เมื่อถูกถามไว้ในกระทู้นี้
https://ppantip.com/topic/36432444
ผมจึงตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อให้เกิดความระเอียดถึงเหตุ และความเป็นไป.
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต่างประสบเป็นทุกข์อย่างมากมายตามฐานะแห่งตน แต่ผู้เห็นทุกข์นั้นมีน้อย
ผู้ที่เป็นทุกข์ ส่วนหนึ่งต่างหาทางดับทุกข์ ด้วยการเจริญความเฉลียวฉลาดทางสมอง แต่ก็มีส่วนน้อย ที่เจริญปัญญาและเจริญคุณสมบัติเพื่อเห็นทุกข์ จนบรรเทาความเป็นทุกข์ และดับทุกข์ได้
หลายท่านอาจสงสัยว่าผมติดเชื่อซิฟิลิส โดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร? ทำไมเมื่อเกิดอาการของโรคแล้วไม่รักษา?
ก็เพราะทุกอย่างย่อมมีเหตุ คือสิ่งที่เกิดย่อมเกิดจากเหตุ เป็นธรรมดา
เริ่มเรื่อง ผมเกิดในประเทศไทย แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับสัญชาติไทย จึงไม่มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แต่ผมดิ้นรนจนได้ใบสอบถามจากกระทรวงมหาดไทย จึงนำเอาไปสมัครเรียนที่ มหาลัยรามคำแหงก่อน โดยที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตสมบูรณ์ และพ่อก็ขัดขวางผมทุกวิถีทางไม่ให้ผมเรียนต่อ ผมทั้งกลัวทางมหาลัยตัดสิทธิ์ในการเรียนต่อ กลัวออกนอกเขตไปเรียนแล้วโดนจับไม่ได้เรียนต่อ ยอมอดยอมลำบากกินไม่อิ่ม เพราะได้เงินเรียนกินอยู่จากแม่เดือนละ 8-900 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2523
ด้วยเงินเดือนที่ได้น้อยนั้นแหละจึงไม่สามารถไปเช่าหอหน้า ม.รามได้ เพราะค่าหออย่างถูกๆ เป็นหอไม้ปลูกบนน้ำคลำ ห้องน้ำรวมก็ 400 -500 บาทต่อคนต่อเดือนแล้ว ดังนั้นเงินที่เหลือ 400-500 บาท ไม่พอกินตลอดทั้งเดือน วิธีที่ทำให้อยู่ได้คือไปอยู่รวมๆ กับเพื่อนๆ ที่เช่าบ้านทั้งหลัง อยู่กัน 10-12 คน โดยจ่ายเงินส่วนกลางคนละ 450 บาทต่อเดือน รวมอาหารเช้าหนึ่งมื้อเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ โดยจัดเวรกันแต่ละคนเวียนกัน หุงข้าวทำกับข้าวเพียง 1 อย่าง นั้นแหละเป็นมื้อที่ได้กินอิ่มในแต่ละวัน
ดังนั้นเสาร์-อาทิตย์ ต้องอด หาขนมปังชิ้นละบาทกับน้ำหรือน้ำถัวเหลืองลูบท้องไป เพราะไม่ได้ไปเรียนในมหาลัย ไม่มีข้าวราดแกง 1 อย่าง จานละ 5 บาทให้กินพออยู่ท้องแต่ไม่อิ่ม แต่ปัญหาสมัยนั้นในมหาลัย ไม่มีก๊อกน้ำเปล่าให้ดื่มกินฟรี และน้ำเปล่าในมหาลัยแก้วละ 0.5 บาทต้องแอบหาโอกาส เข้าไปดื่มน้ำในห้องน้ำ แบบทำเป็นเนียน ก็ไม่ทันได้กินน้ำอิ่มหลอกครับ เพราะอายเขา กลัวคนอื่นจะรู้
รวมแล้วทั้งเครียดทั้งกลัวทั้งกดดันทุกด้านอย่างมากจนจิตใจเป้ ต้องอาศัยการกำหนดภาวนามีสติที่ลมหายใจ อยู่เนื่องๆ อยู่ตลอดระงับไม่ให้คิดฟุ้งซ่านท้อทอย จนเพี้ยนบ้าไปเสียก่อน แต่ผลที่ตามมาคือท้องผูกอย่างแรง ใน 1 อาทิตย์ จะถ่ายได้ออกจริงๆ เพียง 2 ครั้งเท่านั้น บางอาทิตย์ได้ 3 ครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่บางอาทิตย์อย่างโหดลากไปถึง 7 วันถ่ายได้สักครั้ง ดังนั้นกลิ่นเต่าจึงโคตรเหม็นอย่างแรงเมื่อมีเหงื่อออก จึงต้องหาสารสัมมาทาเพื่อบรรเทา ในช่วงปี 1 จากที่ไม่คอยได้ใช้มาก่อน ช่วงนี้ผมมีโอกาสไปให้เลือดกับรถสภากาชาติที่มาขอรับบริจาค เป็นประจำที่หน้า มหาลัยรามคำแหง เลือดก็ไม่มีปัญหาอะไร แถมได้ขนมปังและนมโอวัลตินดื่มทุกครั้ง
แต่ก็เมื่อเด็กวัยหนุ่มมาอยู่ร่วมกันถึง 10 กว่าคน ก็มีบางส่วน 3-4 คนออกไปเทียวผู้หญิงโสเภณีอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็บอกว่าไปจับไก่แถวสะพานควาย แล้วเอามานอนที่บ้านเช่านั้นเองส่วน 5-6 คนที่ไม่เที่ยวก็ยอมหลีกให้เขา และคนที่เที่ยวโสเภณี ก็มีปัญหาติดเชื่อหนองในบ้าง ซิฟิลิสบ้าง เอาผลตรวจของหมอมาประกาศติดหราในบ้านเพื่อให้ทราบกัน โชคดีในสมัยนั้นโรคเอดส์ ยังไม่มี ด้วยเพื่อนๆ ที่เป็นนักเทียวจึงไปตรวจเชื่อที่โรงพยาบาลบางรักเป็นประจำ และรักษาจนหาย
การที่ผมไม่เที่ยวโสเภณี ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ใดๆ มาก่อน จึงไม่จำเป็นต้องไปตรวจ แม้แต่ป่วยเล็กๆ น้อยก็ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะกลัวโดนจับแล้วจะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อจนจบ ปล่อยให้มันหายเอง ทุกครั้ง
ผมไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนเป็นประจำ และอ่านหนังสือธรรมในหอสมุดบ่อย ในคืนหนึ่งผมหลับไปแล้วได้ฝันเห็นตัวเองนอนอยู่ ผิวขาวนวลอย่างมีออร่า แล้วใจหรือความรู้สึกได้เคลื่อนไปตามผิวที่ผ่องของตนเอง ไปตามแขน จนเลยขอศอกไปนิดหนึ่ง เห็นเป็นจุดที่เป็นรู้อยู่บนผิวหนัง จิตหรือใจนั้นเลือนเข้าไปดูในรู้นั้น โอ้ก็เห็นหนอนตัวเล็ก เต็มยั่วเยียเต็มไปหมดใต้ผิดหนังตลอดทั้งแขน แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น
ก็นึกแปลกใจตนเองอยู่ แต่ก็ให้คิดไปในเชิงธรรมไปเสียว่า มนุษย์เรามองดูด้านนอกสะอาดดี แต่ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก และกิเลส
ภายหลังอีก 8 ปีกว่าต่อมา เมื่อผมได้รับการรักษาซิฟิลิส โดยได้รับการฉีดยา 3 เข็ม จนตรวจเลือดซ้ำไม่เจอแล้ว ผมมีข้อกังขาในใจแล้วย้อนกลับไปพิจารณาว่า ผมติดเชื่อซิฟิลิส ตอนไหนตั้งแต่เมื้อใด ไปตามลำดับและเหตุการณ์ ดังนี้
เมื่อผมติดเชื่อซิฟิลิสโดยไม่รู้ตัวยาวนานถึง 8 ปี จึงเกิดผลข้างเคียงอย่างหนัก จนถึงปัจจุบัน (ตั้งกระทู้ใหม่ตามที่ถูกถาม)
ผมจึงตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อให้เกิดความระเอียดถึงเหตุ และความเป็นไป.
มนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ต่างประสบเป็นทุกข์อย่างมากมายตามฐานะแห่งตน แต่ผู้เห็นทุกข์นั้นมีน้อย
ผู้ที่เป็นทุกข์ ส่วนหนึ่งต่างหาทางดับทุกข์ ด้วยการเจริญความเฉลียวฉลาดทางสมอง แต่ก็มีส่วนน้อย ที่เจริญปัญญาและเจริญคุณสมบัติเพื่อเห็นทุกข์ จนบรรเทาความเป็นทุกข์ และดับทุกข์ได้
หลายท่านอาจสงสัยว่าผมติดเชื่อซิฟิลิส โดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร? ทำไมเมื่อเกิดอาการของโรคแล้วไม่รักษา?
ก็เพราะทุกอย่างย่อมมีเหตุ คือสิ่งที่เกิดย่อมเกิดจากเหตุ เป็นธรรมดา
เริ่มเรื่อง ผมเกิดในประเทศไทย แต่ตอนนั้นผมยังไม่ได้รับสัญชาติไทย จึงไม่มีสิทธิ์เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา แต่ผมดิ้นรนจนได้ใบสอบถามจากกระทรวงมหาดไทย จึงนำเอาไปสมัครเรียนที่ มหาลัยรามคำแหงก่อน โดยที่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตสมบูรณ์ และพ่อก็ขัดขวางผมทุกวิถีทางไม่ให้ผมเรียนต่อ ผมทั้งกลัวทางมหาลัยตัดสิทธิ์ในการเรียนต่อ กลัวออกนอกเขตไปเรียนแล้วโดนจับไม่ได้เรียนต่อ ยอมอดยอมลำบากกินไม่อิ่ม เพราะได้เงินเรียนกินอยู่จากแม่เดือนละ 8-900 บาท เมื่อปี พ.ศ. 2523
ด้วยเงินเดือนที่ได้น้อยนั้นแหละจึงไม่สามารถไปเช่าหอหน้า ม.รามได้ เพราะค่าหออย่างถูกๆ เป็นหอไม้ปลูกบนน้ำคลำ ห้องน้ำรวมก็ 400 -500 บาทต่อคนต่อเดือนแล้ว ดังนั้นเงินที่เหลือ 400-500 บาท ไม่พอกินตลอดทั้งเดือน วิธีที่ทำให้อยู่ได้คือไปอยู่รวมๆ กับเพื่อนๆ ที่เช่าบ้านทั้งหลัง อยู่กัน 10-12 คน โดยจ่ายเงินส่วนกลางคนละ 450 บาทต่อเดือน รวมอาหารเช้าหนึ่งมื้อเฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ โดยจัดเวรกันแต่ละคนเวียนกัน หุงข้าวทำกับข้าวเพียง 1 อย่าง นั้นแหละเป็นมื้อที่ได้กินอิ่มในแต่ละวัน
ดังนั้นเสาร์-อาทิตย์ ต้องอด หาขนมปังชิ้นละบาทกับน้ำหรือน้ำถัวเหลืองลูบท้องไป เพราะไม่ได้ไปเรียนในมหาลัย ไม่มีข้าวราดแกง 1 อย่าง จานละ 5 บาทให้กินพออยู่ท้องแต่ไม่อิ่ม แต่ปัญหาสมัยนั้นในมหาลัย ไม่มีก๊อกน้ำเปล่าให้ดื่มกินฟรี และน้ำเปล่าในมหาลัยแก้วละ 0.5 บาทต้องแอบหาโอกาส เข้าไปดื่มน้ำในห้องน้ำ แบบทำเป็นเนียน ก็ไม่ทันได้กินน้ำอิ่มหลอกครับ เพราะอายเขา กลัวคนอื่นจะรู้
รวมแล้วทั้งเครียดทั้งกลัวทั้งกดดันทุกด้านอย่างมากจนจิตใจเป้ ต้องอาศัยการกำหนดภาวนามีสติที่ลมหายใจ อยู่เนื่องๆ อยู่ตลอดระงับไม่ให้คิดฟุ้งซ่านท้อทอย จนเพี้ยนบ้าไปเสียก่อน แต่ผลที่ตามมาคือท้องผูกอย่างแรง ใน 1 อาทิตย์ จะถ่ายได้ออกจริงๆ เพียง 2 ครั้งเท่านั้น บางอาทิตย์ได้ 3 ครั้งก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่บางอาทิตย์อย่างโหดลากไปถึง 7 วันถ่ายได้สักครั้ง ดังนั้นกลิ่นเต่าจึงโคตรเหม็นอย่างแรงเมื่อมีเหงื่อออก จึงต้องหาสารสัมมาทาเพื่อบรรเทา ในช่วงปี 1 จากที่ไม่คอยได้ใช้มาก่อน ช่วงนี้ผมมีโอกาสไปให้เลือดกับรถสภากาชาติที่มาขอรับบริจาค เป็นประจำที่หน้า มหาลัยรามคำแหง เลือดก็ไม่มีปัญหาอะไร แถมได้ขนมปังและนมโอวัลตินดื่มทุกครั้ง
แต่ก็เมื่อเด็กวัยหนุ่มมาอยู่ร่วมกันถึง 10 กว่าคน ก็มีบางส่วน 3-4 คนออกไปเทียวผู้หญิงโสเภณีอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็บอกว่าไปจับไก่แถวสะพานควาย แล้วเอามานอนที่บ้านเช่านั้นเองส่วน 5-6 คนที่ไม่เที่ยวก็ยอมหลีกให้เขา และคนที่เที่ยวโสเภณี ก็มีปัญหาติดเชื่อหนองในบ้าง ซิฟิลิสบ้าง เอาผลตรวจของหมอมาประกาศติดหราในบ้านเพื่อให้ทราบกัน โชคดีในสมัยนั้นโรคเอดส์ ยังไม่มี ด้วยเพื่อนๆ ที่เป็นนักเทียวจึงไปตรวจเชื่อที่โรงพยาบาลบางรักเป็นประจำ และรักษาจนหาย
การที่ผมไม่เที่ยวโสเภณี ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ใดๆ มาก่อน จึงไม่จำเป็นต้องไปตรวจ แม้แต่ป่วยเล็กๆ น้อยก็ไม่กล้าไปหาหมอ เพราะกลัวโดนจับแล้วจะไม่มีสิทธิ์เรียนต่อจนจบ ปล่อยให้มันหายเอง ทุกครั้ง
ผมไหว้พระสวดมนตร์ก่อนนอนเป็นประจำ และอ่านหนังสือธรรมในหอสมุดบ่อย ในคืนหนึ่งผมหลับไปแล้วได้ฝันเห็นตัวเองนอนอยู่ ผิวขาวนวลอย่างมีออร่า แล้วใจหรือความรู้สึกได้เคลื่อนไปตามผิวที่ผ่องของตนเอง ไปตามแขน จนเลยขอศอกไปนิดหนึ่ง เห็นเป็นจุดที่เป็นรู้อยู่บนผิวหนัง จิตหรือใจนั้นเลือนเข้าไปดูในรู้นั้น โอ้ก็เห็นหนอนตัวเล็ก เต็มยั่วเยียเต็มไปหมดใต้ผิดหนังตลอดทั้งแขน แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้น
ก็นึกแปลกใจตนเองอยู่ แต่ก็ให้คิดไปในเชิงธรรมไปเสียว่า มนุษย์เรามองดูด้านนอกสะอาดดี แต่ภายในเต็มไปด้วยความสกปรก และกิเลส
ภายหลังอีก 8 ปีกว่าต่อมา เมื่อผมได้รับการรักษาซิฟิลิส โดยได้รับการฉีดยา 3 เข็ม จนตรวจเลือดซ้ำไม่เจอแล้ว ผมมีข้อกังขาในใจแล้วย้อนกลับไปพิจารณาว่า ผมติดเชื่อซิฟิลิส ตอนไหนตั้งแต่เมื้อใด ไปตามลำดับและเหตุการณ์ ดังนี้