5 เม.ย.60 – 6 เม.ย.60
สวัสดีค่ะ
“ จะไปเชียงใหม่นะคะ ต้นเดือนเมษานี้ “
“ ไปทำไปเมษา ร้อนนะ “
“ เมษาเชียงใหม่มีอะไรเที่ยวด้วยหรอ “
พอบอกจะไปเชียงใหม่ มีแต่คนถามคำถามเทือกนี้ เอาหละ เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู
(ทำสียงห้าว มั่นหน้า แต่ในใจก็แอบกลัวว่าจะร้อนเหมือนกัน )
เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้คือ ไปตามหากล้วยไม้ป่า และ ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนจุดชมวิวดอยผ้าห่มปก
การเดินทางคร่าวๆ
นั่งเครื่องไปลงเชียงใหม่ โบกรถแดง ไปขนส่งช้างเผือกเพื่อต่อรถไปฝาง
รถเมล์สีแดง เชียงใหม่ –ท่าตอน ไปลงที่ฝาง ราคา 80 บาท
ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ ระหว่างทางมีจุดแวะพักรถสามารถลงไปซื้อขนม และเข้าห้องน้ำได้
จุดที่เราลงรถสังเกตง่ายๆ มองทางด้านขวามือจะมีตลาดชื่อ “ กาดฝางกัลยา “
ทางซ้ายมือของตลาดจะมีปั๊ม ภายในปั๊มมีเซเว่น ร้านกาแฟ และห้องน้ำไว้ให้บริการด้วย
ซื้อของกินตุนไปเยอะๆเลยค่ะ ข้างในมีของกินขายแต่น้อยและมีร้านอยู่แค่เฉพาะตรงตัวอุทยานค่ะ
ชี้เป้า *** ไส้อั่วร้านริมฟุตบาทติดกับร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อย สตอรว์เบอร์รีแบกับดินหน้าตลาดหวานมาก
ถุงนี้ 15 บาท ขายโดยขาวเขาหน้ากาดฝางกัลยา
วิธีขึ้นไปบนอุทยานมี 2 วิธีค่ะ
1. โทรให้เจ้าหน้าที่อุทยานนำรถกระบะมารับ (ราคาประมาณ 200 บาท / เที่ยว)
2. นั่งวินมอเตอร์ไซค์ (ราคา100บาท / คน)
เราเลือกนั่งวิน เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่มารับได้ 5555555
ขึ้นมาถึงอุทยานเสียค่าผ่านทางเข้าอุทยาน 50 บาท ( นักเรียน นักศึกษาราคาลดอีก )
ไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเรียบร้อย ก็ไปลวกไข่ ถ่ายป้าย ดูน้ำพุ่งตามธรรมเนียม
ลวกไข่เพลินๆฆ่าเวลา หยิบไปหยิบมา อ้าว หยิบผิด !!! ก็ว่าลวกตั้งนานแล้วทำไมยังไม่สุก
พี่สาวนักผจญภัยผู้เปิดประสบการณ์ทริปนี้ให้กับเรา
ไม่ถ่ายป้ายเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง ใครคิดทฤษฏีนี้คะ
ชี้เป้า *** สตรอว์เบอร์รีบนอุทยาน แพงกว่าข้างล่าง ไม่หวานและสดเท่า ไม่ได้ห้ามให้ซื้อ แต่ให้เลือกดีๆเด้อ( นี่ฟาดไป 2 ถุง เสียใจ )
ขึ้นลานกางเต็นท์ด้วยรถกระบะของเจ้าหน้าที่อุทยาน ราคาเหมาไปและกลับ 1,800 บาท
(ไปกับ 2 คน ได้เพื่อนร่วมทางอีก 1 ราคาแอบเจ็บตัวเบาๆ ใครเค้าใช้ให้มาหน้านี้ แต่ต้องไม่บ่นค่ะไม่บ่น )
ลานกางเต็นท์ค่ะ กว้างมากเลยค่ะ หรอ !! มันจะไม่กว้างได้ไงคะคุณ มีกันอยู่ 2เต็นท์เนี่ย
สิ่งที่น่าสนใจกว่าลานกว้างๆคือบรรยากาศหนาวๆ ลมเย็นมากกกกกก ย้ำว่ามากกกกก
ไม่นกแล้วค่ะ หนาวจริง เย็นจริง และอาบน้ำไม่ได้จริงๆ เพราะน้ำไม่ไหล !!! ไม่ใช่สิ น้ำมันเย็นมากๆ
มัวแต่ยืนเช็ดน้ำมูกไปกับกินไส้อั่วไปจนเกือบลืมดอกกล้วยไม้ป่าเลย
ดอกนี้หรอ ไม่ใช่ม๊างงงง
แล้วดอกนี้หละ สีก็ไม่ใช่แล้วป่าว
งั๊นดอกนี้ ใช่แล้ววววววว
ถ่ายรูปอย่างสบายใจ งานใหญ่เริ่มเข้า อากาศยิ่งหนาวแบตเตอรียิ่งลดไว ที่พึ่งเดียวคือเจ้าหน้าที่ แต่ เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวจึงไม่มีน้ำมันมาปั่นไฟ TT_TT 1 ทุ่มที่นี้ก็เริ่มมืดมากแล้ว สิ่งเดียวที่ควรทำคือ นอน
4:30 น. ลุงคนนำทางมาปลุกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ตื่นเต้นมากค่ะ นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม พร้อมมาก แค่นี้สบายๆ
“ พร้อมแน่นะ จะไปจริงใช่ไหม ดูตรงนี้ก็สวยนะ ไหวแน่นะ “
“ สบายมาก หนูอยากไป หนูไหว ”
พอเราสองคนตกลงกับได้ก็โผล่ออกจากเต็นท์
ท้องฟ้าสวยมาก ดาวสวยมาก และดาวตก อาเมนนนนน
( เจ้าหน้าที่คนที่ขับรถมาส่งบอกเราว่าจริงๆดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้ก็สวยเหมือนกัน )
ขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ในหัวก็เริ่มเกิดความคิด ทำไมชีวิตเรามันยากแบบนี้ เราเกิดมาแล้วต้องเจออะไรแบบนี้ ทำไมๆๆ
เอ๊ะ ทำไมท้องไส้มันปั่นป่วน เอ๊ะ ทำไมหายใจไม่ออก
“ ลุงคะ พักก่อนค่ะ ไม่ไหวแล้ว ”
.
.
“ ลุงคะครึ่งทางยังคะ ”
.
.
“ ลุงคะ พักอีกได้ไหม ไม่ไหวแล้วค่ะ ”
ลุงตัดเปลือกไม้ให้ดมระหว่างทาง กลิ่นเหมือนน้ำมันมวย ถามว่าช่วยได้ไหม ได้นิดเดียว
“ ลุงคะ หนูรอตรงนี้ได้ไหม ”
.
.
“ ลุงคะ #%$^*09- ”
ไส้อั่วเอย ไข่ต้มเอย ตรอว์เบอร์รีเอย ออกมากองรวมกันตรงหน้าหมดเลย
โอ๊วววว โล่งจัง เอ๊ะ สว่างแปลกๆเนอะ อ๋อ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
เดี๋ยว !!! นี่เราเดินมาเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยไม่ใช่หรอ
“ ทุกคน เราขอโทษ ”
ถึงแล้ววววว ขึ้นมาถึงแล้วคุ้มจริงๆ วิว 360 องศา อากาศเย็นๆ
ถ่ายป้ายแบบไทยสไตล์
ป.ล. - ค่าคนนำทาง 300 บาท(ราคาเหมา)
- ถ้ามาฤดูท่องเที่ยว ไม่ไหวเราสามารถขอลง หรือขอนั่งรอได้
- ไฟฉายและน้ำดื่ม จำเป็นมากๆ สำหรับการเดินขึ้นดอย
จุดถ่ายรูปด้านล่าง ใกล้ๆลานกางเต็นท์ ที่เมื่อคืนเรามองไม่เห็น เพราะถ้าเห็นเรา อาจไม่ต้องขึ้นไปคิดน้อยใจชีวิตตัวเองก็ได้ แต่เราก็ขึ้นไปมาแล้ว ไม่ได้ขึ้นไปก็เหมือนมาไม่ถึงสิ ครั้งหนึ่งในชีวิต แค่นี้เองเพลินๆ
( มีชีวิตรอดมาได้แล้วทำมาเป็นปากเก่ง 555 )
เสร็จภารกิจตามเป้าหมาย รอเจ้าหน้าที่มารับลงไปอุทยานและแวะอาบน้ำร้อน
( ข้างบนอาบไม่ไหวจริงๆ ขนาดหน้าร้อนน้ำยังเย็นขนาดนี้ แล้วคนที่มาหน้าหนาวอาบกันได้ยังไงคะ
เอ๊ะ หรือไม่ได้อาบ สารภาพมาดีๆ 555 )
อาบน้ำพุร้อนแบบห้องส่วนตัว มีผ้าถุงให้เช่า ผ่อนคลายได้ดีมาก
( ไม่ได้อยากจะเมาท์นะคะ หลังอาบน้ำเสร็จรู้สึกว่ากลิ่นเหมือนตอนต้มไข่ติดตัวมาตลอดเลย TT_TT )
ต่อจากนั้นก็นั่งรถ ท่าตอน – เชียงใหม่ กลับมาในตัวเมืองเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือมีด่านตรวจบัตรประชาชนประมาณ 3-4 ด่าน เตรียมบัตรไว้ อย่าตกใจอย่าตุกติก เดี๋ยวๆ นี่คนไทยไง เราคนไทยจริงๆ
หลังจากนั้นก็เที่ยวเล่นตามอัธยาศัยเพื่อรอเวลาเดินทางกลับบ้าน
สำหรับท่านใดสนใจไปเก็บเกี่ยวประสบการ์ที่ดอยผ้าห่มปก แนะนำติดต่อสอบถามข้อมูลจากทางอุทยานแห่งชาติล่วงหน้า เพราะการขึ้นดอยมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเปิดปิด ที่สำคัญหากไม่อยากเหงาแบบเรา2คนก็หาเพื่อนไปเยอะๆหรือไปช่วงที่ยังพอมีคนไป(เอาจริงเงียบๆก็สงบไปอีกแบบ)
และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเรารักษ์ธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะรักเรา จะได้เที่ยวที่สวยๆกันไปนานๆเนอะ
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกท่านอาจจะคิดยังหาสาระกับกระทู้เราไม่ค่อยได้ บางท่านอาจบอกให้เราเอาเวลาที่ท่านเสียไปคืนมา 555
นี่อาจไม่ใช้กระทู้รีวิวเต็มร้อย แต่เป็นการบันทึกเรื่องราวและแชร์ประสบการณ์เที่ยวแบบไม่คาดหวังของเราเอง
หวังว่าทริปนี้จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพอเป็นข้อมูลท่องเที่ยวสำหรับท่านที่สนใจไม่มากก็น้อย
ขอบคุณค่ะ
ถ้าชอบรีวิวไม่ได้เนื้อหา แต่ได้ความบันเทิง (รึป่าว?)ไปติดตามพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการ์ท่องเที่ยวกันได้ที่ IG : _blue.u_
[CR] เชียงใหม่เมษา ... แอ่วดอยผ้าห่มปก
5 เม.ย.60 – 6 เม.ย.60
สวัสดีค่ะ
“ จะไปเชียงใหม่นะคะ ต้นเดือนเมษานี้ “
“ ไปทำไปเมษา ร้อนนะ “
“ เมษาเชียงใหม่มีอะไรเที่ยวด้วยหรอ “
พอบอกจะไปเชียงใหม่ มีแต่คนถามคำถามเทือกนี้ เอาหละ เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู
(ทำสียงห้าว มั่นหน้า แต่ในใจก็แอบกลัวว่าจะร้อนเหมือนกัน )
เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้คือ ไปตามหากล้วยไม้ป่า และ ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนจุดชมวิวดอยผ้าห่มปก
การเดินทางคร่าวๆ
นั่งเครื่องไปลงเชียงใหม่ โบกรถแดง ไปขนส่งช้างเผือกเพื่อต่อรถไปฝาง
รถเมล์สีแดง เชียงใหม่ –ท่าตอน ไปลงที่ฝาง ราคา 80 บาท
ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที โดยประมาณ ระหว่างทางมีจุดแวะพักรถสามารถลงไปซื้อขนม และเข้าห้องน้ำได้
จุดที่เราลงรถสังเกตง่ายๆ มองทางด้านขวามือจะมีตลาดชื่อ “ กาดฝางกัลยา “
ทางซ้ายมือของตลาดจะมีปั๊ม ภายในปั๊มมีเซเว่น ร้านกาแฟ และห้องน้ำไว้ให้บริการด้วย
ซื้อของกินตุนไปเยอะๆเลยค่ะ ข้างในมีของกินขายแต่น้อยและมีร้านอยู่แค่เฉพาะตรงตัวอุทยานค่ะ
ถุงนี้ 15 บาท ขายโดยขาวเขาหน้ากาดฝางกัลยา
1. โทรให้เจ้าหน้าที่อุทยานนำรถกระบะมารับ (ราคาประมาณ 200 บาท / เที่ยว)
2. นั่งวินมอเตอร์ไซค์ (ราคา100บาท / คน)
เราเลือกนั่งวิน เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่มารับได้ 5555555
ไปติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานเรียบร้อย ก็ไปลวกไข่ ถ่ายป้าย ดูน้ำพุ่งตามธรรมเนียม
ลวกไข่เพลินๆฆ่าเวลา หยิบไปหยิบมา อ้าว หยิบผิด !!! ก็ว่าลวกตั้งนานแล้วทำไมยังไม่สุก
ไม่ถ่ายป้ายเดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึง ใครคิดทฤษฏีนี้คะ
ขึ้นลานกางเต็นท์ด้วยรถกระบะของเจ้าหน้าที่อุทยาน ราคาเหมาไปและกลับ 1,800 บาท
(ไปกับ 2 คน ได้เพื่อนร่วมทางอีก 1 ราคาแอบเจ็บตัวเบาๆ ใครเค้าใช้ให้มาหน้านี้ แต่ต้องไม่บ่นค่ะไม่บ่น )
ลานกางเต็นท์ค่ะ กว้างมากเลยค่ะ หรอ !! มันจะไม่กว้างได้ไงคะคุณ มีกันอยู่ 2เต็นท์เนี่ย
สิ่งที่น่าสนใจกว่าลานกว้างๆคือบรรยากาศหนาวๆ ลมเย็นมากกกกกก ย้ำว่ามากกกกก
ไม่นกแล้วค่ะ หนาวจริง เย็นจริง และอาบน้ำไม่ได้จริงๆ เพราะน้ำไม่ไหล !!! ไม่ใช่สิ น้ำมันเย็นมากๆ
มัวแต่ยืนเช็ดน้ำมูกไปกับกินไส้อั่วไปจนเกือบลืมดอกกล้วยไม้ป่าเลย
ดอกนี้หรอ ไม่ใช่ม๊างงงง
แล้วดอกนี้หละ สีก็ไม่ใช่แล้วป่าว
งั๊นดอกนี้ ใช่แล้ววววววว
ถ่ายรูปอย่างสบายใจ งานใหญ่เริ่มเข้า อากาศยิ่งหนาวแบตเตอรียิ่งลดไว ที่พึ่งเดียวคือเจ้าหน้าที่ แต่ เนื่องจากตอนนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวจึงไม่มีน้ำมันมาปั่นไฟ TT_TT 1 ทุ่มที่นี้ก็เริ่มมืดมากแล้ว สิ่งเดียวที่ควรทำคือ นอน
4:30 น. ลุงคนนำทางมาปลุกไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ตื่นเต้นมากค่ะ นอนตั้งแต่ 2 ทุ่ม พร้อมมาก แค่นี้สบายๆ
“ พร้อมแน่นะ จะไปจริงใช่ไหม ดูตรงนี้ก็สวยนะ ไหวแน่นะ “
“ สบายมาก หนูอยากไป หนูไหว ”
พอเราสองคนตกลงกับได้ก็โผล่ออกจากเต็นท์
ท้องฟ้าสวยมาก ดาวสวยมาก และดาวตก อาเมนนนนน
( เจ้าหน้าที่คนที่ขับรถมาส่งบอกเราว่าจริงๆดูพระอาทิตย์ขึ้นตรงนี้ก็สวยเหมือนกัน )
ขึ้นไปได้ไม่เท่าไหร่ ในหัวก็เริ่มเกิดความคิด ทำไมชีวิตเรามันยากแบบนี้ เราเกิดมาแล้วต้องเจออะไรแบบนี้ ทำไมๆๆ
เอ๊ะ ทำไมท้องไส้มันปั่นป่วน เอ๊ะ ทำไมหายใจไม่ออก
“ ลุงคะ พักก่อนค่ะ ไม่ไหวแล้ว ”
.
.
“ ลุงคะครึ่งทางยังคะ ”
.
.
“ ลุงคะ พักอีกได้ไหม ไม่ไหวแล้วค่ะ ”
ลุงตัดเปลือกไม้ให้ดมระหว่างทาง กลิ่นเหมือนน้ำมันมวย ถามว่าช่วยได้ไหม ได้นิดเดียว
“ ลุงคะ หนูรอตรงนี้ได้ไหม ”
.
.
“ ลุงคะ #%$^*09- ”
ไส้อั่วเอย ไข่ต้มเอย ตรอว์เบอร์รีเอย ออกมากองรวมกันตรงหน้าหมดเลย
โอ๊วววว โล่งจัง เอ๊ะ สว่างแปลกๆเนอะ อ๋อ พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว
เดี๋ยว !!! นี่เราเดินมาเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยไม่ใช่หรอ
“ ทุกคน เราขอโทษ ”
ถึงแล้ววววว ขึ้นมาถึงแล้วคุ้มจริงๆ วิว 360 องศา อากาศเย็นๆ
ถ่ายป้ายแบบไทยสไตล์
- ถ้ามาฤดูท่องเที่ยว ไม่ไหวเราสามารถขอลง หรือขอนั่งรอได้
- ไฟฉายและน้ำดื่ม จำเป็นมากๆ สำหรับการเดินขึ้นดอย
จุดถ่ายรูปด้านล่าง ใกล้ๆลานกางเต็นท์ ที่เมื่อคืนเรามองไม่เห็น เพราะถ้าเห็นเรา อาจไม่ต้องขึ้นไปคิดน้อยใจชีวิตตัวเองก็ได้ แต่เราก็ขึ้นไปมาแล้ว ไม่ได้ขึ้นไปก็เหมือนมาไม่ถึงสิ ครั้งหนึ่งในชีวิต แค่นี้เองเพลินๆ
( มีชีวิตรอดมาได้แล้วทำมาเป็นปากเก่ง 555 )
เสร็จภารกิจตามเป้าหมาย รอเจ้าหน้าที่มารับลงไปอุทยานและแวะอาบน้ำร้อน
( ข้างบนอาบไม่ไหวจริงๆ ขนาดหน้าร้อนน้ำยังเย็นขนาดนี้ แล้วคนที่มาหน้าหนาวอาบกันได้ยังไงคะ
เอ๊ะ หรือไม่ได้อาบ สารภาพมาดีๆ 555 )
อาบน้ำพุร้อนแบบห้องส่วนตัว มีผ้าถุงให้เช่า ผ่อนคลายได้ดีมาก
( ไม่ได้อยากจะเมาท์นะคะ หลังอาบน้ำเสร็จรู้สึกว่ากลิ่นเหมือนตอนต้มไข่ติดตัวมาตลอดเลย TT_TT )
ต่อจากนั้นก็นั่งรถ ท่าตอน – เชียงใหม่ กลับมาในตัวเมืองเหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือมีด่านตรวจบัตรประชาชนประมาณ 3-4 ด่าน เตรียมบัตรไว้ อย่าตกใจอย่าตุกติก เดี๋ยวๆ นี่คนไทยไง เราคนไทยจริงๆ
หลังจากนั้นก็เที่ยวเล่นตามอัธยาศัยเพื่อรอเวลาเดินทางกลับบ้าน
สำหรับท่านใดสนใจไปเก็บเกี่ยวประสบการ์ที่ดอยผ้าห่มปก แนะนำติดต่อสอบถามข้อมูลจากทางอุทยานแห่งชาติล่วงหน้า เพราะการขึ้นดอยมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเปิดปิด ที่สำคัญหากไม่อยากเหงาแบบเรา2คนก็หาเพื่อนไปเยอะๆหรือไปช่วงที่ยังพอมีคนไป(เอาจริงเงียบๆก็สงบไปอีกแบบ)
และที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเรารักษ์ธรรมชาติ ธรรมชาติก็จะรักเรา จะได้เที่ยวที่สวยๆกันไปนานๆเนอะ
อ่านมาถึงตรงนี้ทุกท่านอาจจะคิดยังหาสาระกับกระทู้เราไม่ค่อยได้ บางท่านอาจบอกให้เราเอาเวลาที่ท่านเสียไปคืนมา 555
นี่อาจไม่ใช้กระทู้รีวิวเต็มร้อย แต่เป็นการบันทึกเรื่องราวและแชร์ประสบการณ์เที่ยวแบบไม่คาดหวังของเราเอง
หวังว่าทริปนี้จะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยพอเป็นข้อมูลท่องเที่ยวสำหรับท่านที่สนใจไม่มากก็น้อย