[Review] ALIEN: Covenant | ไขปริศนาของเรื่อง [แบ่ง 2 พาร์ท: ไม่สปอยล์ & สปอยล์]


    หลังจากพรีวิวให้ถึง 6 ภาครวดในกระทู้ที่ผมเคยเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฟรนไชส์ ALIEN กับวงการภาพยนตร์ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะเคยติดตามมาบ้างแล้ว หรือหลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยเลย ดังนั้นในกระทู้นี้ถือว่าเป็นทั้งบทความรีวิวความรู้สึกหลังจากที่ได้ชมภาคล่าสุดอย่าง ALIEN: Covenant พร้อมทั้งคำแนะนำก่อนชมภาพยนตร์ภาคนี้ไปด้วยในตัวครับ

สำหรับใครที่อยากรู้ว่าเฟรนไชส์ ALIEN มีที่มาที่ไปยังไง สามารถติดตามได้จากกระทู้ที่แล้วนะครับ ตามลิ้งค์นี้เลย >>> https://ppantip.com/topic/36407088

ส่วนกระทู้นี้จะแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะครับ พาร์ทหนึ่งคือสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ชม แต่อยากจะสำรวจความเห็นก่อนว่าดีหรือไม่อย่างไร ส่วนอีกพาร์ทเอาไว้สำหรับผู้ที่รับชมมาแล้วมาพูดคุยกัน ผมจะตีกรอบไว้ให้ แนะนำว่าผู้ที่ชมมาแล้วอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นควรตีกรอบสปอยล์เอาไว้ในคอมเม้นท์ด้วยนะครับ

Part 1 – ไม่สปอยล์
ALIEN: Covenant คือเหตุการณ์ 10 ปีให้หลังจากเหตุการณ์ในภาพยนตร์ PROMETHEUS (เข้าฉายปี 2012) เพราะฉะนั้น หากจะชม ALIEN: Covenant ให้รู้เรื่อง ควรหา PROMETHEUS มาดูก่อน เพราะในภาคนี้ 1 ในตัวละครหลักจาก PROMETHEUS จะกลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ความยิ้มระดับจักรวาลได้อุบัติขึ้นกันเลยทีเดียวครับ ส่วนภาพยนตร์ ALIEN (1979) คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจาก ALIEN: Covenant ครับ เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยว่าจะไม่ต้องเหนื่อยมาตามเก็บเฟรนไชส์หลายๆ ภาคก่อนชม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่ใช่ว่านอกจาก PROMETHEUS แล้วจะไม่ต้องตามอะไรอีก เพราะก่อนหน้านี้ทางค่าย 20th Century Fox ได้ปล่อยคลิปไวรัลมาทีละชิ้นทีละส่วนให้แฟนๆ ได้ตามเก็บกันเล่นๆ ก่อนภาพยนตร์ตัวจริงจะเข้าฉาย โดยคลิปไวรัลที่ว่าจะประกอบด้วยภาพยนตร์ขนาดสั้นเวลา 4 นาทีกว่าๆ ที่จะเล่าถึงเบาะแสด้านความสัมพันธ์ระหว่างลูกเรือแต่ละคนในยาน Covenant ผมแนะนำว่าให้ชมคลิปนั้นก่อนเช่นกัน ไม่ฉะนั้นเราอาจจะไม่อินกับความสัมพันธ์ของตัวละครในแบบที่ผู้กำกับตั้งใจจะสื่อ และนอกจากนี้ยังมีคลิปเปิดตัวแอนดรอยด์ ‘วอลเธอร์’ ที่ได้อธิบายฟังก์ชั่นของแอนดรอยด์รุ่นนี้ด้วยว่ามีบางอย่างที่ถูกพัฒนาต่อมาจากแอนดรอยด์ ‘เดวิด’ ใน PROMETHEUS ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อเสียจุดหนึ่งที่ ALIEN: Covenant ทำได้ไม่แข็งแรงพออย่างภาพยนตร์ CLOVERFIELD หรือ 10 CLOVERFIELD LANE ที่ 2 เรื่องนี้เองก็มีการปล่อยไวรัลเชิญชวนมาสืบเบาะแสที่สาวถึงเรื่องราวในภาพยนตร์ได้ แต่ในกรณีของ 2 เรื่องนี้นั้น ผู้ชมไม่จำเป็นต้องสืบไวรัลก็สามารถสนุกกับตรงนั้นได้ ในขณะที่ ALIEN: Covenant นั้นไม่มีน้ำหนักพอ เพราะฉะนั้นผมจึงนำคลิปไวรัลดังกล่าวจาก ALIEN: Covenant มาให้ได้ชมกันในกระทู้นี้เลยครับ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ชม และผู้ที่กำลังจะไปชม ALIEN: Covenant เองก็สามารถทบทวนเนื้อหาอีกทีก็ได้

ตัวอย่างภาพยนตร์
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Viral: Meet Walter
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

Viral: The Last Supper
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
    จากตัวอย่างภาพยนตร์ที่ผมได้แปะลิ้งค์ไว้ให้ หลายๆ คนคงคาดหวังว่าเรื่องนี้คงจะโหดเลือดสาดกันพอสมควร ผมบอกได้เลยว่า สบายใจได้เลยครับ ผมกล้ายืนยันได้ว่าในเฟรนไชส์ ALIEN ทั้ง 6 ภาครวมถึงภาคนี้ด้วย ภาคนี้โหดที่สุด ทั้งฉากที่ Xenomorph และ Neomorph ออกล่าสังหารคนรวมไปถึงความน่าขยะแขยงของพวกมัน และภาษาที่ใช้ในเรื่อง เรียกได้ว่า ใช้เรท R(18+) ได้คุ้มจนดีดให้ PROMETHEUS ตกไปสู่เรท PG-13 (น13+) ไปเลย



    ส่วนจุดขายของเรื่องที่หลายๆ คนรอที่จะเห็น ‘พวกมัน’ ออกมาทำการละเลงเลือดให้ท่วมจอ นั่นคือ Xenomorph และ Neomorph จัดได้ว่า ได้เห็นกันจนคุ้มแน่ครับ เพราะการดำเนินเรื่องนั้นเร็วพอสมควร อาจจะขอพื้นที่เอาไว้ปูพื้นให้ผู้ชมได้ทำความเข้าใจกับตัวละครกันประมาณหนึ่ง ซึ่งมันก็จะมีตัวละครบางตัวที่ผมว่ามันถูกเขียนบทขึ้นมาอย่างไร้ความเมตตากรุณาจาก ริดลีย์ สก็อตต์ เพราะตัวละครบางตัวมันชัดเจนเหลือเกินว่า “น่ารำคาญขนาดนี้ไม่น่าจะตายดี” ในขณะที่ตัวละครบางตัวก็ถูกขีดเขียนขึ้นมาให้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งเปี่ยมด้วยไหวพริบที่พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ราวกับเป็นทหารจาก ALIENS (1986) ที่ถูกนำวางเป็นรากฐานความแข็งแกร่งของตัวละครในภาคนี้ เพราะฉะนั้น บท ‘แดเนียลส์’ (รับบทโดย แคทเธอรีน วอเตอร์สตัน) ถ้าจะบอกว่าเหมือนตัวละคร ‘เอเลน ริปลีย์’ ในภาคใดภาคหนึ่ง คงจะไม่พ้นภาคสองแน่ๆ ครับ และสำหรับตัวละครที่สำคัญที่สุดอย่าง ‘เดวิด’ และ ‘วอลเธอร์’ แอนดรอยด์สองตัวสองรุ่นที่รับบทโดย 1 นักแสดงคือ ‘ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์’ กลับเป็นบทที่ดูละเอียดอ่อนยิ่งกว่าตัวละครมนุษย์เสียอีก เพราะโจทย์ของฟาสเบนเดอร์ไม่ได้เพียงแค่รับบทเป็น ‘หุ่นยนต์’ ธรรมดา แต่เป็น ‘มนุษย์เทียม’ ที่มีความคิดสุดซับซ้อน แต่ไม่แสดงออก จนทั้งผู้ชมและตัวละครในเรื่องเองก็เดาความคิดอะไรไม่ได้เลย ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ ขับเคลื่อนการแสดงเป็น เดวิด & วอลเธอร์ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมาก



    นอกจากนี้ในส่วนที่ผู้ชมจะรับรู้มันได้มากที่สุด นั่นก็คือส่วนของภาพ โดยเฉพาะด้าน CG หรือ Visual Effect ที่แทบไม่ต้องบรรยายเลยว่ามันให้ความรู้สึกตระการตาขนาดไหน โดยมีส่วนสำคัญเป็นแกนหลักของการเนรมิต Visual Effect ต่างๆ นั่นคือ ‘การออกแบบองค์ประกอบศิลป์’ หรือ Concept Design ซึ่งผมค่อนข้างประทับใจเป็นการส่วนตัวที่ได้เห็นการวางคอนเซปต์แบบแบ่งแยกชัดเจนระหว่าง 2 ขั้วเทคโนโลยีแห่งจักรวาล โดยฝ่ายมนุษย์จะมีสถานที่อาศัยเป็นหลักในเรื่องนี้คือ ‘Covenant’ อันเป็นชื่อของยานที่นำพาคณะผู้ก่อตั้งอาณานิคมไปยังดวงดาวต่างๆ ที่ภายในยานดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลการออกแบบมาจากภาพยนตร์ 2001: ASpace Odyssey ของผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริค มาพอสมควร ในขณะที่ฝ่าย Engineer และ Xenomorph ก็ยังไม่ทิ้งรากเหง้าที่แท้จริงจาก ‘Necronom IV’ งานชุดจิตรกรรมที่สร้างสรรค์ภายใต้คอนเซปต์ ‘ชีวจักรกล’ ของจิตรกร ‘H.R. Giger’ แต่ทั้งหมดทั้งมวลของงานด้าน Visual Effect นี้ผมกลับติดในเรื่องของตัว Xenomorph ที่ภาคนี้ไม่มีการใช้หุ่น Suitmation (คนสวมชุดหนัง) หรือ Animatronic (หุ่นยนต์รีโมทบังคับ) แต่เป็นการสร้าง Model CGI ขึ้นมาล้วนๆ ภาพบางส่วนจึงดูเหมือนมาจากเกมส์ที่คุณภาพของภาพดี มากกว่าจะอยู่ในภาพของตัวภาพยนตร์ ความละเอียดดังกล่าวนี้มันเห็นได้ชัดเจนจากการรับชมผ่านระแบบ IMAX ซึ่งความละเอียดของภาพมันชัดเจนมาก แต่งานภาพอาจจะดีกว่านี้ถ้าเป็นระบบ 3D ทั่วไป หรือ IMAX 3D เพราะฉากที่ Xenomorph ,Neomorph หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของมุมกล้องบางช่วงมันเอื้อต่อความสนุกทางสายตาแบบ 3D มากๆ



    โดยรวมแล้วนี่คือบทความรีวิวชี้ให้เห็นถึงข้อดี/ข้อเสียในพาร์ทที่ไม่มีการสปอยล์แต่อย่างใดนะครับ ส่วนตัวผมเอง อาจเพราะเป็นสาวกเดนตายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยจัดอยู่ในเกณฑ์ชอบ-ชอบมากๆ และพาร์ทต่อไปคือพาร์ทที่ผมจะเขียนไว้เพื่อให้ผู้ที่รับชมมาแล้วได้ลองมาอ่านแล้วแลกเปลี่ยนพูดคุยกันนะครับ ซึ่งผมขอย้ำอีกทีนะครับว่าควรตีกรอบสปอยล์เอาไว้ในคอมเม้นท์ด้วยนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่