อาคาร 3 ชั้น 5

17.50 น. ของต้นฤดูฝน เป็นเวลาที่ท้องฟ้าน่าจะยังคงสว่างอยู่ แต่วันนี้กลับดูสลัว ๆ เหมือนกำลังบอกว่าเราสมควรกลับบ้านได้สักที
     ทั้งอาคารดูว่างเปล่าราวกับโรงเรียนยังไม่เปิดเทอม มีเพียงเสียงกลุ่มเด็กผู้ชายห้าหกคนที่กำลังเล่นบาสอยู่ด้านล่างอาคาร กับเสียงเด็ก ม.ต้น ที่กำลังเล่นเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่อาคารฝั่งตรงข้าม แต่ก็แปลกที่วันนี้เพื่อน ๆ นึกอยากกลับบ้านกันเร็วผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะเปิดเทอมเอง ใช่สิวันนี้วันศุกร์ คงอยากรีบไปเถลไถลกันตามประสาเด็กมัธยมปลายทั่ว ๆ ไป แต่ฉันคงจะได้เดินกลับบ้านอย่างสบายใจแน่ ๆ ถ้าไม่ดันลืมสมุดคณิตไว้ ใต้โต๊ะนักเรียน ที่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเหล่าหนังสือที่ขี้เกียจแบกกลับบ้านไปอ่าน เพราะฉันรู้แน่ ๆ ว่า เอากลับไปก็คงไม่ได้อ่านอยู่ดี
     เจ้าสมุดตัวปัญหาเอ๊ย! ฉันคิดอยู่ในใจ และทำได้แค่แสดงอาการหงุดหงิดนิดหน่อยหลังจากค้นกระเป๋านักเรียนสีดำหาสมุดการบ้านตัวปัญหา และพบว่าลืมมันไว้บนห้อง สุดท้าย..ก็ต้องตัดสินใจเดินขึ้นไปหยิบมันบนอาคารซึ่งไร้ผู้คน ฉันวางกระเป๋าลงบนม้านั่งและเดินดิ่งไปยังอาคาาร 3 เพื่อจะได้ไปเอาสมุดและรีบกลับ ๆ บ้านสักที
     พอเจอกระจกหน้าห้องปกครองก่อนขึ้นบันได ก็อดไม่ได้ที่จะมองตัวเองในนั้น จับเสื้อจับกระโปรง ดูผมเผ้าให้เรียบร้อย และเดินขึ้นไปบนอาคารอย่างไม่รีรอ มือขวาพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปรงด้านขวาเพื่อเช็ค Line หลังจากที่ทนฟังเสียงเตือนมานานสองนาน เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นหินอ่อนเป็นจังหว่ะตามขั้นบันได ทางเดินดูมืดนิดหน่อยเพราะมีเพียงแสงจากท้องฟ้ายามเย็นส่องเข้ามาในอาคาร อาคารนี้มีแค่สี่ชั้นเท่านั้น แต่ทำไมฉันต้องมาเรียนชั้นบนสุดด้วยก็ไม่เข้าใจ
     ห้องภาษาไทยปิดไปแล้ว นี่คงไม่ใช่แค่นักเรียนสินะที่อยากกลับบ้านไว คุณครูเองก็คงอยากมีอารมณ์อยู่อย่างสงบ ๆ ในเย็นวันสุดท้ายเช่นกัน หลังจากที่เดินมาได้สักพักก็รู้สึกได้ว่าขึ้นมาหลายชั้นแล้ว คงจะถึงแล้วหล่ะ พอมองขึ้นไปด้านบนก็เห็นได้ว่าตัวเองกำลังขึ้นมาชั้นบนสุดพอดี ด้านหลังก็เป็นห้องน้ำหญิงที่ใช้ทุกวัน แต่..เสียงฝีเท้าที่เดินดูผิดแปลกไป
     เอี๊ยด... เอี๊ยด...
     พื้นไม้? พื้นไม้หรอ มือขวาที่กำลังถือโทรศัพท์ค่อย ๆ ผ่อนลงและยัดมันลงไปในกระเป๋าดังเดิม หันไปจับราวบันไดที่อยู่ด้านขวา และค่อย ๆ มองไปรอบ ๆ ใครยังอยู่ในห้องเรียนรึเปล่า ก็มีแค่ห้องเรียนเท่านั้นที่พื้นเป็นไม้ เพราะบันไดกับพื้นหน้าห้องก็ต่างเป็นหินอ่อนทั้งหมด
     เดี๋ยวนะ นั่น หน้าห้องฉัน หลังจากที่มองลงไปชั้นล่างทางขวามือ ก็พบกับหน้าห้องตัวเอง สภาพแบบนี้ใช่แน่ ๆ แล้วตอนนี้ เรากำลังขึ้นไปที่ไหน? คำถามนี้วนอยู่ในหัวซักพัก ทุกอย่างดูวิงเวียน เสียงในหูอื้อไปหมด และก็ตัดสินใจมองไปรอบ ๆ ตัวเองอีกที
     บันไดไม้หรอ ฉันกำลังเดินขึ้นบันไดไม้ อาคารนี้มีบันไดไม้ซะที่ไหน ชั้นที่ผ่านขึ้นมาคือชั้น 4 ..นี่ฉัน กำลัง ขึ้นชั้น 5 หรอ?
     บันได้ไม้สีพื้นดั่งไม้ชิงชันสีน้ำตาลดำ ทอดขึ้นไปยังชั้น 5 ที่ลักษณะเหมือนทุก  ๆ ชั้น แต่เพียงแค่ พื้นเป็นพื้นไม่เท่านั้นเอง..
     ฉันคิดอยู่ในใจเพียงประโยคเดียวขณะนั้น อาคารนี้ มีแค่ชั้นสี่ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ครั้งนั้นได้รู้ซึ้งทันทีว่าอาการขาก้าวไม่ออกเป็นอย่างไร ใจไม่อยากจะมองขึ้นไปด้านบนแต่ก็อดมองไม่ได้เพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเปล่า น้ำตาเริ่มซึมออกมาทั้งสองข้าง ไหลลงแก้มอย่างช้า ๆ ฉันน่าจะเชื่อสีของท้องฟ้าที่อยากให้ฉันกลับบ้านตั้งแต่แรก ในความคิดตอนนั้นการบ้านคณิตก็ไม่สำคัญอะไรอีกต่อไป สิ่งที่น่าจะสำคัญกว่าก็คือการที่ต้องรอดออกไปจากเหตุการณ์นี้ เดี๋ยวนี้! หลังจากที่คิดได้ สุดกำลังที่มีค่อย ๆ เดินอย่างช้า ๆ ลงบันไดเพราะขาไม่มีแรงจะก้าว มือทั้งสองประคองราวบันไดไว้แน่นราวกับไร้ซึ่งที่พึ่งพาในตอนนั้น
     เอี๊ยด...
     ในใจตอนนั้นนึกขึ้นได้เลย ไม่ใช่เสียงเท้ากูแน่ ๆ ค่ะ กูอยู่พื้นชั้นสี่แล้ว พอได้ยินอีกเอี๊ยดเท่านั้นแหละ วิ่งสิคะ ขาจากที่ไม่มีแรง มันขึ้นมามีแรงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มือปาดน้ำตาไป ขาก็วิ่งไป ทำงานเข้ากันได้อย่างดี สุดท้ายแสงสว่างจากนอกอาคารก็ทำให้ฉันโล่งใจขึ้นมาอีกครั้ง และทำให้สัญญากับตัวเองไว้ว่า "จะไม่ขึ้นอาคารนี้เพียงลำพังคนเดียว อีกครั้ง..แน่นอน"

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นโดยอ้างอิงจากเหตุการณ์จริง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่