ตำนานสมบัติอาถรรพ์ บนเทือกเขาบรรทัด พัทลุง-ตรัง

*หมายเหตุ  เรื่องเล่านี้  "ไม่ใช่ผลงานของเรา"
เป็นเรื่องเล่าของเพื่อนเรา  ที่เล่าลงในกลุ่มเฟสกลุ่ม  เรื่องสยองของคนเห็นผี  " ห้ามก๊อปไปทำเครดิตเป็นของตัวเองเด็ดขาด"
ผู้เขียนบอกว่า เป็นนิทานประจำบ้าน  ที่พ่อเล่าเรื่องของปู่ให้ฟังก่อนนอน ตนเองจึงนำมาเล่าต่อ ดังนั้นขอความกรุณาอ่านเพื่อความสนุก
เจ้าของเรื่อง  เขียนเพื่อให้ผู้อ่าน อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน  มากกว่าจะมาบอกใครว่า "คือเรื่องจริง"
ทั้งนี้กระทู้นี้  เราได้รับอนุญาตโดยตรงจากเจ้าของเรื่องให้เก็บมาลงไว้ค่ะ*



มันเป็นเรื่องเล่า ตั้งแต่สมัยเรายังไม่เกิด แล้วตอนนั้นก็เป็นสมัยที่ปู่ของเรา ยังมีเรี่ยวแรงเดินเหินได้สะดวกสบาย ร่างกายยังไม่โทรม มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเหตุการณ์ ผีนางมโนราห์หน้าขาวอาละวาด เราก็ฟังพ่อเล่ามาอีกที

หมู่บ้านที่เราอยู่ ตั้งอยู่กลางหุบเขา มีภูเขาแทบจะล้อมรอบทุกด้าน และด้านหนึ่งนั้น ติดกับเทือกเขาบรรทัดอันสูงใหญ่ ที่แบ่งภาคใต้ออกเป็น2ฝั่ง วิถีชีวิตในยุคนั้น ถ้าไม่ทำสวนยาง ก็เข้าป่าล่าสัตว์แลกข้าวกิน

สมัยนั้นป่าบรรทัดที่กั้นพัทลุง-ตรัง มีสัตว์ป่าชุกชุม ปู่ของเราเลยยังไม่ได้ลงหลักทำสวนยาง เข้าป่าหาของป่า พวกไม้กฤษณา น้ำผึ้งเดือน5 พวกนี้จะมีราคาดี แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เกิดเหตุการณ์มี ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เกิดขึ้น เป็น ผกค.ฝั่งพัทลุง พอถูกทางการกวาดล้างหนัก ก็พากันถอยร่นข้ามมาฝั่งตรัง จนเมื่อสิ้นสุดยุค ผกค. จำนวนมากเสียชีวิตและยอมแพ้

แต่ก็มีข่าวลือแพร่ในหมู่บ้านของเรา เพราะมี ผกค.คนหนึ่ง หนีมาขออาศัยในหมู่บ้าน เขานั้นได้รับบาดเจ็บมา ตอนนอนรักษาได้เพ้อพร่ำบอกเอาไว้ว่า ในป่าลึกของเทือกเขานั้น ห่างจากหมู่บ้านของเราไปประมาณ1วันเดินเท้า จะมีถ้ำลับของ ผกค. ที่ขุดขึ้น ใช้เป็นที่เก็บข้าวของ ทุนทรัพย์ พวกเงิน และทองเป็นลังๆ เขาได้เล่าเพื่อตอบแทนคนในหมู่บ้าน ที่ให้ที่พักแก่เขา เพราะเขาคิดว่าตัวเองคงจะไม่รอด อยากให้ชาวบ้านพากันไปค้นหาเอา

ปู่ของเราก็ได้อยู่ในตอนนั้นด้วย แต่ว่า ผกค.คนนั้นดันรอดตาย แล้วเดินทางออกจากหมู่บ้านไปมอบตัว ร่วมเป็นผู้พัฒนาชาติไทย พอเหตุการณ์ผ่านไป2ปี เขาคนนั้นได้กลับมาที่หมู่บ้านของเรา พาเพื่อนมาด้วยอีก2คน พร้อมมาชักชวนคนในหมู่บ้านได้คนไปอีก5-6คน ปู่เราก็ถูกมาชวน แต่ปู่ไม่เอาด้วย เพราะไม่ได้สนใจในทรัพย์สินพวกนั้น

พวกเค้าก็ไปกันเอง ปู่ว่า หายกันไปร่วม7วันก็ยังไม่กลับออกมา พวกลูกเมียญาติพี่น้องของคนในหมู่บ้านที่ร่วมเดินทางไปด้วยก็กังวลใจ ร้อนใจ ขอให้ผู้ใหญ่บ้านช่วย ผู้ใหญ่บ้านก็มาหาปู่ เพราะรู้ว่าปู่ เป็นคนมีวิชาเดินป่า เข้าป่าหาของป่าบ่อย พอปู่เห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อน ก็เลยรับปากออกร่วมเดินทางกับกลุ่มผู้ใหญ่บ้าน แกะรอยเข้าป่า ไปกัน6คนรวมปู่

ปู่นั้นเป็นคนที่สะกดรอยเก่ง ปู่ใช้เวลาร่วม3วัน ก็พากลุ่มคนที่ค้นหา ไปจนเจอถ้ำลับของ ผกค.ที่ว่าอย่างยากลำบาก เพราะทางเดินในป่ามันไม่ได้เดินสบายเหมือนเดินปิคนิกตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่ปู่ว่าพอเข้าไปทุกคนก็ต้องชะงักหมด เพราะในถ้ำ มีแต่กลิ่นคาวเลือดและเหม็นเน่าโชยออกมา ถ้ำนั้น เป็นถ้ำที่ถูกขุดเจาะเข้าไปในหินของภูเขา ปากถ้ำพอจะสว่าง แต่ด้านในมืด อับทึบ

ตรงด้านหน้าก็รกมาก เพราะมีการเอาพวกรากไม้ และเถาวัลย์ป่ามาอำพรางไว้ มีเก้าอี้และโต๊ะทำจากไม้ท่อนๆวางอยู่หน้าถ้ำ ในความเลือนลางๆของปากถ้ำ มีร่าง ร่างนึง การแต่งตัวเหมือนชาวบ้าน นอนคว่ำหน้า ที่ด้านหลังมีมีดปักอยู่ที่ก้านคอ ทุกคนก็กรูเข้าไปมุง ปู่เป็นคน จับศพคนแรก พบว่า เป็นศพลุงจิ้ง คนในหมู่บ้าน ที่ตาม อดีต ผกค.คนนั้นมา

สภาพศพลุงจิ้งนั้น ปู่ว่า เหมือนกำลังพยายามวิ่งหนีอะไรบางอย่างออกมาจากด้านใน ดูได้จากสภาพศพคือ คงถอดรองเท้าทิ้งไปเพื่อจะวิ่งได้เต็มที่ แต่ก็โดนมีดเล่มนั้น ปักที่ก้านคออย่างแรง จนทะลุลูกกระเดือกออกมา แล้วลุงจิ้งก็คงล้มลงขาดใจตายที่ตรงนั้น สภาพศพคือบวมอืดและเน่าเหม็นมาก มีรอยกัดแทะจนแหว่งไปบางส่วน จนบางคนพากันออกไปยืนอ้วกหน้าถ้ำ

ปู่ว่า ลุงจิ้งนั้น ถูกชวนมาแทนปู่ เพราะเป็นคนมีวิชาอาคมอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเก่งเท่าปู่ พอปู่ไม่ร่วมทางมา ผกค.คนนั้นเลยสอบถามคนในหมู่บ้าน จนไปได้ลุงจิ้งแทน ซึ่งตอนนั้น ปู่ก็ไม่รู้สาเหตุหรอกว่า ทำไมถึงต้องเอาคนมีวิชาอาคมมาด้วย ก็แค่กลับมาเอาทองของพวกตัวเอง

พอปู่สำรวจศพลุงจิ้ง พบว่าในย่ามประจำตัวแก มีทองแท่งเล็กๆอยู่4แท่ง จับออกมากระทบแสงไฟฉายแวววาว ปู่ส่งให้ทุกคนจับดู ทุกคนก็ลืมกลิ่นเหม็นเน่า มายืนจับทองคำแท่งเล่นกันหมด

"ไอ๊ย๊ะ ทองคำเบอะนิ มีจริงกันหล่าว"

"เอาพรือละพ่อ อิเข้าไปแลม้าย ข้างใน"

ตอนนั้นปู่เสนอทุกคนว่า อย่าเลย ตายกันหมดแล้วล่ะ ตาจิ้งคงเป็นคนสุดท้ายที่รอดอยู่ตอนนั้น และพยายามวิ่งหนี แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี เลยมานอนตายตรงนี้เป็นคนสุดท้าย ปู่ชวนทุกคนกลับหมู่บ้าน เพื่อไปส่งข่าวญาติพี่น้องของพวกเค้า

"แล้วศพพี่น้องโหม๋เราเอาพรือพ่อ อิปล่อยเน่าคาถ้ำพันนี้เหอ"

"แล้วแต่โหม๋ซู้ต่ะ ว่าอิช่วยกันแบกศพหลบบ้านม้าย แต่กูม้ายแบกฮ้าน เดินเองกูยังเอื่อยเล้ย"

คนหนุ่ม4คนก็มองหน้ากัน แล้วมองไปที่ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเองแกก็ครุ่นคิดหนักอยู่พักใหญ่ๆ อาจจะเพราะใจนึงก็อยากทำตามคำพูดปู่ เพราะการจะแบกศพที่ตายมาน่าจะหลายวันโทงๆกลางป่า เพื่อกลับไปให้ญาติในหมู่บ้านได้ดู มันก็หนักหนาพอดู
6คน ต่อ6ศพ ที่น่าจะตายหมดแล้ว กับการหามออกจากป่า เป็นอะไรที่ไม่น่าทำอย่างยิ่ง ครั้นจะออกไปตามคนมาหาม ก็จะเป็นการยุ่งยากเสียเปล่าๆ เสียเวลาทำมาหากิน
ลุงผู้ใหญ่บ้านเลยเสนอ

"เอาพันนี้ต่ะ เราช่วยกันหาศพโหม๋บ้านเรา ออกมาเผาหน้าถ้ำ ให้ฉ๊าด แล้วเอากระดูกมันหลบดีม้าย ญาติพี่น้องมันได้เอาไปทำพิธี"

ทุกๆคนเห็นด้วย ว่าควรปักหลักเผาศพคนของหมู่บ้านที่หน้าถ้ำให้หมดก่อน แล้วเอากระดูกกลับไปบำเพ็ญกุศลศพ ก็เลยพากันไปปักหลักห่างจากปากถ้ำที่ว่า ประมาณ100เมตร ปู่บอกว่า ในความรู้สึกของปู่นั้น มีความกังวลใจอยู่ลึกๆ แต่ปู่ไม่รู้จะบอกคนอื่นๆยังไง กลัวคนอื่นๆจะหาว่าปู่ขี้ขลาดเกินไปและไม่รักพี่น้องร่วมหมู่บ้าน

ทุกคนช่วยกันตัดไม้ และใบไม้บริเวณนั้น มาสร้างเป็นเพิงพักกันน้ำค้าง ใกล้กองหินใหญ่ ตรงนั้นมีต้นเหรียง ต้นใหญ่ขึ้นอยู่ วางข้าวของเอาไว้ แล้วก็ช่วยกันหาไม้แห้งเท่าที่จะหาได้ มาก่อกองฟอนเผาศพตาจิ้ง ที่ใกล้ๆหน้าถ้ำเป็นศพแรก กว่าไฟจะกินเนื้อเน่าๆของศพจนหมดก็ย่ำค่ำ ก็พักกินข้าวกัน แต่กลืนกันไม่ค่อยจะลง เพราะกลิ่นเผาศพมันอวล แล้วภาพตอนศพโดนไฟเผา มันก็ติดตา ก็เลยกินได้แค่คนละนิดละหน่อย

น้ำท่าก็ไม่ได้อาบกัน เพราะลำธารเล็กๆสายนึงนั้นอยู่ไกลจากจุดนั้นพอสมควร ก่อนนอน ปู่ก็ทำพิธีขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าที่ ผีเจ้าถิ่นเพื่อนอนที่นั่น ทุกคนนอนในเพิ่งไม้สดชั่วคราว ผลัดกันนอนและผลัดกันตื่นมาดูรอบๆ โชคดีที่ช่วงนั้น ไม่ใช่หน้าฝน ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรเรื่องฝนตก

ปู่ว่าในช่วงที่ปู่หลับนั้น ปู่ก็ฝัน ฝันว่า มีผู้ชายตัวสีแดง ร่างใหญ่มาก เดินเข้ามาหาปู่ หน้าตานั้นนิ่งๆ แต่มีหนวดเคราสีขาวล้วนเข้ามาถามไถ่พอจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆคือ

"โหม๋ซู้ อย่าเที่ยวไปหยิบเอาทอง เอาคำ ทรัพย์สิน ในถ้ำนั้นนะ เดี๋ยวอิหาว่าฉ้านม้ายเตือน นี้ฉ้านมาเตือน เพราะเห็นว่าโหม๋ซู้ มีความเคารพยำเกรงให้ฉ้านนะ"

พอบอกเท่านั้น คนร่างแดงในฝัน ก็เดินหายเข้าป่าไป แต่ว่าปู่ก็ไม่ได้ตื่นหรืออะไร แต่ยังฝันต่อไปอีกว่า พอเว้นช่วงจากฝันเห็นคนร่างใหญ่สีแดงมาเตือนแล้ว ก็ยังฝันอีกว่า ตัวเองนั้นเดินไปที่ถ้ำนั้นคนเดียว พอเดินไปถึงปากถ้ำ ก็พบผู้ชายคนนึงยืนดักอยู่ที่ปากถ้ำ หน้าตาเค้าดุมาก และดูไม่พอใจที่ปู่เดินเข้ามา ในฝันเค้าขู่ปู่ว่า

"ฉ้านไม่ว่า ที่เติ้น อีพากันมาเอาศพโหม๋ซู้ในถ้ำไปเผา แต่ฉ้านขอเตือนเติ้นไว้ก่อนนะ ว่าห้ามเอาไอ้ไหรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่งั้นโหม๋ฉ้าน อีตามฆ่าคนเอาไปให้ฉาด จำคำฉ้านที่บอกไว้ให้ดี"
..... ... เมื่อตื่นมาตอนเช้า ปู่เล่าเรื่องความฝันให้ทุกคนฟัง และเตือนทุกคนว่าอย่าไปหยิบฉวยอะไรในถ้ำนั้นมาเป็นของตัวเอง เพราะเจ้าของเค้าหวง และวิญญาณแรงมาก แถมไม่ได้มีแค่ดวงเดียว พอทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ปู่ก็เป็นคนไปทำพิธีเก็บอัฐิตาจิ้งใส่ผ้าที่ตัดมาจากผ้าขาวม้า เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมา

........ ทุกคืนยืนสงบนิ่งไว้อาลัย มีดเล่มที่ปักก้านคอตาจิ้งจนตายนั้น ปู่จับดู เห็นมีอักขระอาคมก็เลยรู้ว่า มันเป็นมีดของตาจิ้งเอง ไม่ใช่ของใคร มีดตัวเอง ปักคอตัวเอง ปู่เดาเรื่องราวไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนั้น ปู่ยื่นมีดเล่มนั้นให้ผู้ใหญ่บ้านถือไว้ แล้วบอกให้ผู้ใหญ่บ้านกับ คนหนุ่มอีกคนรอด้านนอก ส่วนปู่กับคนหนุ่มอีก4คนจะเข้าไปดูด้านใน ปู่ถามความสมัครใจว่าใครอยากเข้าไปบ้าง ขอคนที่มีความพร้อม เพราะข้างใน มันคงจะมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแน่ๆ เพราะกลิ่นที่โชยออกมามันฟ้อง
พอตกลงกันได้แล้ว ปู่ก็สั่งผู้ใหญ่บ้านไว้ว่า

"ถ้าโหม๋ฉ้าน ไม่หลบออกมา ภายใน1 ชม.กลับไปแจ้งข่าวคนในหมู่บ้านได้เลย แล้วไม่ต้องพากันมาตามหาอีก"

..... ....ปู่ก็เป็นคนนำคนหนุ่มทั้ง4คนเข้าไป ถ้ำนั้น ไม่ได้กว้างอะไรมากมาย แค่พอให้คน2คนเดินคู่กันเข้าไปได้ ผนังถ้ำก็แห้ง และไม่มีความเรียบ เพราะน่าจะเป็นการใช้คนขุด ทุกคนช่วยกันสาดไฟฉายเพื่อดู
ยิ่งเดินเข้าไปลึก ยิ่งอึดอัด มีข้าวของเก่าๆวางอยู่บ้างตามพื้น กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงปนสาบสางก็โชยออกมาไม่หยุด จนคนนึง บ่นออกมาว่า

"เหม็นอิตายโหง"

..... ....ทุกคนต้องเอาผ้าขาวม้าตัวเองขึ้นปิดจมูก แล้วปู่ก็เจอห้อง ที่มีลักษณะกว้าง มีอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้วางเต็มไปหมด ทุกชิ้นมีฝุ่นเกาะเต็ม บางชิ้นเหมือนมีรอยมือคนจับเมื่อไม่นานมานี้ ก็น่าจะเป็นรอยมือของกลุ่มคนที่มาก่อนหน้านี้นี่แหละ
ปู่กวาดไฟฉายดูไปรอบห้อง เห็นมีปล่องเล็กๆ เจาะขึ้นไป ในหลายๆด้านทางด้านบน น่าจะเป็นรูระบายอากาศของถ้ำ ในถ้ำมีเครื่องสนิมเขลอะ ที่น่าจะเป็นเครื่องปั่นไฟตั้งอยู่ด้วย เพราะเห็นมีสายไฟเก่าๆเชื่อมออกมาจากเครื่องนั้น หลอดไฟก็ยังมีอยู่ ทุกคนช่วยกันส่องไฟ แต่ไม่ยอมแตกกลุ่ม ปู่เห็นยังมีทางไปต่อ เลยเดินนำเข้าไป

........พอเข้าไปถึง แสงไฟกระทบ ก็พบความสยดสยอง ศพทุกศพ นอนตายขึ้นอืดส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลภายในถ้ำ จนบางคนต้องยืนอ้วก ฝูงแมลงเกาะศพ กระจายหึ่ง เมื่อปู่เข้าใกล้ ปู่เดินไปสำรวจที่ศพแต่ละศพ
ศพหนึ่ง แต่งตัวเป็นเอกลักษณ์ที่ปู่จำได้ว่า คืออดีต ผกค.คนนั้น ที่เป็นคนมาชวนทุกคนกลับมาเอาสมบัติ นอนคว่ำหน้าขึ้นอืด ในมือขวากำปืนพก ปลอกกระสุนตกเกลื่อนห้อง ที่ขมับขวา มีรอยเจาะของกระสุน ส่วนศพอื่นๆนั้น บางศพถูกยิง บางศพมีรอยมีดปาดคอ
ในห้องนั้น มีลังไม้ลังเหล็กตั้งอยู่หลายหลัง ลังนึงมีรอยเปิดฝาทิ้งไว้ มีทองคำบางส่วนกระจายอยู่ที่พื้น

.... ปู่เข้าไปดู ทุกคนร้อง หูววว เพราะไม่เคยเห็นทองคำแท่งมากขนาดนี้ ปู่บอกว่า บนทองมีภาษาที่ไม่น่าใช่ภาษาไทย ประทับอยู่ ปู่ก็ไม่รู้ว่ามันคือภาษาอะไร เพราะปู่ไม่คุ้นชิน ถ้าเป็น บาลี สันสกฤต อันนี้ปู่ถนัด
คนอื่นๆก็ไปเปิดดูลังอื่นๆที่ตั้งอยู่ ในนั้นมีทั้งทอง เงิน อาวุธ อาหารกระป๋อง เต็มไปหมด ปู่ได้แต่พร่ำบอกทุกคนว่า

"โหม๋มืงอย่าเที่ยวลักหยบ หยิบของเค้าไปฮ้าน ไม่งั้นอิได้นอนตายเหมือนโหม๋นี้และ"

.....ทุกคนก็รับทราบ พอเห็นความสยองที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าคว้าเอาไป ปู่เป็นคนสำรวจศพ ก็พบคนของหมู่บ้านอีก4ศพ ก่อนจะหันหน้าไปถามคนหนุ่มที่มาด้วยกัน ด้วยความสงสัย

"เออ นี้ตอนมันมา มีใครรู้หม้าย ว่าคนบ้านเรามากันกี่คนแน่"

"มากัน6คนนิสาว่า รวมโหม๋ประอื่น3 รวมทั้งเพ9คน..พ่อ"

"อืม ศพไอ้จิ้ง นอนอยู่หน้าถ้ำ ในนี้มีอีก7 เป็นคนบ้านเรา4 แล้วหายไปไหน1วะ"

คนอื่นๆก็ช่วยกันนับและพยายามหา แต่ก็หาอีกศพไม่เจอจริงๆ แต่คนหนุ่มคนนึงที่แยกออกไปด้านหลังหลัง ก็ร้องลั่นตกใจวิ่งตีนแตกออกมา

"เห้ยๆๆๆๆโว้ยๆๆๆๆๆ"

"เห้ยๆ ไอ่ไหรมืง เป็นไหร"

"และเอาต่ะ ที่พิ้นประหลัง ลังฮั้น"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่