ประสบการณ์ขอวีซ่าอเมริกา

ขอเอาประสบการณ์ตัวเองมาเล่าสู่กันฟัง
เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น หรือไม่ก็คิดซะว่าเป็นการเล่าสู่กันฟังนะ

ครั้งแรกที่ขอวีซ่าอเมริกา
เพิ่งเริ่มทำงานได้ปีกว่าๆ ทำงานกับบริษัทสายการบินที่มั่นคงแห่งหนึ่ง
ก่อนไปขอไม่เคยรู้ว่าวีซ่าอเมริกามันหินขนาดไหน ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ก็ตามประสาซื่อๆว่า ไปเพื่อเที่ยว ไปหาแฟน แล้วก็กลับมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวกันต่อไป
ไม่เคยคิดจะโดดหนีไปไหน เพราะเราผูกพันกับครอบครัว กับแม่และที่บ้าน
ตอนนั้นตั้งแต่เริ่มทำงานไม่เคยคิดจะไปไหน
เพราะเสียดายเงิน ครอบครัวฐานะปานกลาง ตั้งแต่เริ่มทำงานก็ไม่เคยขอเงินแม่อีก ถูๆไถๆไปเรื่อยๆ
เผอิญมีแฟนเป็นคนไทยที่ไปเรียนต่ออเมริกา แฟนขอร้องให้ไปหา เพราะเห็นว่าตั๋วสำหรับเรามันไม่แพง
ก็เลยไปทำพาสปอร์ตครั้งแรกเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
วันสัมภาษณ์เจอกงสุลแหม่มผมทอง
หน้าตาสวยแต่เคร่งเครียด สมัยนั้นยังกรอกฟอร์มคำร้องในกระดาษ
เขียนทุกอย่างตามความจริง ชื่อแฟน ที่อยู่แฟน
พอดูทุกอย่างยังไม่ทันถามอะไรสักกี่ข้อ กงสุลท่านนั้นก็ปฏิเสธวีซ่าทันที
จำได้ว่าตอนนั้น งงเหมือนโดนทุบหัว
เพราะให้ข้อมูลตามจริงทุกอย่าง กะว่าถ้าเค้าอยากตามก็ตามได้
สรุปไม่ได้วีซ่า กงสุลให้เหตุผลว่าเอกสารไม่พอ ไม่มีใบลางานว่าจะไปเมื่อไหร่กลับเมื่อไหร่
ซึ่งที่บริษัทไม่มีใบลาแบบนั้น ตามประสาซื่อ ก็กลับมาขอจดหมายจากหัวหน้าแผนก
ทุกคนในออฟฟิศก็งง เพราะปกติคนอื่นไปขอก็ไม่ต้องใช้จดหมายลาแบบนั้น
(อันนี้ที่สายการบินเป็นแบบนี้นะ)
แต่พี่หัวหน้าก็อุตส่าห์พิมพ์จดหมายออกมาให้ พร้อมลายเซ็นต์
อีนี่ก็กลับไปขอใหม่ เสียตังค์อีกรอบ
(ยังซื่ออยู่)

รอบนี้ได้กงสุลผู้ชายฝรั่งท่าทางใจดี
จริงๆถ้าเจอคนนี้แต่แรก เราว่าผ่านนะ
ด้วยความที่เพิ่งเริ่มทำงาน ภาษาอังกฤษน่ะพูดได้
แต่ชม.บินยังไม่สูง นิสัยแบบคนไทยส่วนมากคือจริงๆพวกเราน่ะพูดภาษาอังกฤษได้
แต่เขินที่จะพูด พอเขินเลย ฟังน่ะฟังออก แต่ตอบไม่ถูก 55555
แล้วด้วยความที่อยากไปเพราะแฟน บวกกับความอยากเอาชนะ
อารมณ์มันแบบ ไรวะ เราก็ไปแล้วก็กลับ เรามันน่ากลัวตรงไหน
คนอื่นเขาก็ได้กันทำไมเราไม่ได้ ประมาณนั้น
ต่อๆ กงสุลท่านนี้ถามว่า ทำไมถึงอยากไป ถ้าหากว่าให้เหตุผลกับผมได้
ผมจะออกวีซ่าให้คุณ อีนี่คือ อึ้ง ไม่ได้คิดมาก่อน
คิดแค่ว่า เตรียมเอกสารมาเพิ่มแล้ว เค้าก็น่าจะออกให้อย่างที่บอกไว้ว่า ขาดจม.ลา
ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆตอบไปว่าอยากไปเยี่ยมแฟน
วันเกิดแฟน สรุป ก็ไม่ได้อีก

มันเสียเซลฟ์มากอ่ะ อารมณ์นี้คงมีแต่คนที่เคยขอแล้วเฟลถึงจะเข้าใจ
เรามันมีอะไรไม่ดีตรงไหน เฟล แค้น เซ็ง อะไรประมาณนั้น
แถมเหมือนโดนหลอก คือถ้าบอกมาตรงๆว่า ขาดอะไร จะได้เลิกพยายาม
แต่กงสุลท่านนี้โอเคนะ ท่านแนะว่าให้ไปเที่ยวที่อื่นก่อนเถอะ อย่าเพิ่งกลับมาขอ

นี่ยังนึกเลย ถ้าเป็นสมัยที่อินเตอร์เน็ตก้าวไกลแบบนี้ เราคงหาข้อมูลก่อนไป แล้วก็คงไม่พลาดแบบนี้ (อิอิ)

ยิ่งกลับมาคุยกับเพื่อนยิ่งแค้น
เพื่อนจะไปเยี่ยมแฟนที่เมกา (เพื่อนที่ทำงานด้วยกันกะเรานะ)
แต่นางเคยไปเที่ยวไหนมาบ้างแล้ว
นางไปขอโดยอ้างว่าจะไปเที่ยวกับทัวร์ไม่รู้จักใคร
ได้วีซ่ามาสิบปี แล้วเล่าให้ฟังว่า เพื่อนนางไม่มีงานทำ
มีเงินในบัญชีไม่ถึงหมื่น ได้มาสิบปี และขอเพื่อโดดไปเป็นฮู้ด
ยิ่งฟังยิ่งเจ็บใจอ่ะ เราน่ะตั้งใจว่าไปแล้วกลับแน่ ให้ข้อมูลตามจริงกลับไม่ได้
เสมือนเป็นโรคติดต่อร้ายแรง

หลังจากนั้นเริ่มตระเวนเที่ยว
ไปเนปาล ฮ่องกง ออสเตรเลีย
เอาล่ะ ลองกันอีกสักตั้ง

รอบสามนี่จำไม่ได้ว่าเจอใคร แต่ก็ไม่ได้อีก
เราถามว่า ครั้งก่อน ท่านกงสุลบอกว่าให้เที่ยวทือื่นก่อนแล้วค่อยมาขอ
ทำไมถึงยังไม่ให้ คำตอบคือ ไปที่อื่นมาก็ไม่จำเป็นต้องได้วีซ่าที่นี่
เอิ่ม แค้นอ่ะ แค้นมาก
มีแสตมป์ประทับมาหลังเล่มด้วย
ตอนนั้นความสัมพันธ์กับแฟนก็เริ่มคลอนแคลน
แบบ เออ ไม่ไปก็ได้วะ
บางคนก็เตือนให้ทำพาสปอร์ตใหม่ เพราะมีแสตมป์แบบนี้ไปไหนก็อันตราย
ขอวีซ่าก็อาจโดนปฏิเสธ
ไม่แคร์จ้ะ สมัยนั้นญี่ปุ่นยังต้องขอวีซ่า
เอาไปขอญี่ปุ่นมันแบบนี้แหละ
ก็เห็นเค้าเปิดดูนะ
แต่สุดท้ายก็ได้วีซ่า
สถานฑูตญี่ปุ่นเป็นอะไรที่แฟร์และประทับใจมาก
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเอกสาร มีเงินพอไหม
มีงานทำไหม เพื่อนเราเคยไปขอแต่เงินในบัญชีน้อยไป
เค้าก็แจ้งให้ทราบว่า ถ้าเอาเงินมาเพิ่มในบัญชีได้ ก็จะออกวีซ่าให้
และกฏคือถ้าวีซ่าไม่ผ่านก็ไม่เก็บเงิน
ครั้งนั้นได้วีซ่า
และหลังจากนั้นก็ไปญี่ปุ่นอีก (ไปกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อของจริง)

ต่อจากนั้นก็ไปเนเธอร์แลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ เยอรมัน
ก่อนจะเกิดบิน ลาเดน
วีซ่ายุโรปของ่ายกว่านี้มาก
ของเราตอนนั้นไม่ต้องไปสถานฑูตเองด้วย
พอหลังบิน ลาเดน ทุกอย่างพลิกหมด
ตอนนั้นก็แอบนึกนะ ว่าการสกรีนแบบของสถานฑูตเมกาน่ะผิด
เพราะมันเหมือนส่งเสิรมให้คนปกปิดข้อมูล
เพราะเวลาบอกตามจริง ปัญหาเพียบ โอกาสได้น้อยมาก
ไม่มีหลักการที่แน่นอน
ในขณะที่ของยุโรป ถ้ามีคนรู้จัก ขอให้มีหลักฐานยืนยัน
ดูฐานะการเงินของคนเชิญ ถ้าหากมั่นคงพอ ทางสถานฑูตก็จะออกวีซ๋าให้
เราว่ามันง่ายกว่าในการตามหาตัวด้วย ถ้ายังไม่กลับก็ยังตามได้
ทุกอย่างอยู่ในระบบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงหรือกงสุลคนไหน

จากประสบการณ์ขอวีซ่าสวิส
มีจดหมายเชิญ รับรองที่อยู่
มีเงินซัพพอร์ทตัวเอง
ขอวีซ่าได้ทุกครั้ง

หลังจากแขยงวีซ่าเมกา คือมันรู้สึกเหมือนคนสอบตก แบบอะไรอ่ะ
เพราะอะไร แค่เพราะชั้นโสด และเป็นผู้หญิง เท่านั้นเองเหรอ
เลยไม่คิดจะไปอีกเลย
ทั้งๆที่เป็นประเทศที่เคยอยากไปเห็น
เราชอบดูหนังมาก อยากไปuniversal studio, disneyland และอีกหลายๆที่
ก็เลิกคิดไปเลย

นอกจากเมกา ก็ยังมีที่ไปอีกเยอะ
เข้ายุโรปบ่อย เพราะมีเพื่อนมีที่พัก
ญี่ปุ่น เพราะไปง่าย ของกินอร่อย อิอิ
เมกาน่ะเหรอ ไม่สนแล้ว

จนชะตาพาไปให้รู้จักกับหนุ่มผิวเข้มอเมริกัน
ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะจริงจัง
จนหนุ่ม(เหลือน้อย)เดินทางมาเจอที่เมืองไทย
ก่อนจะมาก็ขอให้เราทำวีซ่าไปเมกา
เราก็ผลัดไปเรื่อย
มันยังฝังใจ เจ็บลึกอ่ะ
แต่ฟอร์มดีนะ ไม่บอกหรอกว่าเคยขอแล้วไม่ได้ตั้งหลายรอบ
จนพอมาเจอกันที่เมืองไทย ก็ต้องบังคับขู่เข็ญ ให้สมัครขอวีซ่า
อีใบสมัครนั่นก็ปวดจิตมาก อะไรจะถามเยอะขนาดนั้น
แต่กรอกเองหมดนะ หาดูรีวิวในเว็บนี่แหละ
สมัยนี่สะดวกขึ้นมาก มีคนทำทาง แนะแนวไว้ให้เพียบ ขอบคุณทุกท่านมากนะคะ
พอจ่ายตังค์ นัดวันเสร็จ แฟนก็กลับไปเมกา
ตอนนั้นสารภาพแระ เพราะโดนบีบว่า ทำไมไม่ยอมทำเสียที
เลยบอกไปว่าเคยขอแล้วไม่ได้ เลยไม่อยากขออีก
แต่ยังเม้มไว้นะ ว่าหลายรอบ 5555
ฟอร์มดีไว้ก่อน

ตอนกรอกก็เครียดนะ จะตอบว่าเคยขอหรือไม่เคยขอดีฟะ
รู้เลยว่าถ้าบอกว่าเคยขอ ต้องเจอปัญหาแบบเดิมๆ
ความหวังเหลือแค่ 60%
ถามพี่ที่ทำงาน มีคนแนะนำว่าให้โกหก เพราะมัน...อ่านดีๆนะ
สิบหกปีมาแล้ว
คอมฯมันคงลืมเราไปแล้ว
แต่ตัดสินใจว่า ตอบความจริงดีกว่า
ถ้าไม่ได้ยังพอมีทางสู้ต่อ
แต่ถ้าโกหก มันจบตั้งแต่เริ่มต้นเลย
เลยกรอกไปตามจริง ว่าโดนปฏิเสธวันไหน
แต่ไม่บอกเรื่องแฟนนะ
อันนี้เข็ดมาก อีแฟนคนแรก ทำร้ายชั้นมาก
เลิกกันไปแต่ทำให้เสียโอกาสเที่ยวเมกา
แค้นมาก

ก่อนไปสัมภาษณ์ เราเตรียมพร้อมหาข้อมูล
คือจะไปนิวยอร์ค ก็ควรรู้ว่ามีสถานที่อะไรบ้าง
จริงๆก็รู้นะ อยากไปไหนมั่ง
แต่ชื่อภาษาอังกฤษของสถานที่ กับความตื่นเต้น ณ เวลานั้น
เราควรจะเตรียมตัวไปก่อนให้ดีๆ
ยิ่งคนชอบเที่ยวคนเดียวแบบเรา
ต้องมีทางเอาตัวรอด ข้อมูลต้องแน่น
นั่งท่องชื่อ เทพีเสรีภาพ ชื่อที่ๆสำคัญๆที่เป็นจุดท่องเที่ยว
นึกถึงที่เจอคำถามของกงสุลคนที่สอง
"ทำไมถึงอยากไปอเมริกา"
จำแม่นมาก ถึงความอึ้งในตอนนั้น
ยังไงๆ ก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก
แฟนเห็นท่อง เห็นซีเรียส ก็มากระแนะกระแหน
เห็นเป็นเรื่องขำๆ โอ๊ย ยูจะท่องไปทำไม
จนแบบรำคาญ อีนี่นี่ เวลาชั้นโดนสัมภาษณ์
จะมาช่วยชั้นได้ไหมล่ะ
ถ้าไม่ได้รอบนี้ ก็คือเลิกเลย แน่นอน
ทั้งชีวิตเลิกคิดไปมันแระ

เช้าวันนั้น ไปถึงแต่เช้า ถือสมุดโน้ตไปหนึ่งเล่ม เอาไว้ท่องชื่อสถานที่ท่องเที่ยว
แต่เลยได้รู้ว่าระบบการจัดการดีขึ้นมาก
จนถึงเข้าคิวรอสัมภาษณ์ ความรู้สึกเหมือนอยู่ในรถเมล์สมัยก่อน
ชิดในหน่อย ชิดในหน่อย ให้ที่คนอื่นยืนด้วย
คือช่องสัมภาษณ์มีสี่ช่อง
ผู้ชายสาม ผู้หญิงหนึ่ง
พอทุกช่องติดเคส คือคิวไม่ไหลต่อ
แต่ข้างนอกยังส่งคนเข้ามาเพิ่ม
มีแอร์ก็เหมือนไม่มีแอร์ทรมานมาก
แถมยังตื่นเต้นอีก พอใกล้ๆก็เร่ิมสังเกตการณ์
ช่องแรกเป็นกงสุลชายเกาหลี (ท่าทางเข้ม) ช่องนี้ไม่เอา เห็นโหงวเฮ้งแล้ว รอดยาก
ช่องสอง เป็นกงสุลหญิงผิวเข้ม ท่าทางค่อนข้างละเอียดรอบคอบ ขี้ระแวงประสาผู้หญิง (อันนี้ดูจากตัวเองเวลาทำงานนะ)
ไม่อยากเจออีกเช่นกัน
ช่องสาม และสี่ เป็นกงสุลฝรั่ง ภาวนาขอให้ได้สองช่องนี้
ที่ไม่อยากได้ผู้หญิงเพราะประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอนั่นแหละ
ช่วงที่รอ ช่องกงสุลเอเชีย ถามคนถูกสัมภาษณ์ แบบละเอียดมาก ได้ยินกันทั่ว
ถามว่าจะไปที่ไหน มีโปรแกรมอย่างไรบ้าง บระเจ้า นั่นไง  เลยเอาโน้ตมาท่องต่อ
ช่องที่สอง ก็ติดนาน แสดงว่าคงดูอย่างละเอียด จนคนที่ถูกสัมภาษณ์โดนปฏิเสธ
แต่ไม่ยอมออกไปจากช่อง จริงๆคนรัสเซียที่ยืนหน้าเราต้องเจอช่องนี้
แต่เป็นเพราะป้าคนนั้นไม่ยอมไปไหน ฝรั่งชายที่เราอยากได้เลยเรียกรัสเซียคนนี้
นาทีนั้น แบบ...ตูสินะ
แล้วกงสุลช่องสองก็กวักมือเรียกเรา
คือเดินเข้าไปอย่างสบายๆ แต่ใจแบบ...หวิวๆ ดวงจริงๆ เจอผู้หญิงอีกจนได้
กงสุลชวนคุยเป็นภาษาไทย แต่เราตอบอังกฤษ (เข็ดตอนสัมภาษณ์รอบแรก เพราะพอเค้าพูดไทยมา เราก็พูดไทย)
่เราว่าถ้าคนเที่ยวคนเดียวควรพูดภาษาอังกฤษโต้ตอบกับกงสุลได้
ไม่งั้นจะเอาตัวรอดได้ยังไง แล้วยิ่งทำงานแบบเรา ถ้าตอบภาษาไทย คงดูแปลกๆ
เธอตอบไทยมา เราก็ว่าภาษาอังกฤษไปอีก
จนสุดท้ายก็คุยกันเป็นภาษาอังกฤษหมด
ทุกอย่างดูไปได้สวย
คือสถานฑูตให้ยื่นแค่ ใบสมัคร อย่างเดียวนะ ถ้าจำไม่ผิด อย่างอื่นไม่ให้ใส่ซองลงไป
เราเตรียมมาทุกอย่าง แม้แต่โฉนดคอนโด
และพาสปอร์ตเล่มเก่า
สำหรับเรา เราคิดว่าต้องพยายามนำเสนอข้อมูลให้กับเค้า
เสมือนเราไปขายของ 5555
เพราะถ้าไม่พูด ไม่เสนอ ก็จบการขาย
กงสุลถามว่า ทำงานมากี่ปี
เรา เกือบยี่สิบปีค่ะ
กงสุล โอ้โห นานจัง
เรา นานมากกกค่ะ
กงสุล ไปเที่ยวไหนมาบ้างคะ
เรา หลายที่ค่ะ (ท่องให้ฟัง) ... มีพาสปอร์ตเก่ามาด้วย จะดูไหมคะ
กงสุล ได้ค่ะ โอ ดีมาก ดีๆ (ประมาณนี้) ไปเที่ยวกับใครคะ
เรา ไปคนเดียวค่ะ ชอบเที่ยวคนเดียวตัดสินใจอะไรง่ายดี ไม่ต้องรอเพื่อนหยุดงานตรงกันด้วยค่ะ
ทุกอย่างดูดี ไปได้สวย จนท่านกงสุล กดดูในคอมฯ
หลังจากนั้น รู้เลยว่า สถานการณ์พลิก!
ท่านปิดไมค์ แล้วหันไปเรียกกงสุลที่นั่งช่องข้างๆมาปรีกษา
โชคดีที่เราอ่านปากคนได้ กงสุลฝรั่งชายช่องข้างๆ ตอบว่า "นั่นมันเมื่อสิบหกปีมาแล้วนะ"
สักพัก ท่านก็เปิดไมค์ ถามเราต่อ
กงสุล ดิฉันเห็นจากประวัติว่า คุณเคยขอวีซ่าอเมริกาสองสามครั้ง ทำไมถึงทำแบบนั้นคะ
เรา ตอนนั้น ยังอายุน้อย แฟนอยู่ที่นั่นเลยอยากไปเยี่ยม แต่ถ้าคุณลองดูข้อมูลจะเห็นว่าเค้ากลับมาเมืองไทยแล้ว
     และเราก็เลิกกันไปแล้ว ไม่ได้ติดต่อกันอีก ที่มาขอครั้งนี้คืออยากไปเที่ยวค่ะ
กงสุล ฟังแล้วนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปพิมพ์ๆๆยาวมาก จนเราคิดว่า ไม่ผ่านแน่ จากหกสิบ ลดลงไปเหลือยี่สิบแล้ว
ท่านหันมาตอบเราว่า ครั้งนี้เราจะออกวีซ่าให้นะคะ
โอ้ย แทบกรี๊ด เหมือนสอบเข้ามหาลัยได้ยังไงอย่างงั้น
(ถ้าคนไม่เคยโดนปฏิเสธ อาจไม่เข้าใจอารมณ์นี้)
เดินออกมาแบบ โอ้ย ดีใจมาก

อยากให้ข้อคิดว่า ขนาดสิบหกปีมาแล้ว ยังมีข้อมูลในระบบเลยนะ
ดีใจที่เราไม่ได้โกหก
นี่เราก็ไปมาแล้ว กลับมาแล้ว
ทำงานต่อไปหาเงินไปเที่ยวอีก

ตอนไปผ่าน ตม.ที่นั่น ก็หวาดเสียวมาก
กลัวโดนส่งกลับ เพราะมีเงินติดไปแค่พันเหรียญ
คือสังหรณ์ใจว่า ตม.น่าจะมีข้อมูลจากสถานฑูต
เพราะเห็นท่านกงสุลพิมพ์อะไรอยู่นานมาก
คำแรกที่ถาม คือ  คุณไม่รู้จักใคร ไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวทีนี่เลยหรือ
เป๊ะ ก็ยืนยันไปตามเดิม
ถามด้วยว่ามีตังค์เท่าไหร่ ก็ตอบไปตามจริง
แบบมึนๆเพราะเพิ่งลงเครื่อง เป็นผู้หญิงผิวเข้มอีกนะ
สุดท้ายได้แสตมป์มาสิบเอ็ดเดือน
อันนี้ คืออะไรที่งงมาก
คิดว่า อาจเห็นใจว่าเอาเงินมาน้อย
คงจะให้โอกาสทำงานหาเงินก่อนกลับ
5555
พูดเล่นนะ แต่เราก็กลับตามแผนนั่นแหละ
อยู่ไปแค่สองอาทิตย์กว่า

หวังว่าคงพอจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆนะคะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่