ เมื่อเราเดินพ้นประตูวัดเข้าไปก็จะเจอกับเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่ มองดูแล้วสัมผัสได้ถึงความเป็นล้านนาจริงๆ

หลังจากดื่มด่ำกับลวดลายอันวิจิตรงดงามของเจดีย์นี้แล้ว เราก็ออกเดินเท้าเพื่อหาจุดแวะพักต่อไป ซึ่งสถานที่ต่อไปนั้นก็คือ วัดพระเจ้าเม็งราย ตั้งอยู่ที่ถนนราชมรรคา เรามองเข้าไปเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ในวิหารเล็กๆ อะไรดลจิตไม่รู้จึงเดินเข้าไป แล้วก็ได้พบกับพระสงฆ์รูปหนึ่ง ท่านแทนตัวว่าหลวงลุง เราได้พูดคุยกับท่านและทราบมาว่า วัดพระเจ้าเม็งรายนี้เป็นที่ประดิษฐานของ “พระเจ้าค่าคิง” พระพุทธรูปของพญาเม็งราย ปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนานครเชียงใหม่ ท่านบอกว่าเราโชคดีมากที่ได้มาที่นี่ เพราะปกติจะไม่ค่อยมีคนรู้จักวัดนี้เท่าไรนัก รู้สึกเป็นบุญอย่างยิ่ง แต่เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะมัวแต่ฟังหลวงลุงเทศนาธรรมให้ฟัง และแล้วเราก็กราบลาหลวงลุงเพราะเห็นว่าเวลาล่วงไปมากแล้ว

จากวัดพญาเม็งรายมาเราก็ยังเดินเท้าต่อไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าเดินแบบไม่มีจุดหมายแบบนี้ไม่ได้แล้ว จึงตกลงว่าจะนั่งรถแดงไปถนนนิมมานเหมินตร์เพื่อหาที่พักสำหรับคืนนี้กัน โกๆ
กิจกรรมที่เราทำ ณ ถนนนิมมาน คือหาร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ และก็เจอร้านนึง ที่ปล่อยมอเตอร์ไซด์ให้เช่าคันละ 250 บาทต่อวัน ไม่ต้องเดินขาลากแล้วเจ้า พอมีพาหนะก็ตะลอนกันอย่างสนุกสนานเลยทีนี้ สถานีต่อไปหาที่ซุกหัวนอน
สำหรับที่พักของเรานั้นเป็นโฮสเทลชื่อว่า Bake Room Hostel ที่มีเจ้าของเป็นคนเกาหลี เราเลือกห้องโดม มีทั้งหมด 8 เตียง สนนราคาคืนละ 250 บาทพร้อมอาหารเช้าเจ้า จัดแจงเก็บสัมภาระแล้วเตรียมตัวออกเดินทางจ้า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่