เครื่องไฟฟ้าเมื่อต่อสายดินแล้วพอไฟรั่วจะไม่ดูดเรา แล้วไฟที่รั่วลงดินนี้ทำให้เราเสียค่าไฟเพิ่มไหมครับ
        เอาง่ายๆก่อนนะครับ ทำไมต้องต่อสายดิน เพราะอุปกรณ์ไฟฟ้าเวลาทำงาน จะเกิดการเหนี่ยวนำ โดยเฉพาะพวกมอเตอร์ ก็เลยทำให้ตัวถังของอุปกรณ์ไฟฟ้ามีไฟอ่อนๆ พอเราเอามือไปแตะไฟอ่อนๆก็จะผ่านมือเราผ่านตัวและไปลงดินที่ขาหรือส่วนอื่นของตัวที่ไปแตะดิน แต่เราไม่รู้สึกอะไร ถ้าไฟที่เกิดจากการเหนี่ยวนำมีมากพอเวลาเราเอามือไปแตะก็จะรู้สึกว่าไฟช๊อตมืออ่อนๆ ไม่แรงเท่าแตะสายไฟโดยตรง
       ซึ่งลักษณะการเอาไฟเหนี่ยวนำลงดิน ไม่เสียไฟเพิ่มครับ แต่ถ้าเกิดไฟรั่ว นั่นหมายถึงสาย L ที่มีไฟไปแตะถูกตัวถัง อาจเกิดจากหลุดหรือฉนวนละลาย อันนี้อันตรายสุดๆถ้าไม่มีสายดิน เพราะจะช๊อตผู้ที่เอามือไปจับหรือแตะถูกอุปกรณ์ที่เป็นโลหะ แต่ถ้าต่อสายดิน ไฟฟ้าจะไหลลงดินโดยตรง ลักษณะแบบนี้ อาการที่เกิดขึ้นคือ ฟิวส์จะขาดทันที หรือเบเกอร์จะตัด ถ้าไม่ต่อฟิวส์หรือเบเกอร์ สายไฟจะร้อนจนลุกเป็นไฟ ( ไฟไหม้จากสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจร ) ไฟที่ไหลลงดินนี้ มิเตอร์ไฟหมุนเต็มที่ ถ้าลวดสายไฟมีขนาดใหญ่ โหลดแอมป์ได้แยอะกว่ามิเตอร์ไฟ ( 5/15 , 15/45 Amp ) มิเตอร์ไหม้ครับ เสียเงินค่าไฟหรือไม่ เสียครับ และยังต้องเสียค่าเปลี่ยนมิเตอร์ใหม่  
       ลักษณะการต่อสายดิน คือเอาทองแดงแท่งตีให้จมลงในดินให้ลึกมากที่สุด นี่คือดินที่เราทำขึ้นเอง ทีนี้ดินของไฟฟ้า ก็ถูกฝังลงดินเส้นหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉนั้น สายดินก็คือวงจรเส้นเดียวกันครับ ในอดีตเพิ่อนผมบอก มีช่างไฟมาเสนอต่อสายดิน แล้วจะทำให้เสียค่าไฟน้อยลง ผมบอกไปเลยว่าตราบใดที่เส้นไฟผ่านมิเตอร์เข้าบ้าน คุณก็ยังคงต้องเสียค่าไฟตามที่ใช้ แล้วยังต้องเสียค่าจ้างช่างและค่าอุปกรณ์ ซึ่งไม่ช่วยอะไรเลยครับ