Part 1
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณในความกรุณาที่เข้ามาอ่านเรื่องราวปัญหาของดิฉันนะคะ ตอนนี้ดิฉันมีคำถามมากมายอยู่ในหัวเต็มไปหมด อยากได้คำแนะนำและทางออกมาก ๆ ค่ะ ตอนนี้ เพราะคำแนะนำหรือแนวทางที่แก้ปัญหาที่สอบถามจากคนรอบตัว ล้วนก็ให้แต่การแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่ดิฉันนั้นทราบอยู่แล้ว และเคยลองปฏิบัติ แต่ไม่เคยประสบผลได้ตามที่ทุกคนคาดหวังให้เป็นม้าโพนี่ได้เลยซักครั้ง ตอนนี้ปัญหามันอัดตัวดิฉันจนหาทางออกไม่ได้ ทั้งระบายลงสมุดไดอารี่ ทวิตเตอร์ เฟสบุ้ค คนสนิท หรือกับตัวเองที่หน้ากระจกแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจหาทางแก้ได้เลย ดิฉันอยากทราบค่ะ ว่าพฤติกรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นในตัวของดิฉัน ดิฉันควรไปพบจิตแพทย์รึป่าว หรือว่าคนไปหาหมอรักษาโรคตามอาการ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรค่ะ
แรกเริ่มเลยนะคะ ดิฉันเป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งทางตอนภาคเหนือ ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ดิฉันเรียนห้องเรียนพิเศษ หรือที่เขาเรียกกันว่า Gifted บอกข้อมูลจากการอิงความเป็นจริง ดิฉันเรียนอยู่ในระดับที่คิดว่า ค่อนข้างดีพอสมควร ตั้งแต่เรียนม.ต้น จนถึงม.ปลาย เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.5 เลยซักครั้งค่ะ ที่กล่าวมาเหมือนชีวิตจะดีนะคะ แต่เอาเข้าจริง ๆ เกรดมันก็แค่นั้นแหละค่ะ หลายคนบอกว่าใบเกรดคือเครื่องหมายการรันตีให้เราผลักดันตัวเราให้ไปถึงฝัน แต่สำหรับฉัน มันคือตัวกดดันที่ร้ายแรงยิ่งกว่ายาหลอนประสาทซะอีก ดิฉันเป็นความคาดหวังของคนหลายคน ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ซึ่งทุกคนมักคิดว่าดิฉันความสามารถนั้นล้นเหลือ ควรจะไปได้ไกลกว่าคำว่าเกรดเฉลี่ย 3.93 เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมาเกรดของดิฉันไม่เคยได้ 4.00 เลยแม้แต่ครั้งเดียว ใครบอกว่าเรียนให้ได้เกรดสี่มันง่าย คุณลองมาเป็นความหวังหรือของเล่นที่เอาไว้ท้าชิงของคนรอบกายดูสิ แล้วคุณจะเข้าใจว่าการได้เกรดสี่มันยากเย็นแค่ไหน กดดันตัวเองจนคิดฆ่าตัวตายหลายรอบมาก
ตั้งแต่ม. 1 ดิฉันเข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า ดิฉันจะเริ่มต้นใหม่จากชีวิตเฮงซวยที่ผ่านรั้วประถมอนุบาลมาให้หมด เพราะอดีตเคยถูกล้อปมด้อย ไม่ใช่แค่ถูกล้อจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ครูบาอาจารย์ที่สอนประถมตอนนั้นก็ล้อดิฉันเหมือนกัน เขาคงคิดว่าสนุกนะคะ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันกลับทำให้ดิฉันเก็บกดและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ภาพลักษณ์ภายนอกของดิฉันดูเป็นคนกล้าแสดงออก สดใส ร่าเริง แต่เอาเข้าจริง ๆ ตัวดิฉันนั้นขี้น้อยใจมาก ๆ เป็นคนที่เก็บกด เก็บอารมณ์เก่ง บางทีเราโกรธแต่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าเราโกรธเพราะเราไม่แสดงออก จะแสดงออกก็ต่อเมื่ออยากให้เขาเข้าใจ บางทีเพื่อนก็แอนตี้เราซะงั้น ที่เราแสดงความรู้สึกจริง ๆ ให้เขาเข้าใจ เราเลยต้องปั้นหน้าใส่หน้ากากเข้าหาทุกคนมาตั้งแต่อยู่ประถม ทุกคนบอกว่า ดิฉันเป็นคนมั่นหน้ามั่นโหนก จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เลยค่ะ ดิฉันเป็นคนที่ขี้อายมาก ๆ ฟันของดิฉันนั้นมันห่าง ห่างมาตั้งแต่เล็ก ๆ เรียกได้ว่าฟันไม่สวยจนเป็นคนไม่กล้ายิ้มให้ใครเห็นฟัน เรื่องฟันห่างของดิฉันถูกญาติผู้ใหญ่ล้อมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเด็กหน้าปากซอบยังล้อเลย ฉายาในวัยเด็กครั้งแรกก็ผุดขึ้น นั่นคือ 'เขี้ยวห่างปั๋นแม้วเข้าแถว' เป็นภาษาเหนือมีความหมายว่า ฟันห่างกันจนเหมือนชาวดอยเขาต่อแถว มันเป็นฉายาที่เจ็บปวดมาก เคยคิดอยากเอาหินกระเทาะฟันน้ำนมออกให้หมด เกลียดมาก ๆ เกลียดฉายานี้ เรารู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่เด็กเลยล่ะ แต่เราก็หัวเราะเฮฮาให้กับทุกคนที่ล้อราวกับว่าฟันฉันนี่มันช่างน่าอัปลักษณ์แถมจักจี้ต่อมฮาของฉันเหลือเกิน จนขึ้นประถมมาก็เริ่มที่จะชินชากับฉายานี้เพราะเริ่มไม่มีใครพูดถึง เราฟันน้ำนมเริ่มหลุดแล้วฟันแท้ก็งอก ฟันกระต่ายด้านหน้าเราตอนแรกมันออกมาได้ดีแล้ว แต่มีวันหนึ่งเราไปกระโดดโต๊ะปิงปองเล่นสะดุดล้มฟันฟาดกับโต๊ะปิงปองจนฟันหักนิดหน่อยตอน ป.2 จากนั้นฟันแท้ก็ขึ้นมาอยากผิดปกติรูป ความคิดที่จะได้ฟันสวย ๆ มันหายวับไปเลยค่ะตอนนี้กลับกลายเป็นฟันที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่าตอนเด็ก ๆ ซะอีก จนถึงปัจจุบันที่ดิฉันเรียนอยู่ ม.ปลาย ฟันที่หักของดิฉันก็ยังไม่ได้ต่อ และฟันก็ยังไม่ได้ดัด ยังคงมีปมด้อยให้ใครที่พบเห็นต่างมองอย่างหวาดดผวาอยู่ตามเคย
8 ปีที่ไร้ซึ่งคนพาไปดัด จัดเสริม เราก็แอบน้อยใจพ่อแม่ แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า เงินท่านกว่าจะหามาได้ มันยากลำบากมาก ๆ แต่สุดท้ายเราก้ยังรุ้สึกน้อยใใจอยู่ดี แค่แม่ทานไก่ทอดแล้วกัดใส่กระดูกฟันหัก ท่านยังรีบไปต่อฟันทันทีทันใด เสียเงินเท่าไหร่ท่านก็ยอม แล้วเราล่ะ ทนฟันห่างแบบนี้มาตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น ไม่มีผู้ใดแลเลย พอขึ้นป. 3 ตอนนั้นบ้านเกิดน้ำท่วม พวกหนังสือที่ไว้ไปรร เสียหายหมด ไม่มีอุปกรณ์ไปรร ตกอีกวันที่ รร เปิด พ่อเราบอกว่าเราจะขาดเรียนด้วยเรื่องน้ำท่วมอย่างเดียวไม่ได้ เดี๋ยวเราจะเสียการเรียน เราเลยไปโรงเรียนทั้งที่มีแค่กระเป่านักเรียนกับยางลบแค่นั้น โชคดีที่เสื้อผ้าไม่ได้รับความเสียหาย ไปถึงโรงเรียนซึ่งสายมาก ๆ ตอนนั้นเป็นคาบของครูคนหนึ่ง ซึ่งโหดมาก ๆ นางสอนรายวิชาสุขศิกษา แล้วนางบอกให้เราจดบนกระดาน เราก็นั่งนิ่ง เพราะไม่มีอุปกรณ์ หันไปถามขอยืมเพื่อนข้าง ๆ เขาก็ไม่ให้ เพราะกลัวครูจะตะคอกใส่ วันนั้นเราโดนครูคนนี้ตะคอกใส่ เราเลยให้เหตุผลไปว่าบ้านน้ำท่วม สมุดดินสอ เปียกหมดเลย นางก็บอกว่าเรื่องแค่นี้จัดการตัวเองไม่เคยได้ เธอมันยัยช้า สายเสมอ ครูเขาพูดแบบนี้กับเราเพราะเขาตั้งอคติกับเรามาตั้งแต่รุ่นพี่สาวที่เคยเรียนโรงเรียนนี้เหมือนกัน เพราะพี่สาวเป็นคนทำอะไรช้า ครูเลยคิดว่าเราก็เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นคือนั่งร้องไห้ต่อหน้าครู ครูก็ด่า นึกดูสิว่าบ้านน้ำท่วมเสียหายก็หนักพอแล้ว มาเจอครูตะคอกกร่นด่าใส่อีก คำที่จะปลอบใจไม่มีแม้แต่จะเล็ดลอดออกจากปากเลย เป็นครูคนแรกที่เราเกลียด
หลังจากนั้นเมื่อเราเริ่มตั้งตัว มีดินสอ สมุดขึ้นมาบ้าง เราก็เริ่มเรียนตามปกติ แล้วมีอยู่วันหนึ่ง เราเรียนวิชาคณิตแล้วเหมือนจะเรียนแบบเบลอ ๆ จึงโดนครูที่สอนคณิตล้อ เริ่มแรกล้อเรื่อง 'ต๋กใจ๋น้ำท่วมบ่หายก้ะ' หมายความว่า ยังตกใจเรื่องน้ำท่วมไม่หายอีกหรอ และอีกเรื่องคือล้อป้มด้อยเช่นเคย ฉายาฟันห่างจึงกลับมาอีกครั้ง แต่เ-หี้-ยกว่าเดิม นั่นคือ 'เขี้ยวห่างปั๋นต๋าผีสือ' มีความหมายว่า ฟันห่างเหมือนตาผีกระสือ สองคำพูดนี้กลายเป็นฉายาที่เอาไว้ล้อเราจนถึงป. 6 เลยทีเดียว ข้ามเสต็ปมาจนถึงตอนป.6 ตอนนั้นเราเริ่มไม่ยอมใครแล้ว ไม่พอใจใครก็วีนให้รู้แล้วรู้รอด ขี้เกียจมานั่งเก็บกดจนโดนเพื่อนแอนตี้ บอกตามตรงว่าเราไม่ได้สวยเริศเลอ แถมหุ่นก็อวบอั๋น แต่ตอนนั้นเราเป็นนางรำประจำโรงเรียน ที่ได้เป็นนั้นก็เพราะว่าเราฟ้อนรำสวย เราจึงได้ไว้ผมยาว ซึ่งก็โดนเพื่อน ๆ นินทาอีกแหละว่าไม่เหมาะกับหน้า ตอนนั้นเราเริ่มสายตาสั้นด้วยแหละ จึงเริ่มตัดแว่นใส่ เพื่อนไม่ชินก็เอาไปนินทาลับหลังซึ่งเราก็รู้แต่เราไม่พูด จากที่ท่านผู้อ่านทุกท่านอ่านมาจนถึงตอนนี้ จำครูคนแรกที่เราเกลียดได้หรือไม่คะ นั่นแหละค่ะ ฉันเรียนกับนางอีกแล้ว นางจะรักพวกเด็กเรียนเก่งโด่ง ๆ มีหน้ามีตา ลูกเต้าเหล่าคนใหญ่คนโตล่ะนะ ส่วนเราพ่อเราเป็นพนักงานอุทยานแล้วขายผักดองเป็นอาขีพเสริม ทำมาค้าขายหลายอย่าง ก็โดนล้อโดนดูถูก ถูกเพื่อน ๆ ล้อเรื่องพ่อขายผักดอง จนปัจจุบันก็ยังงงอยู่นะ ว่า พ่อขายผักดองมันน่าอายตรงไหน ขอร้องเถอะ อย่าเอาเรื่องที่ไม่ใช่ปมด้อยมันแปลงจนเป็นปมด้อยเลย ครูคนนี้ก็ดูไม่ค่อยจะชอบหน้าเราอยู่ล่ะ เอาเข้าจริง ๆ นางก็คือนางยักษ์ประจำโรงเรียนเลยล่ะ มันมีวันหนึ่งเราไปเล่นวอลเล่ย์บอลแล้วตอนนั้นเราอารมณ์ไม่ค่อยดี หน้าก็เลยไม่ค่อยยิ้ม บวกกับแดดมันแรงมันร้อนมาก ๆ ตอนนั้นก็เล่นตามปกติ แต่ไม่รู้ว่าไปกวนโอ้ยครูได้อย่างไร ครูตะคอกด่าใส่เรา 'ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย หน้าตาก็ไม่สวยแล้วยังจะทำหน้าให้ไม่สวยอีก สวยก็ไม่สวยอยู่แล้ว'
เจ็บเลยค่ะ นี่หรือคะ ประโยคของครูผู้จบการศึกษามีจรรยาบรรณรับรอง อีกทั้งคุณจบปริญญาจากมหาลัยอะไร จบมาได้อย่างไร นี่อยากทราบมากเลยค่ะ ตอนนั้นก็ได้แต่แค่ก้มหน้าหลบสายตาครูไม่ให้ร้องไห้ พอกลับบ้านก็กลับไปนอนร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ เพราะปรึกษาไปก็ช่วยไม่ได้ เคยปรึกษาเรื่องโดนครูอีกท่านต่อว่า ตอนนั้นพ่อถึงขั้นไปหาผอ. เลยทีเดียว เราก็ไม่อยากให้เราเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาครู ๆ หลายท่านหรอกนะ เพราะเราก็ไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโต สุดท้ายแล้วเขายังไงก็ไม่ไว้หน้ากันซักเท่าไหร่หรอก ตอนนั้นได้แต่เก็บกดและคิดอยู่ในใจอย่างเดียวว่า อีกนิด ก็จะพ้นจากโรงเรียนนี้แล้ว อีกนิดเดียว (มีต่อ)
เครียดจนหาทางออกไม่ได้ part 1
สวัสดีค่ะ ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณในความกรุณาที่เข้ามาอ่านเรื่องราวปัญหาของดิฉันนะคะ ตอนนี้ดิฉันมีคำถามมากมายอยู่ในหัวเต็มไปหมด อยากได้คำแนะนำและทางออกมาก ๆ ค่ะ ตอนนี้ เพราะคำแนะนำหรือแนวทางที่แก้ปัญหาที่สอบถามจากคนรอบตัว ล้วนก็ให้แต่การแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่ดิฉันนั้นทราบอยู่แล้ว และเคยลองปฏิบัติ แต่ไม่เคยประสบผลได้ตามที่ทุกคนคาดหวังให้เป็นม้าโพนี่ได้เลยซักครั้ง ตอนนี้ปัญหามันอัดตัวดิฉันจนหาทางออกไม่ได้ ทั้งระบายลงสมุดไดอารี่ ทวิตเตอร์ เฟสบุ้ค คนสนิท หรือกับตัวเองที่หน้ากระจกแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจหาทางแก้ได้เลย ดิฉันอยากทราบค่ะ ว่าพฤติกรรมหลากหลายที่เกิดขึ้นในตัวของดิฉัน ดิฉันควรไปพบจิตแพทย์รึป่าว หรือว่าคนไปหาหมอรักษาโรคตามอาการ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรค่ะ
แรกเริ่มเลยนะคะ ดิฉันเป็นนักเรียนจากโรงเรียนมัธยมชื่อดังแห่งหนึ่งทางตอนภาคเหนือ ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ดิฉันเรียนห้องเรียนพิเศษ หรือที่เขาเรียกกันว่า Gifted บอกข้อมูลจากการอิงความเป็นจริง ดิฉันเรียนอยู่ในระดับที่คิดว่า ค่อนข้างดีพอสมควร ตั้งแต่เรียนม.ต้น จนถึงม.ปลาย เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.5 เลยซักครั้งค่ะ ที่กล่าวมาเหมือนชีวิตจะดีนะคะ แต่เอาเข้าจริง ๆ เกรดมันก็แค่นั้นแหละค่ะ หลายคนบอกว่าใบเกรดคือเครื่องหมายการรันตีให้เราผลักดันตัวเราให้ไปถึงฝัน แต่สำหรับฉัน มันคือตัวกดดันที่ร้ายแรงยิ่งกว่ายาหลอนประสาทซะอีก ดิฉันเป็นความคาดหวังของคนหลายคน ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ ซึ่งทุกคนมักคิดว่าดิฉันความสามารถนั้นล้นเหลือ ควรจะไปได้ไกลกว่าคำว่าเกรดเฉลี่ย 3.93 เพราะในระยะเวลาที่ผ่านมาเกรดของดิฉันไม่เคยได้ 4.00 เลยแม้แต่ครั้งเดียว ใครบอกว่าเรียนให้ได้เกรดสี่มันง่าย คุณลองมาเป็นความหวังหรือของเล่นที่เอาไว้ท้าชิงของคนรอบกายดูสิ แล้วคุณจะเข้าใจว่าการได้เกรดสี่มันยากเย็นแค่ไหน กดดันตัวเองจนคิดฆ่าตัวตายหลายรอบมาก
ตั้งแต่ม. 1 ดิฉันเข้ามาเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า ดิฉันจะเริ่มต้นใหม่จากชีวิตเฮงซวยที่ผ่านรั้วประถมอนุบาลมาให้หมด เพราะอดีตเคยถูกล้อปมด้อย ไม่ใช่แค่ถูกล้อจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ครูบาอาจารย์ที่สอนประถมตอนนั้นก็ล้อดิฉันเหมือนกัน เขาคงคิดว่าสนุกนะคะ แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วมันกลับทำให้ดิฉันเก็บกดและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ภาพลักษณ์ภายนอกของดิฉันดูเป็นคนกล้าแสดงออก สดใส ร่าเริง แต่เอาเข้าจริง ๆ ตัวดิฉันนั้นขี้น้อยใจมาก ๆ เป็นคนที่เก็บกด เก็บอารมณ์เก่ง บางทีเราโกรธแต่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าเราโกรธเพราะเราไม่แสดงออก จะแสดงออกก็ต่อเมื่ออยากให้เขาเข้าใจ บางทีเพื่อนก็แอนตี้เราซะงั้น ที่เราแสดงความรู้สึกจริง ๆ ให้เขาเข้าใจ เราเลยต้องปั้นหน้าใส่หน้ากากเข้าหาทุกคนมาตั้งแต่อยู่ประถม ทุกคนบอกว่า ดิฉันเป็นคนมั่นหน้ามั่นโหนก จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เลยค่ะ ดิฉันเป็นคนที่ขี้อายมาก ๆ ฟันของดิฉันนั้นมันห่าง ห่างมาตั้งแต่เล็ก ๆ เรียกได้ว่าฟันไม่สวยจนเป็นคนไม่กล้ายิ้มให้ใครเห็นฟัน เรื่องฟันห่างของดิฉันถูกญาติผู้ใหญ่ล้อมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเด็กหน้าปากซอบยังล้อเลย ฉายาในวัยเด็กครั้งแรกก็ผุดขึ้น นั่นคือ 'เขี้ยวห่างปั๋นแม้วเข้าแถว' เป็นภาษาเหนือมีความหมายว่า ฟันห่างกันจนเหมือนชาวดอยเขาต่อแถว มันเป็นฉายาที่เจ็บปวดมาก เคยคิดอยากเอาหินกระเทาะฟันน้ำนมออกให้หมด เกลียดมาก ๆ เกลียดฉายานี้ เรารู้สึกเจ็บปวดตั้งแต่เด็กเลยล่ะ แต่เราก็หัวเราะเฮฮาให้กับทุกคนที่ล้อราวกับว่าฟันฉันนี่มันช่างน่าอัปลักษณ์แถมจักจี้ต่อมฮาของฉันเหลือเกิน จนขึ้นประถมมาก็เริ่มที่จะชินชากับฉายานี้เพราะเริ่มไม่มีใครพูดถึง เราฟันน้ำนมเริ่มหลุดแล้วฟันแท้ก็งอก ฟันกระต่ายด้านหน้าเราตอนแรกมันออกมาได้ดีแล้ว แต่มีวันหนึ่งเราไปกระโดดโต๊ะปิงปองเล่นสะดุดล้มฟันฟาดกับโต๊ะปิงปองจนฟันหักนิดหน่อยตอน ป.2 จากนั้นฟันแท้ก็ขึ้นมาอยากผิดปกติรูป ความคิดที่จะได้ฟันสวย ๆ มันหายวับไปเลยค่ะตอนนี้กลับกลายเป็นฟันที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่าตอนเด็ก ๆ ซะอีก จนถึงปัจจุบันที่ดิฉันเรียนอยู่ ม.ปลาย ฟันที่หักของดิฉันก็ยังไม่ได้ต่อ และฟันก็ยังไม่ได้ดัด ยังคงมีปมด้อยให้ใครที่พบเห็นต่างมองอย่างหวาดดผวาอยู่ตามเคย
8 ปีที่ไร้ซึ่งคนพาไปดัด จัดเสริม เราก็แอบน้อยใจพ่อแม่ แต่ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า เงินท่านกว่าจะหามาได้ มันยากลำบากมาก ๆ แต่สุดท้ายเราก้ยังรุ้สึกน้อยใใจอยู่ดี แค่แม่ทานไก่ทอดแล้วกัดใส่กระดูกฟันหัก ท่านยังรีบไปต่อฟันทันทีทันใด เสียเงินเท่าไหร่ท่านก็ยอม แล้วเราล่ะ ทนฟันห่างแบบนี้มาตั้งแต่ฟันเริ่มขึ้น ไม่มีผู้ใดแลเลย พอขึ้นป. 3 ตอนนั้นบ้านเกิดน้ำท่วม พวกหนังสือที่ไว้ไปรร เสียหายหมด ไม่มีอุปกรณ์ไปรร ตกอีกวันที่ รร เปิด พ่อเราบอกว่าเราจะขาดเรียนด้วยเรื่องน้ำท่วมอย่างเดียวไม่ได้ เดี๋ยวเราจะเสียการเรียน เราเลยไปโรงเรียนทั้งที่มีแค่กระเป่านักเรียนกับยางลบแค่นั้น โชคดีที่เสื้อผ้าไม่ได้รับความเสียหาย ไปถึงโรงเรียนซึ่งสายมาก ๆ ตอนนั้นเป็นคาบของครูคนหนึ่ง ซึ่งโหดมาก ๆ นางสอนรายวิชาสุขศิกษา แล้วนางบอกให้เราจดบนกระดาน เราก็นั่งนิ่ง เพราะไม่มีอุปกรณ์ หันไปถามขอยืมเพื่อนข้าง ๆ เขาก็ไม่ให้ เพราะกลัวครูจะตะคอกใส่ วันนั้นเราโดนครูคนนี้ตะคอกใส่ เราเลยให้เหตุผลไปว่าบ้านน้ำท่วม สมุดดินสอ เปียกหมดเลย นางก็บอกว่าเรื่องแค่นี้จัดการตัวเองไม่เคยได้ เธอมันยัยช้า สายเสมอ ครูเขาพูดแบบนี้กับเราเพราะเขาตั้งอคติกับเรามาตั้งแต่รุ่นพี่สาวที่เคยเรียนโรงเรียนนี้เหมือนกัน เพราะพี่สาวเป็นคนทำอะไรช้า ครูเลยคิดว่าเราก็เป็นเหมือนกัน ตอนนั้นคือนั่งร้องไห้ต่อหน้าครู ครูก็ด่า นึกดูสิว่าบ้านน้ำท่วมเสียหายก็หนักพอแล้ว มาเจอครูตะคอกกร่นด่าใส่อีก คำที่จะปลอบใจไม่มีแม้แต่จะเล็ดลอดออกจากปากเลย เป็นครูคนแรกที่เราเกลียด
หลังจากนั้นเมื่อเราเริ่มตั้งตัว มีดินสอ สมุดขึ้นมาบ้าง เราก็เริ่มเรียนตามปกติ แล้วมีอยู่วันหนึ่ง เราเรียนวิชาคณิตแล้วเหมือนจะเรียนแบบเบลอ ๆ จึงโดนครูที่สอนคณิตล้อ เริ่มแรกล้อเรื่อง 'ต๋กใจ๋น้ำท่วมบ่หายก้ะ' หมายความว่า ยังตกใจเรื่องน้ำท่วมไม่หายอีกหรอ และอีกเรื่องคือล้อป้มด้อยเช่นเคย ฉายาฟันห่างจึงกลับมาอีกครั้ง แต่เ-หี้-ยกว่าเดิม นั่นคือ 'เขี้ยวห่างปั๋นต๋าผีสือ' มีความหมายว่า ฟันห่างเหมือนตาผีกระสือ สองคำพูดนี้กลายเป็นฉายาที่เอาไว้ล้อเราจนถึงป. 6 เลยทีเดียว ข้ามเสต็ปมาจนถึงตอนป.6 ตอนนั้นเราเริ่มไม่ยอมใครแล้ว ไม่พอใจใครก็วีนให้รู้แล้วรู้รอด ขี้เกียจมานั่งเก็บกดจนโดนเพื่อนแอนตี้ บอกตามตรงว่าเราไม่ได้สวยเริศเลอ แถมหุ่นก็อวบอั๋น แต่ตอนนั้นเราเป็นนางรำประจำโรงเรียน ที่ได้เป็นนั้นก็เพราะว่าเราฟ้อนรำสวย เราจึงได้ไว้ผมยาว ซึ่งก็โดนเพื่อน ๆ นินทาอีกแหละว่าไม่เหมาะกับหน้า ตอนนั้นเราเริ่มสายตาสั้นด้วยแหละ จึงเริ่มตัดแว่นใส่ เพื่อนไม่ชินก็เอาไปนินทาลับหลังซึ่งเราก็รู้แต่เราไม่พูด จากที่ท่านผู้อ่านทุกท่านอ่านมาจนถึงตอนนี้ จำครูคนแรกที่เราเกลียดได้หรือไม่คะ นั่นแหละค่ะ ฉันเรียนกับนางอีกแล้ว นางจะรักพวกเด็กเรียนเก่งโด่ง ๆ มีหน้ามีตา ลูกเต้าเหล่าคนใหญ่คนโตล่ะนะ ส่วนเราพ่อเราเป็นพนักงานอุทยานแล้วขายผักดองเป็นอาขีพเสริม ทำมาค้าขายหลายอย่าง ก็โดนล้อโดนดูถูก ถูกเพื่อน ๆ ล้อเรื่องพ่อขายผักดอง จนปัจจุบันก็ยังงงอยู่นะ ว่า พ่อขายผักดองมันน่าอายตรงไหน ขอร้องเถอะ อย่าเอาเรื่องที่ไม่ใช่ปมด้อยมันแปลงจนเป็นปมด้อยเลย ครูคนนี้ก็ดูไม่ค่อยจะชอบหน้าเราอยู่ล่ะ เอาเข้าจริง ๆ นางก็คือนางยักษ์ประจำโรงเรียนเลยล่ะ มันมีวันหนึ่งเราไปเล่นวอลเล่ย์บอลแล้วตอนนั้นเราอารมณ์ไม่ค่อยดี หน้าก็เลยไม่ค่อยยิ้ม บวกกับแดดมันแรงมันร้อนมาก ๆ ตอนนั้นก็เล่นตามปกติ แต่ไม่รู้ว่าไปกวนโอ้ยครูได้อย่างไร ครูตะคอกด่าใส่เรา 'ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย หน้าตาก็ไม่สวยแล้วยังจะทำหน้าให้ไม่สวยอีก สวยก็ไม่สวยอยู่แล้ว'
เจ็บเลยค่ะ นี่หรือคะ ประโยคของครูผู้จบการศึกษามีจรรยาบรรณรับรอง อีกทั้งคุณจบปริญญาจากมหาลัยอะไร จบมาได้อย่างไร นี่อยากทราบมากเลยค่ะ ตอนนั้นก็ได้แต่แค่ก้มหน้าหลบสายตาครูไม่ให้ร้องไห้ พอกลับบ้านก็กลับไปนอนร้องไห้อยู่ในห้องคนเดียว ไม่อยากให้พ่อแม่รู้ เพราะปรึกษาไปก็ช่วยไม่ได้ เคยปรึกษาเรื่องโดนครูอีกท่านต่อว่า ตอนนั้นพ่อถึงขั้นไปหาผอ. เลยทีเดียว เราก็ไม่อยากให้เราเป็นเด็กมีปัญหาในสายตาครู ๆ หลายท่านหรอกนะ เพราะเราก็ไม่ใช่ลูกคนใหญ่คนโต สุดท้ายแล้วเขายังไงก็ไม่ไว้หน้ากันซักเท่าไหร่หรอก ตอนนั้นได้แต่เก็บกดและคิดอยู่ในใจอย่างเดียวว่า อีกนิด ก็จะพ้นจากโรงเรียนนี้แล้ว อีกนิดเดียว (มีต่อ)