ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม...มีแต่เสียง 10/5/2017 (นางวิสาขา)

กระทู้คำถาม


ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ

1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

กระทู้ห้องเพลงเป็นกระทู้เปิด มิได้ปิดกั้นผู้หนึ่งผู้ใด "ขอให้มาดี เราคือเพื่อนกัน" ซึ่งก็เหมือนกับกระทู้ทั่วไป ที่เราไม่จำเป็นต้องทราบว่า User ท่านไหนเป็นใครมาจากไหน  ...ดังนั้น หากมีบุคคลใดที่มีการโพสสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมอันดีของสังคมนั้น หรือสิ่งรบกวนใดๆ ในบอร์ด เป็นเรื่องส่วนบุคคล ทางห้องเพลงจึงขอแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น





สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องเพลงและเพื่อนสมาชิกทุกท่าน


วันนี้เป็นวันพระใหญ่ "วันวิสาขบูชา" ซึ่งได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล มีการจัดกิจกรรมต่างๆ พร้อมกันทั่วโลก

วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (ถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส ก็เลื่อนออกไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗) ในวันนี้ได้มีเหตุการณ์ที่สำคัญเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๓ ประการ คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพาน ของพระพุทธเจ้า




หลายๆ คนรู้จักวันวิสาขบูชาดีแล้ว วันนี้จะมาเสนอเรื่องของ "นางวิสาขา" ค่ะ ว่านางมีความสำคัญอย่างไรกับพระพุทธศาสนา


นางวิสาขา

นางวิสาขาเกิดในตระกูลเศรษฐี เป็นบุตรของธนญชัยเศรษฐีกับนางสุมนาเทวี  



นางเป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า เช่น เป็นผู้ริเริ่มการถวายผ้าอาบน้ำฝน เป็นผู้ถวายบุพพาราม โลหะปราสาทหลังแรกแก่พระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์ยกย่องนางวิสาขาว่าเป็นเลิศในฝ่ายทายิกา (หญิงที่ถวายจตุปัจจัยแก่ภิกษุสามเณร) กว่าอุบาสิกาทั้งหลาย



คุณสมบัติพิเศษประจำตัวนางวิสาขา



- บรรลุโสดาบันเมื่ออายุ ๗ ขวบ

- เป็นเบญจกัลยาณี ประกอบด้วย

๑. ผมงาม คือ หญิงที่มีผมยาวถึงสะเอวแล้วปลายผมงอนขั้น
๒. เนื้องาม คือ หญิงที่มีริมฝีปากแดงดุจผลตำลึงสุกและเรียบชิดสนิทกันดี
๓. กระดูกงาม คือ หญิงที่มีฟันสีขาวประดุจสังข์ และเรียบเสมอกัน
๔. ผิวงาม คือ หญิงที่มีผิวงามละเอียด ถ้าดำก็ดำดังดอกบัวเขียว ถ้าขาวก็ขาวดังดอกกรรณิกา
๕. วัยงาม คือ หญิงที่แม้จะคลอดบุตรถึง ๑๐ ครั้ง ก็ยังคงสภาพร่างกายสาวสวยดุจคลอดครั้งเดียว


- มีอายุยืน และมีวัยงาม

แม้ว่านางจะมีอายุมาก มีลูกชาย-ลูกหญิง ถึง ๒๐ คน มีหลานนับได้ ๔๐๐ คน มีเหลนนับได้ ๘,๐๐๐ คน

ดังนั้น แม้นางมีอายุถึง ๑๒๐ ปี แต่ขณะเมื่อนางนั่งอยู่ในกลุ่มของลูก หลาน เหลน นางจะมีลักษณะวัยใกล้เคียงกับคนเหล่านัน คนพวกอื่นไม่สามารถทราบได้ว่า นางวิสาขาคือคนไหน แต่สังเกตได้เมื่อเวลาจะลุกขึ้นยืน ธรรมดาคนหนุ่มสาวจะลุกขึ้นได้ในทันที แต่สำหรับคนแก่จะต้องใช้มือยันพื้นช่วยพยุงกาย และจะยกก้นขึ้นก่อน นั้นแหละจึงจะทราบว่า นางวิสาขาคือคนไหน


- นางมีกำลังมาเท่ากับช้าง ๕ เชือกรวมกัน (นางจึงประดับมหาลดาปสาธน์ ที่มีน้ำหนักมากๆ ได้)



มหาลดาปสาธน์ของนางวิสาขา

ภาพที่จินตนาการกันว่า เป็นเครื่องประดับ มหาลดาปสาธน์


ธนญชัยเศรษฐี ผู้เป็นบิดานางวิสาขา ได้สั่งให้ช่างทองทำเครื่องประดับ ชื่อ มหาลดาปสาธน์ เพื่อมอบให้แก่ลูกสาวในการแต่งงาน ซึ่งเป็นเครื่องประดับชนิดพิเศษ เป็นชุดยาวติดต่อกันตั้งแต่ ศีรษะจรดปลายเท้า ประดับด้วยเงินทองและรัตนอันมีค่าถึง 9 โกฏิกหาปณะ ค่าแรงฝีมือช่างอีก 1 แสน เป็นเครื่องประดับที่หญิงอื่นๆ ไม่สามารถจะประดับได้เพราะมีน้ำหนักมาก



นางวิสาขาสร้างวัด

โดยปกตินางวิสาขาจะไปวัดวันละ ๒ ครั้ง คือ เช้า-เย็น และเมื่อไปก็จะไม่ไปมือเปล่า ถ้าไปเวลาเช้าก็จะมีของเคี้ยวของฉันเป็นอาหารไปถวายพระ ถ้าไปเวลาเย็นก็จะถือน้ำปานะไปถวาย และก่อนที่นางจะออกจากวัดกลับบ้าน นางจะเดินเยี่ยมเยือนถามไถ่ความสุข ความทุกข์ และความประสงค์ของพระภิกษุสามเณร และเยี่ยมภิกษุที่ป่วยไข้จนทั่วถึงทุกๆ องค์ก่อนแล้วจึงกลับบ้าน

เมื่อนางไปฟังธรรมและเยี่ยมเยือนพระภิกษุสามเณรที่วัด นางจะถอดเครื่องประดับมหาลดาปสาธน์มอบให้หญิงสาวผู้ติดตามถือไว้ วันหนึ่งหญิงรับใช้ลืมไว้ที่ศาลาฟังธรรม นางจึงให้กลับไปนำมา แต่สั่งว่าถ้าพระอานนท์เก็บรักษาไว้ก็ไม่ต้องเอาคืนมาให้มอบถวายท่านไปเลย เพราะนางคิดว่าจะไม่ประดับเครื่องประดับที่พระคุณเจ้าถูกต้องสัมผัสแล้ว ซึ่งพระอานนท์ท่านก็มักจะเก็บรักษาของที่อุบาสกอุบาสิกาลืมไว้เสมอ

และก็เป็นไปตามที่นางคิดไว้จริง ๆ แต่นางก็กลับคิดได้อีกว่า “เครื่องประดับนี้มีประโยชน์แก่พระเถระ” ดังนั้นนางจึงขอรับคืนมาแล้วนำออกขายในราคา ๙ โกฏิ กับ ๑ แสนกหาปณะ ตามราคาทุนที่ทำไว้

แต่ก็ไม่มีผู้ใดมีทรัพย์พอที่จะซื้อไว้ได้ นางจึงซื้อเอาไว้เอง ด้วยการนำทรัพย์เท่าจำนวนนั้นมาซื้อที่ดินและวัสดุก่อสร้าง ดำเนินการสร้างวัดถวายเป็นพระอารามประทับของพระบรมศาสดา และเป็นที่อยู่อาศัยจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์สามเณร

พระบรมศาสดารับสั่งให้พระมหาโมคคัลลานะ เป็นผู้อำนวยการดูแลการก่อสร้าง ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาท ๒ ชั้น มีห้องสำหรับพระภิกษุพักอาศัยชั้นละ ๕๐๐ ห้อง โดยใช้เวลาในการก่อสร้างถึง ๙ เดือน และเมื่อสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ได้นามว่า “พระวิหารบุพพาราม



มหาอุบาสิกา ผู้ริเริ่มการถวายผ้าอาบน้ำฝน



วันหนึ่ง สาวใช้สาวใช้นางได้เห็นพระสงฆ์ทั้งหลายเปลือยกายอาบน้ำฝน ก็ตกใจจึงรีบไปแจ้งแก่นางวิสาขาว่า
“ ข้าแต่แม่เจ้า วันนี้ที่วัดไม่มีพระอยู่เลย เห็นมีแต่ชีเปลือยแก้ผ้าอาบน้ำ กันอยู่ ”

นางวิสาขา เป็นผู้มีปัญญาศรัทธาเลื่อมใสกับพระภิกษุสงฆ์ จึงทราบเหตุการณ์โดยตลอดว่า พระบรมศาสดาทรงอนุญาตให้พระภิกษุมีผ้าสำหรับใช้สอยเพียง ๓ ผืน คือ ผ้าจีวรสำหรับห่ม ผ้าสังฆาฏิสำหรับห่มซ้อน และผ้าสบงสำหรับนุ่ง ดังนั้น เมื่อเวลาพระภิกษุจะอาบน้ำจึงไม่มีผ้าสำหรับผลัดอาบน้ำ ก็จำเป็นต้องเปลือยกายอาบน้ำ

อาศัยเหตุนี้ เมื่อพระบรมศาสดาเสด็จมาประทับที่บ้านและเสร็จภัตกิจแล้วนางวิสาขาจึงได้เข้าไปกราบทูลขอพร เพื่อถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธองค์ประทานอนุญาตตามที่ขอนั้น นางวิสาขาก็เป็นบุคคลแรกที่ได้ถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุสงฆ์


ขอบคุณที่มา
http://oknation.nationtv.tv/blog/buddhistethics/2013/01/12/entry-1
http://gasatum.blogspot.com/2012/08/blog-post_17.html
http://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/56250/-morart-mor-dhart-
https://board.postjung.com/680748.html
http://www.mongkoltham.com/article/15/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%B2-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9C%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9D%E0%B8%99


....................................................................


นางวิสาขาเป็นตัวอย่างของผู้ที่ค้ำจุนพระศาสนาด้วยการ คิดดี พูดดี ทำดี ทุกที่ที่มีโอกาส

ขออนุโมทนาสาธุกับเพื่อนๆ ที่ได้ปฏิบัติธรรมในวันนี้ค่ะ


เพลงวันวิสาขบูชา     

https://www.youtube.com/watch?v=EhV_vpRcyCM
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ



แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา หรือ "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" หมายถึง "การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6" (บางแห่งเรียก วันพระพุทธเจ้า หรือ พุทธชยันตี)

เหตุการณ์สำคัญของวันวิสาขบูชา
1.เป็นวันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ณ พระราชอุทยานลุมพินีวัน อยู่ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี
2.เป็นวันที่เจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (พุทธคยา)
3.เป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ

หลักธรรมสำหรับวันวิสาขบูชา

1. ความกตัญญู-กตเวที (ประสูติ)
ความกตัญญู การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้มีพระคุณทำไว้ให้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนความกตัญญูกตเวที ด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

2. อริยสัจ 4 (ตรัสรู้)
ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา
๑. ทุกข์ ความทุกข์ สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก สภาวะที่บีบคั้น ขัดแย้ง บกพร่อง ขาดแก่นสาร และความเที่ยงแท้  ไม่ให้ความพึงพอใจ แท้จริงได้แก่ ชาติ ชรา มรณะ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความปรารถนาไม่สมหวัง การยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕
๒. สมุทัย เหตุเกิดแห่งทุกข์ สาเหตุให้เกิดทุกข์ ได้แก่ ตัณหา ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
๓. นิโรธ ความดับทุกข์ ภาวะที่ตัณหาดับสิ้นไป ภาวะที่เข้าถึงเมื่อกำจัดอวิชชา คือ นิพพาน
๔. อริยมรรค ทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความดับทุกข์ สรุปคือ มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง)

3. ความไม่ประมาท (ปรินิพพาน)
หมายถึง สติ ความระลึกได้ ความนึกขึ้นได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึ้นได้ การคุมจิตไว้ในกิจ หมายถึง อาการที่จิตนึกถึงสิ่งที่จะทำจะพูดได้ นึกถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดไว้แล้วได้ เป็นอาการที่จิตไม่หลงลืม ระงับยับยั้งใจได้ ไม่ให้เลินเล่อพลั้งเผลอ ป้องกันความเสียหายเบื้องต้นยับยั้งชั่งใจไม่บุ่มบ่าม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความไม่ประมาท ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ
ความคิดเห็นที่ 11
ว่าด้วยชื่อ "ฤกษ์"

"วิสาขะ" เป็นชื่อ ของฤกษ์ๆ หนึ่ง ในบรรดาฤกษ์ทั้งหมด 27 แต่ละฤกษ์มีคำพยากรณ์ไว้ดังนี้

1. ผู้เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อัศวินี (9 เป็นเจ้าฤกษ์) พ่อแม่จะให้ทรัพย์ไว้เท่าใดบ่มิอาจรักษาทรัพย์ไว้ได้

2. ผู้เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ภรณี (6 เป็นเจ้าฤกษ์) แม้จะเกิดในตระกูลยากจนเข็ญใจ ก็จะได้ซึ่งสุขสมบัติอันเป็นมงคลยิ่งนัก

3. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์กัตติกา (1 เป็นเจ้าฤกษ์) มักจะเป็นโจร

4. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวโรหิณีฤกษ์ (2 เป็นเจ้าฤกษ์) ถ้าชายจะได้เป็นมนตรี ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นนางพญา

5. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์มิคสิระฤกษ์ (3 เป็นเจ้าฤกษ์) ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะทุกข์ ๆ สุข ๆ มีเวรมีภัย ศัตรูจะทำโทษ ไปต่างประเทศจึงจะเป็นเจ้าแห่งสมบัติ

6. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อารทรา (8 เป็นเจ้าฤกษ์) ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะมีความสุข มีโชคลาภ ถ้าเป็นชายท่านจะยกลูกสาวให้ ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นแม่เรือนดี มีทรัพย์มาก

7. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ปุนัพสุ (5 เป็นเจ้าฤกษ์) จะมีน้ำใจกล้าดังเพชฌฆาตจะเป็นทหารท้าวพระยา

8. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวปุษยะฤกษ์ (7 เป็นเจ้าฤกษ์) จะเป็นคนกล้าหาญมีชัยชนะ ท้าวพระยาบูชา มีทรัพย์ มีโชค ลูกไพร่จะได้เป็นพระยา

9. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อสิเลสะ (4 เป็นเจ้าฤกษ์) ถ้าเป็นชีจะเป็นสังฆปรินายก ถ้าเป็นพฤหัสบดีจะเป็นเสมียน นักการ หมอโหรา มีทุกข์ด้วยเท้าพระยา จะ SHIP-หายเพราะโทษประทุษร้ายเสนาบดี

10.ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์มฆา (9 เป็นเจ้าฤกษ์) จะทุกข์บ้าง สุขบ้าง ทาวพระยาจะให้คุณ ญาติประเสริฐอุดม แต่ทว่าครองทรัพย์มิได้ แม้ขวนขวายมิอาจมีเสีย

11. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์บุรพผลคุนี (6 เป็นเจ้าฤกษ์) ผู้ที่เกิดในฤกษ์นี้จะดีมีสำเภานาวา ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้ ศัตรูจะบูชา มักมีโรคร้าย

12. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อุตรผลคุนี (1 เป็นเจ้าฤกษ์) มักจะเป็นโจรต้องขื่อคา

13. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์หัสตะ (2 เป็นเจ้าฤกษ์) แม้จะเกิดในตระกูลถ่อยก็จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่

14. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวจิตราฤกษ์ (3 เป็นเจ้าฤกษ์) จะได้เป็นอำมาตย์ เดินทางไกลจะได้ลาภ

15. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวสวาตีฤกษ์ (8 เป็นเจ้าฤกษ์) ถ้าเกิดเป็นชายท่านจะให้ลูกสาว ถ้าเป็นหญิงจะเป็นเจ้าของเงินทาง ศฤงคาร ข้าคน

16. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาววิสาขะฤกษ์ (5 เป็นเจ้าฤกษ์) จะเป็นทหารพระยา มิฉะนั้นจะเป็นนายเพชฌฆาต จะเป็นชาวประมง พรานขัดแร้ว ถ้าหญิงจะเป็นแพศยา

17. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อนุราธะ (7 เป็นเจ้าฤกษ์) มีทรัพย์สมบัติ ผู้หญิงจะบูชา ประพฤติในการช่างจะให้คุณ ลูกไพร่จะได้กินเมือง

18. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์เชษฐะ (4 เป็นเจ้าฤกษ์) จะต้องภัย มีศัตรู มีทุกข์ ถ้าพระเคราะห์นั้นเป็นมหาอุจ จะได้ดีมีทรัพย์

19. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์มูละ (9 เป็นเจ้าฤกษ์) จะเป็นคนไร้ทรัพย์ จะตายด้วยสัตว์ร้าย

20. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ปุรพษาฒ (6 เป็นเจ้าฤกษ์) มักจะทำมาค้าขายมีเงินทางมากได้ลาภได้สุข เพราะผู้หญิง

21. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อุตราษาฒ (1 เป็นเจ้าฤกษ์) มักจะเป็นโจร มีภัยด้วยอาวุธ มีโรคร้าย และโทษ 3 ประการ

22. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ศรวณะ (2 เป็นเจ้าฤกษ์) จะเป็นมนตรีใหญ่ จะได้โคกระบือช้างม้า ลูกเมียจะได้เป็นที่พึ่ง

23. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ธนิษฐะ (3 เป็นเจ้าฤกษ์) ไปต่างประเทศจะได้เป็นราชทูต ถ้าอยู่ใต้ให้ไปอยู่ทางเหนือ ถ้าอยู่ทางเหนือให้ไปอยู่ใต้จึงดี จะได้ลาภอันใหญ่

24. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์ศตภิษัช (8 เป็นเจ้าฤกษ์) ท่านจะให้ลูกสาว จะได้ดีเพราะผู้หญิง มีโคกระบือช้างม้า จะได้แผ่นดิน ประกอบด้วยโชคลาภอันเที่ยงแท้

25. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์บุรพภัทรบท (5 เป็นเจ้าฤกษ์) จะเป็นเพชฌฆาตเป็นพรานเนื้อพรานนก ชาวประมง ประกอบด้วยทรัพย์ ธัญญาหาร มีศักดิ์เป็นพระยา มีความสุขเป็นเที่ยงแท้

26. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์อุตตรภัทรบท (7 เป็นเจ้าฤกษ์) ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นนางพญา ลูกไพร่จะได้เป็นพระยา มีทรัพย์มาก

27. ผู้ที่เกิดในกลุ่มดาวฤกษ์เรวดี (4 เป็นเจ้าฤกษ์) ถ้าเป็นชีจะเป็นสังฆปรินายก รู้จบประไตรปิฏก หญิงจะได้เป็นแม่พระสงฆ์ มักเกิดทุกข์ยาก

ทั้งหมดนี้เป็นคำทำนายจากคัมภีร์จักรทีปนีเก่า

เครดิต : http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=2044
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่