สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 16
ทิศทางการผ่าท้องคลอดทั่วโลก
ภาพรวมการผ่าท้องคลอดขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาประเทศด้วย ประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีก็จะมีอัตราการผ่าท้องคลอดสูง เพราะมีทรัพยากรทางการแพทย์ที่ดี ทั้งหมอ ยา อุปกรณ์ และบุคลากรต่างๆ ฉะนั้น ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมทั้งเอเชีย จะมีอัตราการผ่าท้องคลอดมากกว่าในแถบแอฟริกา
ตอนนี้อัตราการผ่าท้องคลอดเฉลี่ยทั่วโลกจะอยู่ที่ 15-20% ถ้าดูจากแผนที่แสดงอัตราการผ่าท้องคลอดของโลกปี 2016 จะเห็นว่า พวกที่มีอัตราสูงๆ ก็จะมีอเมริกาเหนือ เอเชีย อเมริกาใต้นี่หนักกว่าเพื่อน ส่วนแอฟริกาจะน้อยที่สุด บราซิลเป็นแชมป์ มีอัตราการผ่าท้องคลอดประมาณ 70-80
ที่มา : Betrán et al: The increasing trend in Caesarean section rates. PLoS ONE 2016
แต่จากภาพ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ ประเทศพัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง เช่น กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย อังกฤษ มาเลเซีย และที่น่าสนใจมากคือ ญี่ปุ่น มีอัตราการผ่าท้องคลอดไม่สูง ในกลุ่มสแกนดิเนเวียและญี่ปุ่นมีอัตราไม่ถึง 20% แต่ความปลอดภัยของแม่และลูกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นที่มีอัตราการผ่าคลอดสูงเลย
เมื่อปี 1985 องค์การอนามัยโลกได้ออก WHO Statement บอกว่าอัตราการผ่าท้องคลอดไม่ควรเกิน 15% โดยอัตรานี้คิดมาจากความจำเป็นในการผ่าท้องคลอดเพื่อช่วยชีวิตแม่และลูก การผ่าท้องคลอดในอัตราเกิน 15% ไม่ได้ช่วยให้แม่และลูกมีชีวิตรอดมากขึ้น
ผ่านมา 30 ปีเต็ม จนถึงปี 2015 องค์การอนามัยโลกเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาประชุมกันอีกครั้ง รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยทั้งหลายพบว่า อัตราการผ่าท้องคลอดที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 10% น้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อมาดูสภาพที่เป็นอยู่ เราจึงมีการผ่าท้องคลอดโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก
“โดยทั่วไปหมอได้เงินมากกว่าเวลาผ่าท้องคลอด เพราะถือว่าเป็นหัตถการที่ทำยากกว่าคลอดปกติ ในมุมของผู้ให้บริการ รายได้ที่มากกว่าก็เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้หมออยากผ่าคลอด โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน”
ทิศทางการผ่าท้องคลอดในประเทศไทย
ประเทศไทยก็เลียนแบบประเทศตะวันตก เราผ่าท้องคลอดกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ 5% เมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อน จนปัจจุบัน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า อัตราผ่าท้องคลอดในประเทศไทยสูงเกิน 30% นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
เดี๋ยวนี้มีการผ่าท้องคลอดกันมาก ถึงขนาดมีคลินิกเฉพาะสำหรับฝากท้องคลอดแบบผ่าคลอดเลยอย่างเดียว บางโรงพยาบาลในไทยตอนนี้อัตราการผ่าท้องคลอดสูงถึง 60-70%
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
หนึ่ง “ความไม่รู้” นี่เป็นสาเหตุที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด ประชาชนทั่วไปรวมทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขบางส่วนด้วยซ้ำคิดว่าการผ่าท้องคลอดปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น สังคมไม่ทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และไม่ทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และเด็กในระยะยาว
สอง “ความสะดวก” ผ่าท้องคลอดสะดวกกว่า นัดวันนัดเวลาได้ เอาตามฤกษ์ก็ได้ด้วย สะดวกทั้งหมอทั้งคนไข้ ถ้าคลอดตามปกติรอให้เจ็บท้องคลอดเองก็ไม่รู้จะเจ็บเมื่อไหร่ ผ่าท้องคลอดไม่ต้องมารอให้เจ็บท้อง สภาพสังคมหลายอย่างตอนนี้ก็ยิ่งผลักดันให้เลือกเอาตามสะดวก อย่างในกรุงเทพฯ บางทีหมอรถติด ถ้ารอเจ็บท้องคลอดเอง หมออาจจะมาทำคลอดไม่ทัน การผ่าท้องคลอดช่วยให้ทั้งหมอและแม่บริหารจัดการเวลาได้แน่นอนขึ้น
รู้ไหมว่าในปัจจุบันเด็กเกิดวันอะไรมากที่สุด
คำตอบคือวันศุกร์ … เพื่อให้จัดการเวลาได้ ส่วนใหญ่หมอจะให้ผ่ากันวันศุกร์เลย จะได้ไม่ต้องติดเสาร์-อาทิตย์
สาม “กลัวเจ็บ” เจ็บท้องคลอดแบบปกติ มันเจ็บจริงๆ แต่อย่าลืมว่าผ่าตัดก็เจ็บเหมือนกัน ปวดแผล จริงๆ อาจปวดมากกว่าด้วยซ้ำไป
สี่ “แรงจูงใจด้านรายได้และการจัดการของโรงพยาบาล” โดยทั่วไปหมอได้เงินมากกว่าเวลาผ่าท้องคลอด เพราะถือว่าเป็นหัตถการที่ทำยากกว่าคลอดปกติ ในมุมของผู้ให้บริการ รายได้ที่มากกว่าก็เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้หมออยากผ่าคลอด โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน มิหนำซ้ำยังควบคุมจัดการเวลาได้ดีกว่าด้วย แต่ตอนนี้ก็มีบางโรงพยาบาลที่เริ่มเห็นความสำคัญของการคลอดตามธรรมชาติแล้ว ก็จะให้ค่าหมอไม่ต่างกัน
ห้า “สิทธิการรักษาพยาบาลและการประกันสุขภาพ” ประเด็นนี้ก็ส่งผลสำคัญ ในบางประเทศสิทธิประโยชน์ของการประกันสังคมจะไม่รวมการผ่าท้องคลอดโดยไม่มีข้อบ่งชี้ แต่ของไทยยังรวมหมดเลย ไม่ได้แยก ทั้งในระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่วนในกรณีของการเบิกค่ารักษาพยาบาลของระบบราชการ ยิ่งเห็นได้ชัด แต่เดิมข้าราชการที่คลอดโรงพยาบาลเอกชนสามารถเบิกค่ารักษาจากการผ่าท้องคลอดได้ส่วนหนึ่ง กลายเป็นว่าข้าราชการไปผ่าท้องคลอดกันตั้ง 80% เมื่อกรมบัญชีกลางมาตรวจสอบ เลยเปลี่ยนใหม่ให้เบิกได้เฉพาะกรณีที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น
“ผ่าท้องคลอดไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” ไขปมความไม่รู้และความเข้าใจผิดของเหล่าพ่อแม่มือใหม่ กับ ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์
Patchar Duangklad | May 9, 2017
https://www.the101.world/thoughts/cesarean-section/
ภาพรวมการผ่าท้องคลอดขึ้นอยู่กับระดับการพัฒนาประเทศด้วย ประเทศที่มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมที่ดีก็จะมีอัตราการผ่าท้องคลอดสูง เพราะมีทรัพยากรทางการแพทย์ที่ดี ทั้งหมอ ยา อุปกรณ์ และบุคลากรต่างๆ ฉะนั้น ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมทั้งเอเชีย จะมีอัตราการผ่าท้องคลอดมากกว่าในแถบแอฟริกา
ตอนนี้อัตราการผ่าท้องคลอดเฉลี่ยทั่วโลกจะอยู่ที่ 15-20% ถ้าดูจากแผนที่แสดงอัตราการผ่าท้องคลอดของโลกปี 2016 จะเห็นว่า พวกที่มีอัตราสูงๆ ก็จะมีอเมริกาเหนือ เอเชีย อเมริกาใต้นี่หนักกว่าเพื่อน ส่วนแอฟริกาจะน้อยที่สุด บราซิลเป็นแชมป์ มีอัตราการผ่าท้องคลอดประมาณ 70-80
ที่มา : Betrán et al: The increasing trend in Caesarean section rates. PLoS ONE 2016
แต่จากภาพ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจ ประเทศพัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง เช่น กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย อังกฤษ มาเลเซีย และที่น่าสนใจมากคือ ญี่ปุ่น มีอัตราการผ่าท้องคลอดไม่สูง ในกลุ่มสแกนดิเนเวียและญี่ปุ่นมีอัตราไม่ถึง 20% แต่ความปลอดภัยของแม่และลูกก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นที่มีอัตราการผ่าคลอดสูงเลย
เมื่อปี 1985 องค์การอนามัยโลกได้ออก WHO Statement บอกว่าอัตราการผ่าท้องคลอดไม่ควรเกิน 15% โดยอัตรานี้คิดมาจากความจำเป็นในการผ่าท้องคลอดเพื่อช่วยชีวิตแม่และลูก การผ่าท้องคลอดในอัตราเกิน 15% ไม่ได้ช่วยให้แม่และลูกมีชีวิตรอดมากขึ้น
ผ่านมา 30 ปีเต็ม จนถึงปี 2015 องค์การอนามัยโลกเชิญผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกมาประชุมกันอีกครั้ง รวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยทั้งหลายพบว่า อัตราการผ่าท้องคลอดที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 10% น้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อมาดูสภาพที่เป็นอยู่ เราจึงมีการผ่าท้องคลอดโดยไม่จำเป็นจำนวนมาก
“โดยทั่วไปหมอได้เงินมากกว่าเวลาผ่าท้องคลอด เพราะถือว่าเป็นหัตถการที่ทำยากกว่าคลอดปกติ ในมุมของผู้ให้บริการ รายได้ที่มากกว่าก็เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้หมออยากผ่าคลอด โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน”
ทิศทางการผ่าท้องคลอดในประเทศไทย
ประเทศไทยก็เลียนแบบประเทศตะวันตก เราผ่าท้องคลอดกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ 5% เมื่อประมาณ 30-40 ปีก่อน จนปัจจุบัน ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกยืนยันว่า อัตราผ่าท้องคลอดในประเทศไทยสูงเกิน 30% นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
เดี๋ยวนี้มีการผ่าท้องคลอดกันมาก ถึงขนาดมีคลินิกเฉพาะสำหรับฝากท้องคลอดแบบผ่าคลอดเลยอย่างเดียว บางโรงพยาบาลในไทยตอนนี้อัตราการผ่าท้องคลอดสูงถึง 60-70%
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
หนึ่ง “ความไม่รู้” นี่เป็นสาเหตุที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุด ประชาชนทั่วไปรวมทั้งบุคลากรด้านสาธารณสุขบางส่วนด้วยซ้ำคิดว่าการผ่าท้องคลอดปลอดภัย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น สังคมไม่ทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และไม่ทราบถึงผลกระทบต่อสุขภาพของแม่และเด็กในระยะยาว
สอง “ความสะดวก” ผ่าท้องคลอดสะดวกกว่า นัดวันนัดเวลาได้ เอาตามฤกษ์ก็ได้ด้วย สะดวกทั้งหมอทั้งคนไข้ ถ้าคลอดตามปกติรอให้เจ็บท้องคลอดเองก็ไม่รู้จะเจ็บเมื่อไหร่ ผ่าท้องคลอดไม่ต้องมารอให้เจ็บท้อง สภาพสังคมหลายอย่างตอนนี้ก็ยิ่งผลักดันให้เลือกเอาตามสะดวก อย่างในกรุงเทพฯ บางทีหมอรถติด ถ้ารอเจ็บท้องคลอดเอง หมออาจจะมาทำคลอดไม่ทัน การผ่าท้องคลอดช่วยให้ทั้งหมอและแม่บริหารจัดการเวลาได้แน่นอนขึ้น
รู้ไหมว่าในปัจจุบันเด็กเกิดวันอะไรมากที่สุด
คำตอบคือวันศุกร์ … เพื่อให้จัดการเวลาได้ ส่วนใหญ่หมอจะให้ผ่ากันวันศุกร์เลย จะได้ไม่ต้องติดเสาร์-อาทิตย์
สาม “กลัวเจ็บ” เจ็บท้องคลอดแบบปกติ มันเจ็บจริงๆ แต่อย่าลืมว่าผ่าตัดก็เจ็บเหมือนกัน ปวดแผล จริงๆ อาจปวดมากกว่าด้วยซ้ำไป
สี่ “แรงจูงใจด้านรายได้และการจัดการของโรงพยาบาล” โดยทั่วไปหมอได้เงินมากกว่าเวลาผ่าท้องคลอด เพราะถือว่าเป็นหัตถการที่ทำยากกว่าคลอดปกติ ในมุมของผู้ให้บริการ รายได้ที่มากกว่าก็เป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้หมออยากผ่าคลอด โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน มิหนำซ้ำยังควบคุมจัดการเวลาได้ดีกว่าด้วย แต่ตอนนี้ก็มีบางโรงพยาบาลที่เริ่มเห็นความสำคัญของการคลอดตามธรรมชาติแล้ว ก็จะให้ค่าหมอไม่ต่างกัน
ห้า “สิทธิการรักษาพยาบาลและการประกันสุขภาพ” ประเด็นนี้ก็ส่งผลสำคัญ ในบางประเทศสิทธิประโยชน์ของการประกันสังคมจะไม่รวมการผ่าท้องคลอดโดยไม่มีข้อบ่งชี้ แต่ของไทยยังรวมหมดเลย ไม่ได้แยก ทั้งในระบบประกันสังคมและระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ส่วนในกรณีของการเบิกค่ารักษาพยาบาลของระบบราชการ ยิ่งเห็นได้ชัด แต่เดิมข้าราชการที่คลอดโรงพยาบาลเอกชนสามารถเบิกค่ารักษาจากการผ่าท้องคลอดได้ส่วนหนึ่ง กลายเป็นว่าข้าราชการไปผ่าท้องคลอดกันตั้ง 80% เมื่อกรมบัญชีกลางมาตรวจสอบ เลยเปลี่ยนใหม่ให้เบิกได้เฉพาะกรณีที่มีข้อบ่งชี้เท่านั้น
“ผ่าท้องคลอดไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” ไขปมความไม่รู้และความเข้าใจผิดของเหล่าพ่อแม่มือใหม่ กับ ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์
Patchar Duangklad | May 9, 2017
https://www.the101.world/thoughts/cesarean-section/
ความคิดเห็นที่ 11
จากประสบการณ์ที่คลอดมาทั้งสองแบบ บอกเลย ว่าเลือกผ่าคลอดดีกว่ามากๆ
ท้องแรกคลอดเอง เจ็บท้องคลอดตั้งแต่เช้ามืด จนเย็น เบ่งแล้วเบ่งอีกลูกก็ไม่ออก
จนหมอต้องช่วยดูด เพราะรอไม่ได้แล้ว ลูกอาจขาดออกซิเจน
หัวลูกบุบไปหน่อยจากการดูด เพราะศีรษะเด็กบอบบางมาก
หลังคลอดลูกต้องอยู่ตู้อบนานกว่าปกติ เพราะการขาดออกซิเจนไปแป๊บหนึ่ง เคสอาจไม่ได้มีปัญหามาก
แต่บอกเลยว่าพ่อแม่ปวดใจมาก. นึกโทษตัวเองที่เลือกผ่า เพราะเทรนคลอดธรรมชาติมาแรงมาก
แต่ญาติสนิทกันเขาผ่าหลายคน บอกว่ามันดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย แนะนำให้เราผ่า ตอนนั้นไม่เชื่อ
หลังคลอด ก็ทรมานมาก เจ็บแผล ยิ่งตอนเข้าห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง ปวดท้องเข้าห้องน้ำขึ้นมานี่ ไม่อยากไปเลย
มันเจ็บมันแสบ นานหลายอาทิตย์กว่าจะหาย. คิดในใจเฮ้ย ไอ้ที่อ่านมาในเนตไม่เห็นใครมาบอกเลยว่ามันทรมาน
และแย่ขนาดนี้กับการคลอดธรรมชาติ อวยกันสุดๆ
ท้องสอง ผ่าอย่างไม่ต้องลังเล ผลปรากฎดีต่อจิตใจมาก ตอนคลอดก็ไม่รู้สึก
หลังผ่าเจ็บแผลตอนอาทิตย์แรก ความเจ็บไม่มากมายอะไร
เข้าห้องน้ำก็สบาย. ร่างกายก็ไม่เห็นจะไม่ดีอะไร กลับบ้านมา ยังทำโน้นทำนี่ จนแม่สามีบอก
พึ่งคลอดใหม่ๆมานะลูก นอนพักบ้างเถอะ 55 แข็งแรงยิ่งกว่าคลอดธรรมชาติอีก
หากมีใครมาถามก็จะบอกว่า ผ่าคลอดเหอะ. เว้นแต่ว่าอยากลองลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานเองจากการคลอดลูก
คนโบราณว่าไว้ว่าคลอดลูกนั้นเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นจริงมากๆ
ท้องแรกคลอดเอง เจ็บท้องคลอดตั้งแต่เช้ามืด จนเย็น เบ่งแล้วเบ่งอีกลูกก็ไม่ออก
จนหมอต้องช่วยดูด เพราะรอไม่ได้แล้ว ลูกอาจขาดออกซิเจน
หัวลูกบุบไปหน่อยจากการดูด เพราะศีรษะเด็กบอบบางมาก
หลังคลอดลูกต้องอยู่ตู้อบนานกว่าปกติ เพราะการขาดออกซิเจนไปแป๊บหนึ่ง เคสอาจไม่ได้มีปัญหามาก
แต่บอกเลยว่าพ่อแม่ปวดใจมาก. นึกโทษตัวเองที่เลือกผ่า เพราะเทรนคลอดธรรมชาติมาแรงมาก
แต่ญาติสนิทกันเขาผ่าหลายคน บอกว่ามันดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลย แนะนำให้เราผ่า ตอนนั้นไม่เชื่อ
หลังคลอด ก็ทรมานมาก เจ็บแผล ยิ่งตอนเข้าห้องน้ำไม่ต้องพูดถึง ปวดท้องเข้าห้องน้ำขึ้นมานี่ ไม่อยากไปเลย
มันเจ็บมันแสบ นานหลายอาทิตย์กว่าจะหาย. คิดในใจเฮ้ย ไอ้ที่อ่านมาในเนตไม่เห็นใครมาบอกเลยว่ามันทรมาน
และแย่ขนาดนี้กับการคลอดธรรมชาติ อวยกันสุดๆ
ท้องสอง ผ่าอย่างไม่ต้องลังเล ผลปรากฎดีต่อจิตใจมาก ตอนคลอดก็ไม่รู้สึก
หลังผ่าเจ็บแผลตอนอาทิตย์แรก ความเจ็บไม่มากมายอะไร
เข้าห้องน้ำก็สบาย. ร่างกายก็ไม่เห็นจะไม่ดีอะไร กลับบ้านมา ยังทำโน้นทำนี่ จนแม่สามีบอก
พึ่งคลอดใหม่ๆมานะลูก นอนพักบ้างเถอะ 55 แข็งแรงยิ่งกว่าคลอดธรรมชาติอีก
หากมีใครมาถามก็จะบอกว่า ผ่าคลอดเหอะ. เว้นแต่ว่าอยากลองลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานเองจากการคลอดลูก
คนโบราณว่าไว้ว่าคลอดลูกนั้นเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นจริงมากๆ
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคุณแม่เมืองไทย ถึงผ่าคลอดกันเยอะครับ ในนี้มีคุณหมอ หรือผู้รู้ช่วยตอบได้มั้ยครับ
คุณหมอแกบอกผม ส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่าหรอก มีไม่เกิน 5% ที่จะผ่าคลอด ... ผมก็จำตามนั้นมาตลอด (เลยมีความคิดเชิงลบกับระบบผ่าคลอดของไทยมาตลอดว่า หมอทำไปเพื่อเงินหรือเปล่า?? เพราะพี่สาว พี่สะใภ้ผม รอไม่กี่ ชม เห็นผ่าคลอดกันหมด ของแฟนผม ผ่านไป 24 ชม หมอยังชิวอยู่เลย 55)
จนผมกลับมาเมืองไทย ได้มีโอกาศไปเยี่ยมเพื่อนที่คลอดลูกที่ รพ. เอกชน ชั้นนำของไทย ตอนมองเข้าไปในห้องที่เค้าให้เด็กหลายๆ คนนอนอยู่ ผมมองๆ ส่องๆ ดู ไปบังเอิญเห็นป้ายตรงที่นอนเด็ก เด็กเรียกได้ว่า 9/10 คน เลยครับ ที่มีเขียนว่า CS ซึ่งผมมั่นใจว่า หมายถึง Caesarian Session หรือ การผ่าคลอด
ผมก็ไม่อยากจะเหมารวมว่าคุณแม่คนไทยส่วนใหญ่จะผ่าคลอด เพราะการแค่เห็นจากใน รพ เอกชน ที่เดียว กับพี่ๆ ของตัวเอง ก็เลยอยากจะมาถามแพทย์ หรือผู้รู้ในพันทิป หรือคุณแม่ที่เลือกผ่าคลอด ให้ช่วยแถลงไข ให้เหตุผล ให้เข้าใจว่า ทำไมถึงเลือกผ่าคลอด และผ่าคลอดมีข้อดีอย่างไรครับ?
edit: เหตุผลที่ผมได้ยินมาบ่อยๆ ก็จะมีตามที่ คห 1 บอกไว้ คือส่วนใหญ่ดูฤกษ์... แบบนี้นอกจากในไทย อยากฝากถามพี่ๆ ที่อยู่ต่างแดน เช่น
ประเทศอย่างจีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น พวกนี้เค้าก็ใช้วิธีดูฤกษ์กันเยอะด้วยมั้ยครับ
คห 2-1 ให้เหตุผลที่ดีหลายๆ อย่าง และได้เสริมว่า ค่าทำคลอดธรรมชาติ กับค่าผ่าคลอด หมอเอกชน ได้ต่างไม่กี่พัน เลยอยากถามท่านอื่นๆ เพิ่มว่าจริงมั้ยครับ?
อยากรู้ว่าใน พันทิป ทำเป็นโหวตได้มั้ยครับ อยากรู้ว่าจริงๆ แล้ว ส่วนใหญ่ผ่า หรือธรรมชาติ (อยากเห็นเป็นสถิตินิดนึง 55)
คน #พาลูกเมียเที่ยว รอบนี้ขอถามแบบมีสาระ 55
Facebook page พาลูกเมียเที่ยว แบ่งปันสาระครอบครัว การเลี้ยงเด็ก การเที่ยว และไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว
www.facebook.com/notalonedad