[CR] ไปดูทะเลหมอก เบตง-ฆุนุงซิลิปัต ป่ะละ

เบตงมันมีอะไรดีนะ ส่วนตัวเราไปมาทั้งหมดน่าจะเกิน 5 ครั้งได้ แต่ไปกี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่ผิดหวัง ครั้งแรกเราเดินทางข้ามวันข้ามคืนด้วยรถไฟไทย...ฟินไปอีกแบบ  แต่ครั้งนี้เราตั้งใจ ไปดูทะเลหมอกโดยเฉพาะ...หมอกเดือนเมษาเนี่ยนะ!!!!!!!!!!!!! เพื่อนๆ ถาม อืมๆๆๆๆ เราได้แต่พยักหน้า ก็เออสิวะ..กูจะเที่ยว ...กูเที่ยวไปเรื่อย
เราเริ่มเดินทางวันแรก
คืน 12 เมษายน 2560 ออกเดินทางประมาณหกโมงเย็นนะคะ รอบนี้สบายหน่อยไปรถตู้แฮะ รวมๆเหมาๆ กันไป แต่ทำใจอย่างค่ะ เบตงมันไกล หากนั่งรถก็ทำใจได้เลยว่า ไม่ต่ำกว่า 15 ชั่วโมงแน่นอน เราไปถึงอีกทีเช้าวันรุ่งขึ้นค่ะ รุ่งขึ้นค่อนไปทางบ่ายเกือบเย็นแล้วค่ะ จากตัวเมืองยะลาไปอำเภอเบตงประมาณ 120 กิโลเมตรค่ะ แต่เป็น 120 กิโลเมตรคดเคี้ยวมาก หากไปเบตงก็สามารถเข้าไปหลายทางนะคะไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งมาเลเซีย หาดใหญ่ หรือทางฝั่งยะลาเอง รถมาถึงเบตงประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ ลงจากรถไม่ถึง 5 นาที ฝนก็ตกกระหน่ำต้อนรับพวกเราซะแล้ว ชุ่มฉ่ำดีจัง
จริงๆแล้ว พวกเราต้องเดินขึ้นไปกางเต็นท์บนเขาฆุนุงซิลิปัต แต่ฝนตกหนักมากค่ะ คืนนี้เลยต้องนอนด้านล่าง ส่วนลานกางเต็นท์ด้านบนที่มีอยู่น้อยนิด ก็ดูตามภาพเลยค่ะเมื่อคืนไม่ได้นอนด้านบนก็จริงค่ะ แต่เราต้องรีบตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อขึ้นรถจิ๊ปของชาวบ้านให้ไปส่งที่ทางขึ้น
โอเครเบตงค่าาาาาาาาาาาาาา
ทางเดินไปชมทะเลหมอกก็ไม่ไกลมากค่ะ เดินประมาณ 2 กิโลเมตร ผ่านสวนยางของคนในหมู่บ้านไปไม่ไกล เดินเรื่อยๆชิลๆ ค่ะเดินไปเรื่อยๆ ตลอดทางสัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำของสายฝนเมื่อคืนที่ผ่านมา  ป่าไม้  สายหมอก ม่านเมฆ มด แมลง ยังสมบูรณ์อยู่มากค่ะ
เห็ดป่าผุดขึ้นมาตลอดทางเลยค่ะ...เข้าใจละ ไอ้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดมันเป็นยังไง...วู้ๆๆๆๆๆๆ
ใกล้ความจริงแล้วค่ะ อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว...ได้กลิ่นหญ้าชื้นๆ และมองเห็นไอหมอกมาแต่ไกลเชียว
พระอาทิตย์จะขึ้นแล้ว ถึงเวลานั่งรอ...
เราขึ้นมารอบนี้ ถือว่าโชคดีมากค่ะ ที่เมื่อคืนฝนตกและลมไม่แรง
โชคดียังไงหรือคะ...อย่าให้บรรยายเลยค่ะ ไปดูภาพกันเลยจ้า
หันไปทางไหนก็หมอก....โอ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ทะเลหมอก
ฟินไหมถามใจเธอดู..............
กาแฟยามเช้า อาหารมื้อแรกบนเขา...อรุณสวัสดิ์เบตง
ทานกาแฟเสร็จก็บินสิคะ...อยากจะบินได้จริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ถึงเวลาจะต้องลงเขาแล้วเหรอเนี่ย...ยังไม่อยากลงเลย
ขออำลาพี่หมอกแป๊บนึงนะ
ใกล้จะ 11 โมงแล้ว หมอกยังไม่จางเลยจ้า...
ลงแล้วคร้าบบบบบบบบลงจากเขา เรายังไม่หมดพลังนะคะ ไปล่องแก่งต่อจ้าาาาาาาาา
น้ำในแก่งเยอะเหมือนกันค่ะ คงเพราะเมื่อคืนฝนตกและปริมาณน้ำมากพอสมควร มองจากบนฝั่งน้ำดูขุ่นเชียว แต่พอลงเรือจริงๆ มันก็ใสนี่เนอะ..เตรียมตัวลงเรือกันค่ะ..ก่อนลงเรือ แวะทานอาหารเติมพลังกันก่อนก็ดีค่ะ ส่วนตัวเราซื้อขนมจากร้านค้าชุมชน หน้าตาคล้ายแพนเค้กบวกถังแตกมาทานรองท้องก่อน 1 ชิ้นค่ะ จริงชื่อขนนเราถามชาวบ้านแล้ว..แต่เราจำไม่ได้เอง แฮ่ๆๆๆๆ
เตรียมตัวลงเรือกันจ้า..อย่าลืมชูชีพและหมวกกันน๊อคนะคะ ที่นี่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดค่ะ เบ็ดเสร็จค่าล่องแก่ง ประมาณ 250-300 บาท มีทั้งหมด 2 เจ้าค่ะที่รู้มา
ภาพล่องแก่งอาจมีไม่มากนักนะคะ เพราะกระแสน้ำแรง ต่างคนต่างประคองตัวจากกระแสน้ำจ้าาาาา
ใช้เวลาล่องแก่งประมาณ 1 ชั่วโมงค่ะ...
จบจากล่องแก่ง พรรคพวกยังไม่หมดแรงกันจ้าาา แวะทานข้าวเสร็จ กลับเข้าเบตงไปถ่ายรูปกันต่อทันที......โชคดีอีกแล้ว ในตัวอำเภอเบตง เพิ่งเขียนภาพเสร็จประมาณ 2 เดือนที่แล้ว เป็นภาพเขียนรอบๆเมืองแนว street ART กว่า 10 จุด ไม่ต้องไปดูไกลถึงปีนังแล้วค่ะ ที่เบตงก็มี หุหุ
ข้างๆคลอง จะมีบ้านของชาวบ้านรายล้อมอยู่รอบๆ เงีบยสงบดีค่ะ บรรยากาศแบบมีความฟิน มีความอยากถ่ายรูป
ไปเที่ยวกันมั้ยน้องสาว ^___^
แวะทานข้าวกันก่อนนะ
น้องหมาก็มา
รายงานที่บ้านแป๊บ..แอบมาไกล
มีหลายมุมเลยค่ะ..เพื่อนๆ ต้องเดินตามหาดูนะคะ รับรองไม่มีเบื่อแน่นอน
อีกหนึ่งสถานที่ในตัวเบตงที่พลาดไม่ได้คืออุโมงค์นะคะ ลองเดินเล่น ถ่ายภาพไปชมวิวไปค่ะ ชิลดี
ภาพเยอะค่ะ ลงยังไงก็ไม่หมด เอาไว้มีโอกาสอีกเมื่อไหร่ จะมาเล่าให้เพื่อนๆฟังอีกเน้อ
รายละเอียดโดยสังเขป
12 เมษายน 2560 เราออกเดินทางจาก กทม.ประมาณ 2 ทุ่ม ถึงเบตงวันที่ 13 เมษายน 2560 ประมาณ 4 โมงเย็นค่ะ
เช้า 14 เมษายน 2560 ประมาณตี 4 ต้องเดินทางด้วยรถจิ๊ปเพื่อไปยังเชิงเขาค่ะ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 2 กิโลเมตร หลังจากชมทะเลหมอกแล้ว เรากลับลงมาล่องแก่งอีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ สถานที่ล่องแก่งและชมทะเลหมอกฆุนุงซิลิปัตห่างจากตัวเมืองเบตงประมาณ 15 กิโลเมตรค่ะ จริงๆแล้วมีร้านเช่ามอเตอร์ไซด์ในตัวเบตงนะคะ อัตราค่าเช่าประมาณวันละ 300 บาท แต่อาจจะเช่ายากนิดนึงด้วยหลายปัจจัย
เย็น 14 เมษายน 2560 เรากลับเข้าที่พัก หลังจากตระเวนทานอาหารและถ่ายรูปจนทั่วเมืองเบตงเลย..จะบอกว่าอาหารที่นี่อร่อยทุกร้านเลยค่ะ แนะนำไม่ถูก
ที่เราทานคือจานนี้ค่ะ บะหมี่เบตง
โรตีก็อร่อยค่ะ ไม่ใช่แค่โรตีนะคะที่อร่อย เราตระเวนชิมหลายร้านเหมือนกันโดยรวมแล้วมีสเน่ห์..อุ้ยๆๆๆ อร่อยมากกกก
อีกที่นึงอย่าลืมเก็บภาพเน้อ ใจกลางเมืองเบตง..หอนาฬิกาและตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ที่เราชอบส่วนตัวก็คงจะเป็นทะเบียนรถเนี่ยล่ะค่ะ ป้ายทะเบียนที่เป็นป้ายอำเภอแห่งเดียวในไทย..
เดินถ่ายรูปซะเมื่อยละ ต้องกลับที่พักแล้วค่ะ พรุ่งนี้เดินทางกลับ กทม.แต่เช้า
ภาพถ่ายจากที่พักยามค่ำคืน เบตงคึกคักดีเหมือนกันนะเนี่ย
ตื่นเช้ามา เจอพระท่านออกบิณฑบาตพอดีค่ะ..สุดๆกับบรรยากาศ
สายแล้ว ต้องกลับแล้ว..ฉันต้องลาเธอแล้วนะเบตงจ๋า...ขึ้นรถมาแบบอิดออด งือๆๆ ฉันจะกลับมาอีก ฉันคิดถึงเขา คิดถึงทะเลหมอก คิดถึงผู้คนในเบตง..ไว้เราจะกลับมาใหม่นะคะ..
ค่าใช้จ่ายตลอดทริป 3 วัน 2 คืน รวมค่าห้อง 1 คืน 700 บาท ค่าทริปขึ้นเขาฆุนุงซิลิปัต 700 บาท ค่าล่องแก่ง 300 บาท ค่ารถ ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่มทั้งหนักและเบา ตลอดทริปโดยรวมแล้วประมาณ 5,000 บาท ตอนไปเที่ยวกินอย่างราคา กลับมา แ____ก มาม่าตามสภาพค่ะ แล้วเราจะกลับไปอีก
ฉันหลงรักเธอจริงๆ เบตง เบตง เบตง เบตง
ปล...ข้อมูลเกี่ยวกับเขาฆุนุงซิลิปัต ชื่อนี้ได้มาอย่างไร จากการสอบถามน้องๆในชุมชน ได้ความว่า ฆุนุง แปลว่า เขาหินค่ะ ชาวบ้านสมัยก่อนเรียก เขาหิน และ ฆุนุงซาลี ส่วนคำว่า ซาลี เป็นชื่อเจ้าของเดิมค่ะ ส่วนฆุนุงซิลิปัตนั้น เป็นชื่อที่ได้เรียกภายหลังจากที่ชาวมาเลเซียคนนึงได้นำโดรนบินขึ้นสำรวจรอบๆเขาค่ะ และได้ปักหมุดไว้ใน Google Map และได้ตั้งชื่อตามชื่อจริงชายคนนั้นคือ ซิลิปัต จึงกลายเป็น ฆุนุงซิลิปัตไปโดยปริยาย...
ชื่อสินค้า:   เบตง ใต้สุดแดนสยาม
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่