สวัสดีครับ ก่อนหน้านี้ผมเคยตั้งกระทู้คำถามไปเกี่ยวกับโปรไฟล์ของผมเพื่อไปสัมภาษณ์ วีซ่านักเรียน
คือตัวผมเป็นนักกายภาพบำบัดต้องการไปเรียนต่อด้านพัฒนาการเด็ก ปัจจุบันตกงานเนื่องจากโควิด ครั้งที่แล้วที่มาตั้งกระทู้เพื่อขอคำแนะนำ ตอนแรกจะไปเรียนแค่ภาษา พอได้คำแนะนำจากเพื่อนๆ ก็เลยเปลี่ยนไปเลือกเรียนการดูแลเด็กแทนเพื่อให้สอดคล้องกับวิชาชีพ
ปัญหาของผมคือผมมีน้าสาวอยู่ที่อเมริกาโดยน้าเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าเขากาหัวแดงไว้เลยเพราะโอกาสโดดไปทำงานสูง ผมจะขอเล่าไว้เผื่อตั้งแต่ขั้นตอนแรกยันสัมภาษณ์กับท่านกงสุลเลยนะครับเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปขอวีซ่าครับ
ผมมีนัดสัมภาษณ์รอบเช้าสุดคือ 8 โมงตรง (รอบเวลาเหมือนจะเปลี่ยนแปลงจากเดิมเนื่องจากโควิด) ผมไปยืนรอแถวอยู่ด้านหน้าสถานทูต ทางเข้าอยู่ฝั่งซ้ายมือถ้ามาจากทาง BTS เพลินจิตนะครับ นั่งวินมาจากต้นซอย 20 บาทครับ โดยมีเจ้าหน้าที่คนไทยเรียกขอดูพาสปอร์ตและใบคอนเฟิร์มเวลานัด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะเอาบาร์โค้ดมาแปะไว้ที่พาสปอร์ตเราแล้วบอกให้จดเลขไว้ (เดาว่าเป็นเลข EMS ไว้ติดตามสถานะการส่งพาสปอร์ตครับ) หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปด้านใน จะเจอเคาน์เตอร์สำหรับฝากมือถือได้หนึ่งเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะขอบัตรประชาชนไว้กับมือถือและให้ยางรัดผมที่ผูกหมายเลขติดมาไว้ให้กับเราในการรับมือถือคืน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ให้ผมเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นด้านในของสถานทูตอเมริกาจริงๆ แล้วครับ ผมเดินเลี้ยวซ้ายตามเส้นสีแดงไปตามที่เจ้าหน้าที่บอก จะเจอเก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่งโดยแบ่งเป็นแถวๆ ตามเวลาที่เรียกสัมภาษณ์ ผมก็นั่งรอจนเขาเริ่มเรียกคิวซึ่งผมเป็นคิวแรกคือ 8 โมงเช้า หลังจากนั้นเดินไปตามทางที่แปะว่า Non-immigrant visa (ในกรณีของผมเป็นทางนี้เพราะเป็นวีซ่านักเรียนนะครับ วีซ่าท่องเที่ยวก็ทางเดียวกัน) ข้างในจะเป็นห้องใหญ่ มีเคาน์เตอร์แบ่งเป็นช่องๆ เรียงๆ กันอยู่ ผมเดินเข้าไปต่อแถวช่องสุดท้ายขวาสุดจนเจ้าหน้าที่เรียก อันนี้คือด่านแรกตามที่เขาว่ากันครับ
ด่านแรกเป็นพี่เจ้าหน้าที่คนไทย เขาขอดูพาสปอร์ตกับใบเสร็จ SEVIS ของผมและพิมพ์ลายนิ้วมือซ้ายขวา หลังจากนั้นชี้ให้ไปต่อช่องซ้ายสุด อันนี้คือด่านต่อไป
ด่านที่สองเป็นเจ้าหน้าที่อเมริกันผู้ชาย ด่านนี้แค่คอนเฟิร์มข้อมูลกับลายนิ้วมือครับ พูดไทยชัดมากกก เหมือนอาจารย์อดัมเลย พูดไทยปนอังกฤษกับผม หลังจากนั้นก็เป็นด่านที่สามครับ
ด่านนี้ของจริงคือท่านกงสุลครับ ผมได้สัมถาษณ์กับกงสุลผู้หญิงที่เป็นอิสลาม ต่อไปจะเป็นบทสนทนาที่ผมคุยกับท่านกงสุลครับ การพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ผมขออนุญาตแปลเป็นไทยให้นะครับ
กงสุล : (ยิ้ม) สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ
ผม : สบายดีครับ ท่านล่ะครับ (ตรงนี้ผมปล่อยไก่ไปเผลอเรียกท่านลงท้ายด้วย sir แล้วพอนึกได้ก็แก้เป็น ma'am แล้วผมก็เลยขอโทษไป)
กงสุล : (หัวเราะ) ไปเป็นไรค่ะ ทำไมถึงเลือกเรียนที่ ***** คะ?
ผม : พอดีที่จะไปเรียนเขามี campus อยู่ที่ Viginia beach ครับ ผมมีน้าอยู่ที่นั่นเลยกะว่าจะไปอาศัยอยู่กับน้าเพื่อประหยัดค่าเช่าบ้านครับ
กงสุล : ใครเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้คะ
ผม : ผมออกเองครับ แต่ก็ใส่ชื่อน้าไว้เป็นสปอนเซอร์ด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉินครับ
กงสุล : น้าคุณทำงานอะไรคะ (คำถามที่ผมกลัวที่สุด)
ผม : น้าเป็นผู้จัดการร้านอาหารญี่ปุ่นครับ แต่ร้านเป็นของพ่อตาเขาครับ
กงสุล : (พิมพ์คอมแล้วก็คุยกับกงสุลอีกท่านที่มายืนดูด้วย)
ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะพิมพ์นานมาก
กงสุล : คุณเป็นนักายภาพบำบัดเหรอคะ
ผม : ครับ
กงสุล : คุณรักษาผู้ป่วยเด็กหรือผู้ใหญ่คะ
ผม : ทั้งสองเลยครับ แต่ผมอยากเรียนต่อเฉพาะทางเด็ก เลยลงเรียนโปรแกรมพัฒนาการเด็กครับแล้วคิดว่าเรียนจบแล้วจะมาต่อป.โท กายภาพบำบัดในเด็กที่ไทยครับ
กงสุล : เคยเดินทางไปไหนมาก่อนไหมคะ
ผม : เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ
กงสุล : (ทำหน้าตึง) แต่ในนี้บอกว่าคุณไม่เคยเดินทางมาก่อนนี่คะ?
ถึงตรงนี้ผมตกใจเลยครับ ผมจำได้ว่าผมกรอกไปแล้วนะว่าไปญี่ปุ่นมา
ผม : ผมเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมาครับ (โชคดีที่นำพาสปอร์ตเล่มเก่ามาด้วยเลยเอามาเปิดหน้าที่มีตราประทับของญี่ปุ่นให้ดู)
กงสุล : ไปมานานหรือยังคะ?
ผม : ตั้งแต่ธันวาคม ปี 2016 ครับ
กงสุล : อ้อ... ค่ะ (กลับไปคุยกับกงสุลอีกท่านเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่าง)
หลังจากยืนลุ้นตัวสั่นอยู่สักพักท่านกงสุลยื่นพาสปอร์ตคืนมา ผมนี่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย
กงสุล : คุณเอาใบนี้ไปยื่นที่แคชเชียร์นะคะ แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่า 75 เหรียญฯ แล้วเอากลับมาช่องนี้นะคะ
ผมก็รับมาคือสมองยังช็อกอยู่แบบ เอ้... แปลว่ากูผ่านแล้วเหรอวะ? แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์แบบงงๆ (จ่ายเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ครับแต่เหมือนจะมีบัตรบางธนาคารที่ไม่รับแต่จำไม่ได้ว่าธนาคารไหนบ้าง พอจำได้มีบัตรธนาคารกรุงเทพที่มีลายการ์ตูนอะไรนี่แหละที่เขาบอกไม่ได้) หลังจากนั้นก็เอาใบเสร็จพร้อมพาสปอร์ตยื่นให้ท่านกงสุลท่านเดิม
กงสุล : ขอบคุณค่ะ คุณจะได้รับพาสปอร์ตคืนพร้อมวีซ่า จะส่งไปให้ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ภายในหนึ่งสัปดาห์นะคะ
ผม : อันนี้คือผมผ่านแล้วเหรอครับ?
กงสุล : (ยิ้ม) ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ
ผม : ขอบคุณครับ แล้วก็บอก Have a great day ท่านไปก่อนจะเดินออกมา (ไม่รู้จะแปลคำนี้ยังไง)
แล้วก็เดินออกมาครับ ย้อนตามทางเดินมาแล้วออกประตูมาผ่านจุดที่นั่งรอตอนแรก แต่มีงงๆ นิดนึงเพราะตรงทางจะออกจากสถานทูตมันมีประตูทางออกอยู่บานเดียวเขียนว่า Consular Exit ผมก็คิดว่าเป็นทางออกเจ้าหน้าที่ แต่มองไปก็ไม่เห็นทางอื่นแล้วก็เลยเข้าไปครับ เข้ามาแล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกมารับโทรศัพท์คืน เจ้าหน้าที่บอกว่าให้เปิดเครื่องด้านนอกสถานทูตนะคะ
เป็นอันจบแล้วครับ
สรุปแล้วผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผมผ่านมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่หลายๆ ท่านก็เคยบอกเอาไว้แล้วว่าถ้ามีญาติทำงานอยู่นู่นแถมทำร้านอาหารนี่คือโดนกาหัวเลย แต่ก็ผ่านมาแล้วครับ
ตามความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่าตอบความจริงไปทั้งหมดคือดีที่สุดครับ ผมเตรียมเอกสารเบื้องต้นไป พาสปอร์ตเล่มเก่าที่เคยมี ใบประกอบวิชาชีพ ใบเกรด ใบปริญญาภาษาอังกฤษ แต่เขาไม่ได้ขอดูสักอย่างเลยครับ
ทั้งนี้ผมดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเองไม่เคยผ่านเอเจนซี่ใดๆ ตั้งแต่หาโรงเรียน ยื่นเรื่องต่างๆ ทุกอย่าง ผมใช้เวลาเตรียมตัวซ้อมสัมภาษณ์ด้วยตัวเองจริงจังประมาณ 1 เดือนครับ แบบช่วงว่างๆ นั่งคนเดียวหรือนั่งรถก็ฝึกคิดคำตอบเผื่อตอบคำถาม และอธิบายเหตุผล แต่สุดท้ายแล้วเขาถามนิดเดียวเองครับ 555 อาจจะเพราะผมได้สัมภาษณ์กับท่านกงสุลใจดีด้สยหรือเปล่าไม่รู้
สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกๆ ท่านในพันทิปที่เคยให้คำแนะนำครับ ถ้าไม่ได้คำแนะนำจากพันทิปให้เปลี่ยนโปรแกรมที่จะไปเรียนเป็นอันนี้อาจจะไม่ผ่านแล้วก็ได้
ขอบคุณและขอให้ทุกๆ ท่านโชคดีนะครับ
แชร์ประสบการณ์สัมภาษณ์วีซ่านักเรียนอเมริกา (กันยายน 2020)
คือตัวผมเป็นนักกายภาพบำบัดต้องการไปเรียนต่อด้านพัฒนาการเด็ก ปัจจุบันตกงานเนื่องจากโควิด ครั้งที่แล้วที่มาตั้งกระทู้เพื่อขอคำแนะนำ ตอนแรกจะไปเรียนแค่ภาษา พอได้คำแนะนำจากเพื่อนๆ ก็เลยเปลี่ยนไปเลือกเรียนการดูแลเด็กแทนเพื่อให้สอดคล้องกับวิชาชีพ
ปัญหาของผมคือผมมีน้าสาวอยู่ที่อเมริกาโดยน้าเป็นผู้จัดการร้านอาหาร ซึ่งหลายๆ คนบอกว่าเขากาหัวแดงไว้เลยเพราะโอกาสโดดไปทำงานสูง ผมจะขอเล่าไว้เผื่อตั้งแต่ขั้นตอนแรกยันสัมภาษณ์กับท่านกงสุลเลยนะครับเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่ต้องการไปขอวีซ่าครับ
ผมมีนัดสัมภาษณ์รอบเช้าสุดคือ 8 โมงตรง (รอบเวลาเหมือนจะเปลี่ยนแปลงจากเดิมเนื่องจากโควิด) ผมไปยืนรอแถวอยู่ด้านหน้าสถานทูต ทางเข้าอยู่ฝั่งซ้ายมือถ้ามาจากทาง BTS เพลินจิตนะครับ นั่งวินมาจากต้นซอย 20 บาทครับ โดยมีเจ้าหน้าที่คนไทยเรียกขอดูพาสปอร์ตและใบคอนเฟิร์มเวลานัด หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จะเอาบาร์โค้ดมาแปะไว้ที่พาสปอร์ตเราแล้วบอกให้จดเลขไว้ (เดาว่าเป็นเลข EMS ไว้ติดตามสถานะการส่งพาสปอร์ตครับ) หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปด้านใน จะเจอเคาน์เตอร์สำหรับฝากมือถือได้หนึ่งเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะขอบัตรประชาชนไว้กับมือถือและให้ยางรัดผมที่ผูกหมายเลขติดมาไว้ให้กับเราในการรับมือถือคืน
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ให้ผมเดินเข้าไปด้านในซึ่งเป็นด้านในของสถานทูตอเมริกาจริงๆ แล้วครับ ผมเดินเลี้ยวซ้ายตามเส้นสีแดงไปตามที่เจ้าหน้าที่บอก จะเจอเก้าอี้ที่จัดไว้ให้นั่งโดยแบ่งเป็นแถวๆ ตามเวลาที่เรียกสัมภาษณ์ ผมก็นั่งรอจนเขาเริ่มเรียกคิวซึ่งผมเป็นคิวแรกคือ 8 โมงเช้า หลังจากนั้นเดินไปตามทางที่แปะว่า Non-immigrant visa (ในกรณีของผมเป็นทางนี้เพราะเป็นวีซ่านักเรียนนะครับ วีซ่าท่องเที่ยวก็ทางเดียวกัน) ข้างในจะเป็นห้องใหญ่ มีเคาน์เตอร์แบ่งเป็นช่องๆ เรียงๆ กันอยู่ ผมเดินเข้าไปต่อแถวช่องสุดท้ายขวาสุดจนเจ้าหน้าที่เรียก อันนี้คือด่านแรกตามที่เขาว่ากันครับ
ด่านแรกเป็นพี่เจ้าหน้าที่คนไทย เขาขอดูพาสปอร์ตกับใบเสร็จ SEVIS ของผมและพิมพ์ลายนิ้วมือซ้ายขวา หลังจากนั้นชี้ให้ไปต่อช่องซ้ายสุด อันนี้คือด่านต่อไป
ด่านที่สองเป็นเจ้าหน้าที่อเมริกันผู้ชาย ด่านนี้แค่คอนเฟิร์มข้อมูลกับลายนิ้วมือครับ พูดไทยชัดมากกก เหมือนอาจารย์อดัมเลย พูดไทยปนอังกฤษกับผม หลังจากนั้นก็เป็นด่านที่สามครับ
ด่านนี้ของจริงคือท่านกงสุลครับ ผมได้สัมถาษณ์กับกงสุลผู้หญิงที่เป็นอิสลาม ต่อไปจะเป็นบทสนทนาที่ผมคุยกับท่านกงสุลครับ การพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ผมขออนุญาตแปลเป็นไทยให้นะครับ
กงสุล : (ยิ้ม) สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ
ผม : สบายดีครับ ท่านล่ะครับ (ตรงนี้ผมปล่อยไก่ไปเผลอเรียกท่านลงท้ายด้วย sir แล้วพอนึกได้ก็แก้เป็น ma'am แล้วผมก็เลยขอโทษไป)
กงสุล : (หัวเราะ) ไปเป็นไรค่ะ ทำไมถึงเลือกเรียนที่ ***** คะ?
ผม : พอดีที่จะไปเรียนเขามี campus อยู่ที่ Viginia beach ครับ ผมมีน้าอยู่ที่นั่นเลยกะว่าจะไปอาศัยอยู่กับน้าเพื่อประหยัดค่าเช่าบ้านครับ
กงสุล : ใครเป็นคนออกค่าใช้จ่ายให้คะ
ผม : ผมออกเองครับ แต่ก็ใส่ชื่อน้าไว้เป็นสปอนเซอร์ด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉินครับ
กงสุล : น้าคุณทำงานอะไรคะ (คำถามที่ผมกลัวที่สุด)
ผม : น้าเป็นผู้จัดการร้านอาหารญี่ปุ่นครับ แต่ร้านเป็นของพ่อตาเขาครับ
กงสุล : (พิมพ์คอมแล้วก็คุยกับกงสุลอีกท่านที่มายืนดูด้วย)
ผมเริ่มใจไม่ดีเพราะพิมพ์นานมาก
กงสุล : คุณเป็นนักายภาพบำบัดเหรอคะ
ผม : ครับ
กงสุล : คุณรักษาผู้ป่วยเด็กหรือผู้ใหญ่คะ
ผม : ทั้งสองเลยครับ แต่ผมอยากเรียนต่อเฉพาะทางเด็ก เลยลงเรียนโปรแกรมพัฒนาการเด็กครับแล้วคิดว่าเรียนจบแล้วจะมาต่อป.โท กายภาพบำบัดในเด็กที่ไทยครับ
กงสุล : เคยเดินทางไปไหนมาก่อนไหมคะ
ผม : เคยไปเที่ยวญี่ปุ่นครับ
กงสุล : (ทำหน้าตึง) แต่ในนี้บอกว่าคุณไม่เคยเดินทางมาก่อนนี่คะ?
ถึงตรงนี้ผมตกใจเลยครับ ผมจำได้ว่าผมกรอกไปแล้วนะว่าไปญี่ปุ่นมา
ผม : ผมเคยไปเที่ยวญี่ปุ่นมาครับ (โชคดีที่นำพาสปอร์ตเล่มเก่ามาด้วยเลยเอามาเปิดหน้าที่มีตราประทับของญี่ปุ่นให้ดู)
กงสุล : ไปมานานหรือยังคะ?
ผม : ตั้งแต่ธันวาคม ปี 2016 ครับ
กงสุล : อ้อ... ค่ะ (กลับไปคุยกับกงสุลอีกท่านเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่าง)
หลังจากยืนลุ้นตัวสั่นอยู่สักพักท่านกงสุลยื่นพาสปอร์ตคืนมา ผมนี่ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มเลย
กงสุล : คุณเอาใบนี้ไปยื่นที่แคชเชียร์นะคะ แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมวีซ่า 75 เหรียญฯ แล้วเอากลับมาช่องนี้นะคะ
ผมก็รับมาคือสมองยังช็อกอยู่แบบ เอ้... แปลว่ากูผ่านแล้วเหรอวะ? แล้วก็เดินไปจ่ายตังค์แบบงงๆ (จ่ายเงินสดหรือบัตรเครดิตก็ได้ครับแต่เหมือนจะมีบัตรบางธนาคารที่ไม่รับแต่จำไม่ได้ว่าธนาคารไหนบ้าง พอจำได้มีบัตรธนาคารกรุงเทพที่มีลายการ์ตูนอะไรนี่แหละที่เขาบอกไม่ได้) หลังจากนั้นก็เอาใบเสร็จพร้อมพาสปอร์ตยื่นให้ท่านกงสุลท่านเดิม
กงสุล : ขอบคุณค่ะ คุณจะได้รับพาสปอร์ตคืนพร้อมวีซ่า จะส่งไปให้ตามที่อยู่ที่ให้ไว้ภายในหนึ่งสัปดาห์นะคะ
ผม : อันนี้คือผมผ่านแล้วเหรอครับ?
กงสุล : (ยิ้ม) ค่ะ ยินดีด้วยนะคะ
ผม : ขอบคุณครับ แล้วก็บอก Have a great day ท่านไปก่อนจะเดินออกมา (ไม่รู้จะแปลคำนี้ยังไง)
แล้วก็เดินออกมาครับ ย้อนตามทางเดินมาแล้วออกประตูมาผ่านจุดที่นั่งรอตอนแรก แต่มีงงๆ นิดนึงเพราะตรงทางจะออกจากสถานทูตมันมีประตูทางออกอยู่บานเดียวเขียนว่า Consular Exit ผมก็คิดว่าเป็นทางออกเจ้าหน้าที่ แต่มองไปก็ไม่เห็นทางอื่นแล้วก็เลยเข้าไปครับ เข้ามาแล้วเจ้าหน้าที่ก็เรียกมารับโทรศัพท์คืน เจ้าหน้าที่บอกว่าให้เปิดเครื่องด้านนอกสถานทูตนะคะ
เป็นอันจบแล้วครับ
สรุปแล้วผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผมผ่านมาได้ยังไง ทั้งๆ ที่หลายๆ ท่านก็เคยบอกเอาไว้แล้วว่าถ้ามีญาติทำงานอยู่นู่นแถมทำร้านอาหารนี่คือโดนกาหัวเลย แต่ก็ผ่านมาแล้วครับ
ตามความเห็นส่วนตัวของผม ผมว่าตอบความจริงไปทั้งหมดคือดีที่สุดครับ ผมเตรียมเอกสารเบื้องต้นไป พาสปอร์ตเล่มเก่าที่เคยมี ใบประกอบวิชาชีพ ใบเกรด ใบปริญญาภาษาอังกฤษ แต่เขาไม่ได้ขอดูสักอย่างเลยครับ
ทั้งนี้ผมดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเองไม่เคยผ่านเอเจนซี่ใดๆ ตั้งแต่หาโรงเรียน ยื่นเรื่องต่างๆ ทุกอย่าง ผมใช้เวลาเตรียมตัวซ้อมสัมภาษณ์ด้วยตัวเองจริงจังประมาณ 1 เดือนครับ แบบช่วงว่างๆ นั่งคนเดียวหรือนั่งรถก็ฝึกคิดคำตอบเผื่อตอบคำถาม และอธิบายเหตุผล แต่สุดท้ายแล้วเขาถามนิดเดียวเองครับ 555 อาจจะเพราะผมได้สัมภาษณ์กับท่านกงสุลใจดีด้สยหรือเปล่าไม่รู้
สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุกๆ ท่านในพันทิปที่เคยให้คำแนะนำครับ ถ้าไม่ได้คำแนะนำจากพันทิปให้เปลี่ยนโปรแกรมที่จะไปเรียนเป็นอันนี้อาจจะไม่ผ่านแล้วก็ได้
ขอบคุณและขอให้ทุกๆ ท่านโชคดีนะครับ