Wed, 2017-04-26 17:53
ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี
ปี 2016 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกอย่างคาดไม่ถึง หลังจากที่เกิดปรากฏการณ์ Brexit ที่ สหราชอาณาจักรและชัยชนะของนายโดนัล ทรัมป์ในการเลือก ตั้งและกลายเป็นประธานาธิบดี สหรัฐคนปัจจุบัน โลกเสรีนิยมก็ดูเหมือนจะปั่นป่วนไปทั่วทั้งในทางการเมือง และโดยเฉพาะในทาง ความคิด กระแสการเมืองในโลกตะวันตกเรื่องการเหยียดผิว การต่อต้านผู้อพยพต่างชาติ และต้าน คนมุสลิมดูเหมือนจะแพร่หลายไปทั่วอย่างรวดเร็วด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการแพร่แนวคิดการ ต่อต้านความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุพาคี การต่อต้านการเปิดเสรีทางการค้า และการลง ทุนข้ามชาติ การปฏิเสธข้อตกลงในการค้า ในทางเศรษฐกิจและปฏิเสธการสร้างพันธมิตรทางการ ทหาร ในขณะเดียวกันก็เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารไปทั่วโลกอันเกิดจากนโยบาย ขวาจัดชาตินิยมของประธานาธิบดีสหรัฐ ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือ “ทรัมป์ไม่สำคัญเท่ากับลัทธิทรัมป์” (Trumpism) และสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือแนวคิด Populism ที่อยู่เบื้องหลัง
อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นมีพลังที่สำคัญอยู่ที่แนวคิด Populism ในโลกตะวันตก ปรากฏการณ์ดังกล่าวแม้ นักรัฐศาสตร์ในตะวันตกเองก็มีข้อถกเถึยงกันว่าอะไรเกิดขึ้น เกิดปัญหาอะไรในสัญญาประชาคมที่ เป็นแกนกลางสำคัญในทฤษฏีของเสรีประชาธิปไตย ทำไมชนชั้นกลางและผู้ใช้แรงงานในสังคม ตะวันตกหันหลังให้สถาบันประชาธิปไตยและเสรีนิยม เมื่อเร็วๆนี้นักรัฐศาสตร์อเมริกันสองคนคือ Jeff D. Colgan และ Robert O. Keohane ได้เขียนบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในวารสาร Foreign Affairs บทวิเคราะห์ดังกล่าวใช้การวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ต่อปรากฏการณ์ Populism อย่างเป็นระบบที่สุด เท่าที่จะมีในเวลานี้
บทความดังกล่าวชื่อว่า “ระเบียบโลกแบบเสรีถูกโกง: จะซ่อมมันเดี๋ยวนี้หรือจะดูมันสิ้นสลายไป” (The Liberal Order Is Rigged: Fix It Now or Watch It Wither) การวิเคราะห์ดังกล่าวน่าสนใจ สำหรับเหตุการณ์ปัจจุบันเพราะนักวิชาการทางรัฐศาสตร์อเมริกันเองเป็นผู้ที่สนับสนุนอย่างแข็งขัน ต่อระบบความร่วมมือแบบพหุภาคีและความเข้มแข็งของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหา ความขัดแย้ง สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจและการสร้างสันติภาพในโลกซึ่งจะย้อนกลับมา สร้างความสุขและความยั่งยืนของสถาบันประชาธิปไตยในประเทศ แต่ระบบสากลดังกล่าวตอน นี้กลับถูกประณามว่าโกงและฉ้อฉลจากชนชั้นล่างในประเทศตนเองและโดยนักการเมืองแนว Populism สิ่งที่จะวิเคราะห์ต่อไปในบทความนี้เป็นการสรุปความคิดจากการวิเคราะห์ของนัก รัฐศาสตร์ดังกล่าวโดยผู้เขียนเองเพิ่มเติมตัวอย่างการวิเคราะห์ในบางส่วนเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
หมุดหมายที่สำคัญของคำว่า Populism ก็คือความเชื่อที่ว่าในทุกประเทศจะมีประชาชนดั้งเดิมที่แท้ จริงซึ่งเป็นเหยื่อจากการสมคบคิดกันระหว่างกองกำลังของต่างประเทศและชนชั้นนำในประเทศที่ เห็นแก่ผลประโยชน์ตนเอง ผู้นำที่เชื่อเรื่อง Populism นี้มักจะอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนประชาชนที่ แท้จริงเหล่านี้และเขาจะต้องพยายามบั่นทอนกำลังหรือทำลายสถาบันต่างๆเช่นรัฐสภา ศาลยุติธรรม และสื่อมวลชนและทำลายกรอบกฏเกณฑ์ต่างๆที่มาจากภายนอกประเทศเพื่อที่จะปกป้องอำนาจ อธิปไตยแห่งชาติ
Populism จะมีหลายสีสรรตามอุดมการณ์ทางการเมือง Populism ในปีกฝ่ายซ้ายจะสู้กับคนรวยด้วย ความเชื่อเรื่องความเสมอภาพ ฝ่ายขวาก็ต้องการจะขจัดอุปสรรคความมั่งคั่งด้วยการเน้นที่การเจริญ เติบโตในทางเศรษฐกิจ น่าแปลกที่ว่าถึงจุดหนึ่งฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัดมากลับมามีความเห็นตรงกัน ในฝรั่งเศสผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัดกลับสนับสนุนให้มีการแยกตัวออก จากอียูเหมือนกัน อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่สำคัญของ Populism คือศรัทธาในตัวผู้นำที่เข้มแข็งและไม่ ชอบการไปจำกัดอำนาจอธิปไตยของชาติ ไม่ชอบสถาบันการเมืองต่างๆที่มีอำนาจ
สถาบันเหล่านั้นก็คือตัวแสดงบทบาทที่สำคัญในการจัดระเบียบของโลกเสรี ตัวอย่างเช่น องค์การ สหประชาชาติ (UN) ประชาคมทางเศรษฐกิจยุโรป (EU) องค์กรการค้าโลก (World Trade Organization-WTO) และกลุ่มพันธมิตรทางการทหารเช่น NATO ระเบียบโลกได้ถูกสร้างขึ้นโดย การนำของวอชิงตันโดยผ่านสถาบันเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มความร่วมมือหลายฝ่ายในทางการเมือง ระหว่างประเทศในประเด็นที่สำคัญตั้งแต่เรื่องความมั่นคงไปจนถึงการค้าและการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ
นักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่านับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาระเบียบโลกแบบเสรีได้ ช่วยสร้างสันติภาพระหว่างมหาอำนาจ เสถียรภาพนี้ทำให้มีการกีดกันไม่ให้เยอรมันนี ญี่ปุ่น ซาอุดิ อารเบียและเกาหลีใต้ไม่ให้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
นักรัฐศาสตร์ยังเชื่อว่าการสร้างสันติภาพของระเบียบโลกแบบเสรีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่าง มาก ผลที่ตามมาก็คือระเบียบดังกล่าวช่วยทำให้โลกที่กำลังพัฒนามีความก้าวหน้าประชากรโลก จำนวนนับเป็นพันล้านคนก้าวพ้นความยากจนและเกิดชนชั้นกลางใหม่ขึ้นจำนวนมากมาย แต่ใน ขณะที่ระเบียบโลกแบบนี้ขยายตัวและประสบความสำเร็จ สถาบันในประเทศของตัวเองก็กลับหลุด ขาดการเชื่อมต่อกับประชาชนในประเทศซึ่งเป็นผู้สร้างระเบียบนี้ขึ้นมา
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 ผลลัพธ์ของวาระนโยบายเศรษฐกิจแบบลัทธิเสรีนิยมใหม่ได้บั่นทอน สัญญาประชาคมซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเคยเป็นหลักประกันและตัวสนับสนุนระเบียบเสรีอันนี้ ประชา ชนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นชนชั้นคนงานและชนชั้นกลางในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และที่อื่นๆเริ่มจะเชื่อว่าระบบกำลังถูกโกงและฉ้อฉล--ด้วยข้ออ้างที่น่ารับฟังไม่น้อย
นักวิชาการที่วิเคราะห์เรื่องโลกาภิวัฒน์ ระเบียบโลกแบบเสรี และเชิดชูส่งเสริมระบบนี้ก็มีส่วนรับ ผิดชอบต่อการขยายตัวของ Populism ไปด้วย เพราะไม่ได้ให้ความสนใจต่อการที่ระบบทุนนิยมฉวย โอกาสจี้เอาโลกาภิวัฒน์เป็นตัวประกัน ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจได้ออกแบบสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ตัวเองและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเขาเองกับรัฐบาล แต่ ทว่าประชาชนที่เป็นคนธรรมดาสามัญกลับถูกทอดทิ้งและพากันโกรธเคืองกับระบบ
ในปี 2016 รัฐสองรัฐที่เป็นตัวแสดงหลักในการสร้างระเบียบโลกแบบเสรีขึ้นมาคือ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรกำลังจะหันหลังให้มัน นั่นก็คือชัยชนะของ Brexit และ Trump ปรากฏการณ์ ทั้งสองสะท้อนให้เห็น”การล่มสลายของสัญญาประชาคมที่จุดแกนกลางของเสรีประชาธิปไตย” กลุ่มคนที่ได้ดีในสังคมตลาดได้เคยสัญญาว่าผู้เสียเปรียบจากพลังของตลาดจะไม่ตกหล่นไปไกลจาก ตนเอง แต่ที่จริงพวกเขาตกไปอยู่ ไกลมาก ในระหว่างปี 1974 และ 2015 รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน อเมริกันที่ไม่จบชั้นมัธยมตกต่ำลงถึงร้อยละ 20 แม้แต่พวกที่จบมัธยมปลายแต่ไม่ได้เรียนจบระดับ มหาวิทยาลัยมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนตกลงมากถึงร้อยละ 24 แต่พวกที่จบมหาวิทยาลัยมีรายได้เฉลี่ย สูงขึ้น ในครัวเรือนอเมริกันทั้งหมดรายได้เฉลี่ยจะสูงขึ้นร้อยละ 17 ดังนั้นในภาพรวมคนที่จบการ ศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะมีรายได้สูงกว่า
นักรัฐศาสตร์ชื่อโรเบิร์ต พัทนั่มและมากาเร็ต แวร์ พบว่าแนวโน้มดังกล่าวจะทำให้เกิดสภาพที่คน อเมริกันอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน คนที่มีฐานะดีจะไม่มีที่อยู่อาศัยใกล้กับคนจน และไม่มีปฏิสัมพันธ์ กันในสถาบันสาธารณะอย่างที่เคยทำ การแยกกันอยู่ได้บั่นทอนความเป็นเอกภาพทางสังคม แต่ชน ชั้นนำที่มีความคิดสากลนิยมหลายคนคิดว่าความมีเอกภาพทางสังคมนั้นไม่สำคัญสำหรับประชาธิป ไตยที่ปฏิบัติหน้าที่ดีอยู่แล้ว
ชนชั้นนำได้ฉวยประโยชน์จากระเบียบโลกแบบเสรีทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจในหลายทศวรรษที่ผ่านมาโดยไม่ได้แบ่งรายได้และความมั่งคั่งให้คนชั้นกลางและคนชั้นล่าง คนอเมริกันที่ร่ำรวยและมีการ ศึกษาสูงพยายามผลักดันให้มีนโยบายภาษีอัตราถดถอย นโยบายสร้างข้อตกลงทางการค้าและการ ลงทุนที่ส่งเสริมการจัดจ้างคนภายนอกที่เป็นบริษัทต่างประเทศ และลดการให้งบประมาณแก่มหา วิทยาลัยของรัฐ (ทำให้เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับโดยลดงบประมาณลง) ผลของนโยบายดังกล่าวได้ ทำลายสิ่งที่เรียกว่าลัทธิเสรีนิยมที่ผูกพันกับสังคม (Embedded Liberalism) อันหมายความถึง ระเบียบโลกแบบเสรีที่สร้างด้วยสังคมแห่งตลาดเสรีได้แต่ก็ยังรักษารัฐสวัสดิการและนโยบายตลาด แรงงานเอาไว้ซึ่งจะฝึกอบรมให้การศึกษาใหม่แก่แรงงานที่มีทักษะแบบเก่า และชดเชยเยียวยาให้กับ ผู้ที่เสียงานให้กับการเปิดเสรีทางการค้าและยังให้การรับรองฐานะให้แก่พลเมืองทุกคนแม้กับผู้ที่ไม่ มีประสิทธิผลในทางเศรษฐกิจ
พวกชนชั้นนำก็ผลักดันและสนับสนุนมุมมองดังกล่าวแต่เพียงแค่ครึ่งเดียวคือตลาดเสรี การเปิดชาย แดนและการร่วมมือทางเศรษฐกิจหลายฝ่าย แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 พวกเขาก็เริ่มละ ทิ้งส่วนประกอบอื่นๆของแนวคิดเสรีนิยมเพื่อสังคม ซึ่งก็คือการมีตาข่ายนิรภัยทางสังคมที่แข็งแรง สำหรับผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้ชีวิต การไร้สมดุลดังกล่าวบ่อนทำลายการสนับสนุนจากภายในประเทศต่อ ตลาดเสรีในโลก การสร้างพันธมิตรทางการทหารและสิ่งอื่นๆอีกมากมาย
การเช็คบิลเก่าต่อปัญหาการล่มสลายของสัญญาประชาคมตามมาถึงกำหนดชำระหนี้ในปี 2016 นี้ เองที่ทั้งสองฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก กระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังไม่ให้ความ สำคัญต่อภัยคุกคามที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลต่อระเบียบโลกแบบเสรีนี้ บางคน โต้แย้งว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการบูรณาการในโลกมีมากจนล้นเกินไปกว่าที่รัฐบาลแห่ง ชาติจะหาทางย้อนกลับไปสู่ลัทธิเสรีนิยมไม่ว่าจะมีการเล่นโวหารในการรณรงค์หาเสียงหรือกระแสทัศนะของ Populism จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่านักการเมืองก็มักจะสนองตอบต่อ แรงจูงใจในการเลือกตั้งมากกว่าแม้ในชั่วขณะที่แรงจูงใจนั้นแยกทางกันกับผลประโยชน์ในระยะยาวของประเทศตนเอง และในระยะหลายปีที่ผ่านมาผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจำนวนมากก็หันไปเห็น ด้วยกับกระแส Populism ที่ปฏิเสธโลกาภิวัฒน์และระเบียบโลกแบบเสรี
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำทางธุรกิจและตลาดหุ้นซึ่งน่าจะช่วยกันเหยียบเบรกกระแสคลั่ง Populism กลับไป ให้รางวัลตอบแทนด้วยข้อเสนอที่ให้ลดภาษีต่อนักธุรกิจอันไปเพื่มค่าใช้จ่ายในภาครัฐมากขึ้นอีกซึ่ง เป็นการกระทำที่สายตาสั้น การหยิบฉวยเอาผลประโยชน์จากโลกาภิวัฒน์มากขึ้นในขณะที่ผลประ โยชน์ของชนชั้นกลางและชนชั้นคนงานเสียไปก็ยิ่งเป็นการทำลายการสนับสนุนทางการเมืองที่มี ต่อการสร้างบูรณาการของสายการผลิตเชิงอุปทานและแรงงานของผู้อพยพย้ายถิ่นอันเป็นสิ่งที่ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต้องพึ่งพาอยู่ จุดยืนเช่นนี้ทำให้นึกถึงวิธีการที่ชนชั้นสูงในฝรั่งเศสใน ศตวรรษที่สิบแปดทำโดยปฏิเสธที่จะจ่ายภาษีในขณะที่เพลิดเพลินกับการผจญภัยทางการทหารใน ต่างประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาเอาตัวรอดไปได้หลายปีจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ชนชั้น นำในทุกวันนี้กำลังเสี่ยงกับความผิดพลาดในแบบเดียวกัน
ผู้เชี่ยวชาญก็ควรจะมีส่วนรับการตำหนิติเตียนด้วยจากการที่สนับสนุนให้ระเบียบโลกแบบเสรีเดิน ไปสู่ความผิดพลาด ผู้กำหนดนโยบายทำตามข้อเสนอทางวิชาการที่รวมถึงการสร้างสถาบันระหว่าง ประเทศเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกัน แต่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยอคติและนักวิชาการก็ประเมิน ค่าความเสี่ยงต่ำไป พวกบรรษัททางการเงินและบรรษัทธุรกิจใหญ่ๆทั้งหลายได้รับอภิสิทธิ์ภายใน สถาบันแห่งระเบียบโลกที่เสรีซึ่งให้ความสนใจต่อผลประโยชน์ของคนงานน้อยมาก กฎของ WTO เน้นที่การเปิดตลาดกว้างและไม่สนใจการส่งเสริมมาตรการที่เป็นเบาะรองรับผลเสียจากการเปิด ตลาดต่อผู้ที่ด้อยโอกาสโดยเฉพาะคนงานในโรงงานภาคการผลิตแบบเก่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว
เดี๋ยวมาต่อเนื้อความกันครับ
ทำไมกระแส Populism จึงกำลังจะครองโลก ฤาเสรีนิยมกำลังจะสูญพันธุ์?
ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี
ปี 2016 เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกอย่างคาดไม่ถึง หลังจากที่เกิดปรากฏการณ์ Brexit ที่ สหราชอาณาจักรและชัยชนะของนายโดนัล ทรัมป์ในการเลือก ตั้งและกลายเป็นประธานาธิบดี สหรัฐคนปัจจุบัน โลกเสรีนิยมก็ดูเหมือนจะปั่นป่วนไปทั่วทั้งในทางการเมือง และโดยเฉพาะในทาง ความคิด กระแสการเมืองในโลกตะวันตกเรื่องการเหยียดผิว การต่อต้านผู้อพยพต่างชาติ และต้าน คนมุสลิมดูเหมือนจะแพร่หลายไปทั่วอย่างรวดเร็วด้วย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือการแพร่แนวคิดการ ต่อต้านความร่วมมือระหว่างประเทศแบบพหุพาคี การต่อต้านการเปิดเสรีทางการค้า และการลง ทุนข้ามชาติ การปฏิเสธข้อตกลงในการค้า ในทางเศรษฐกิจและปฏิเสธการสร้างพันธมิตรทางการ ทหาร ในขณะเดียวกันก็เกิดความตึงเครียดทางการเมืองและการทหารไปทั่วโลกอันเกิดจากนโยบาย ขวาจัดชาตินิยมของประธานาธิบดีสหรัฐ ข้อสังเกตในที่นี้ก็คือ “ทรัมป์ไม่สำคัญเท่ากับลัทธิทรัมป์” (Trumpism) และสิ่งที่น่ากลัวกว่าคือแนวคิด Populism ที่อยู่เบื้องหลัง
อันที่จริงสิ่งที่เกิดขึ้นมีพลังที่สำคัญอยู่ที่แนวคิด Populism ในโลกตะวันตก ปรากฏการณ์ดังกล่าวแม้ นักรัฐศาสตร์ในตะวันตกเองก็มีข้อถกเถึยงกันว่าอะไรเกิดขึ้น เกิดปัญหาอะไรในสัญญาประชาคมที่ เป็นแกนกลางสำคัญในทฤษฏีของเสรีประชาธิปไตย ทำไมชนชั้นกลางและผู้ใช้แรงงานในสังคม ตะวันตกหันหลังให้สถาบันประชาธิปไตยและเสรีนิยม เมื่อเร็วๆนี้นักรัฐศาสตร์อเมริกันสองคนคือ Jeff D. Colgan และ Robert O. Keohane ได้เขียนบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจในวารสาร Foreign Affairs บทวิเคราะห์ดังกล่าวใช้การวิเคราะห์ทางรัฐศาสตร์ต่อปรากฏการณ์ Populism อย่างเป็นระบบที่สุด เท่าที่จะมีในเวลานี้
บทความดังกล่าวชื่อว่า “ระเบียบโลกแบบเสรีถูกโกง: จะซ่อมมันเดี๋ยวนี้หรือจะดูมันสิ้นสลายไป” (The Liberal Order Is Rigged: Fix It Now or Watch It Wither) การวิเคราะห์ดังกล่าวน่าสนใจ สำหรับเหตุการณ์ปัจจุบันเพราะนักวิชาการทางรัฐศาสตร์อเมริกันเองเป็นผู้ที่สนับสนุนอย่างแข็งขัน ต่อระบบความร่วมมือแบบพหุภาคีและความเข้มแข็งของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อแก้ปัญหา ความขัดแย้ง สนับสนุนความเจริญทางเศรษฐกิจและการสร้างสันติภาพในโลกซึ่งจะย้อนกลับมา สร้างความสุขและความยั่งยืนของสถาบันประชาธิปไตยในประเทศ แต่ระบบสากลดังกล่าวตอน นี้กลับถูกประณามว่าโกงและฉ้อฉลจากชนชั้นล่างในประเทศตนเองและโดยนักการเมืองแนว Populism สิ่งที่จะวิเคราะห์ต่อไปในบทความนี้เป็นการสรุปความคิดจากการวิเคราะห์ของนัก รัฐศาสตร์ดังกล่าวโดยผู้เขียนเองเพิ่มเติมตัวอย่างการวิเคราะห์ในบางส่วนเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น
หมุดหมายที่สำคัญของคำว่า Populism ก็คือความเชื่อที่ว่าในทุกประเทศจะมีประชาชนดั้งเดิมที่แท้ จริงซึ่งเป็นเหยื่อจากการสมคบคิดกันระหว่างกองกำลังของต่างประเทศและชนชั้นนำในประเทศที่ เห็นแก่ผลประโยชน์ตนเอง ผู้นำที่เชื่อเรื่อง Populism นี้มักจะอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนประชาชนที่ แท้จริงเหล่านี้และเขาจะต้องพยายามบั่นทอนกำลังหรือทำลายสถาบันต่างๆเช่นรัฐสภา ศาลยุติธรรม และสื่อมวลชนและทำลายกรอบกฏเกณฑ์ต่างๆที่มาจากภายนอกประเทศเพื่อที่จะปกป้องอำนาจ อธิปไตยแห่งชาติ
Populism จะมีหลายสีสรรตามอุดมการณ์ทางการเมือง Populism ในปีกฝ่ายซ้ายจะสู้กับคนรวยด้วย ความเชื่อเรื่องความเสมอภาพ ฝ่ายขวาก็ต้องการจะขจัดอุปสรรคความมั่งคั่งด้วยการเน้นที่การเจริญ เติบโตในทางเศรษฐกิจ น่าแปลกที่ว่าถึงจุดหนึ่งฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัดมากลับมามีความเห็นตรงกัน ในฝรั่งเศสผู้สมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีฝ่ายขวาจัดและซ้ายจัดกลับสนับสนุนให้มีการแยกตัวออก จากอียูเหมือนกัน อย่างไรก็ดี จุดเด่นที่สำคัญของ Populism คือศรัทธาในตัวผู้นำที่เข้มแข็งและไม่ ชอบการไปจำกัดอำนาจอธิปไตยของชาติ ไม่ชอบสถาบันการเมืองต่างๆที่มีอำนาจ
สถาบันเหล่านั้นก็คือตัวแสดงบทบาทที่สำคัญในการจัดระเบียบของโลกเสรี ตัวอย่างเช่น องค์การ สหประชาชาติ (UN) ประชาคมทางเศรษฐกิจยุโรป (EU) องค์กรการค้าโลก (World Trade Organization-WTO) และกลุ่มพันธมิตรทางการทหารเช่น NATO ระเบียบโลกได้ถูกสร้างขึ้นโดย การนำของวอชิงตันโดยผ่านสถาบันเหล่านี้ทำให้เกิดกลุ่มความร่วมมือหลายฝ่ายในทางการเมือง ระหว่างประเทศในประเด็นที่สำคัญตั้งแต่เรื่องความมั่นคงไปจนถึงการค้าและการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ
นักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่านับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมาระเบียบโลกแบบเสรีได้ ช่วยสร้างสันติภาพระหว่างมหาอำนาจ เสถียรภาพนี้ทำให้มีการกีดกันไม่ให้เยอรมันนี ญี่ปุ่น ซาอุดิ อารเบียและเกาหลีใต้ไม่ให้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
นักรัฐศาสตร์ยังเชื่อว่าการสร้างสันติภาพของระเบียบโลกแบบเสรีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่าง มาก ผลที่ตามมาก็คือระเบียบดังกล่าวช่วยทำให้โลกที่กำลังพัฒนามีความก้าวหน้าประชากรโลก จำนวนนับเป็นพันล้านคนก้าวพ้นความยากจนและเกิดชนชั้นกลางใหม่ขึ้นจำนวนมากมาย แต่ใน ขณะที่ระเบียบโลกแบบนี้ขยายตัวและประสบความสำเร็จ สถาบันในประเทศของตัวเองก็กลับหลุด ขาดการเชื่อมต่อกับประชาชนในประเทศซึ่งเป็นผู้สร้างระเบียบนี้ขึ้นมา
นับตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1980 ผลลัพธ์ของวาระนโยบายเศรษฐกิจแบบลัทธิเสรีนิยมใหม่ได้บั่นทอน สัญญาประชาคมซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาเคยเป็นหลักประกันและตัวสนับสนุนระเบียบเสรีอันนี้ ประชา ชนผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งที่เป็นชนชั้นคนงานและชนชั้นกลางในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และที่อื่นๆเริ่มจะเชื่อว่าระบบกำลังถูกโกงและฉ้อฉล--ด้วยข้ออ้างที่น่ารับฟังไม่น้อย
นักวิชาการที่วิเคราะห์เรื่องโลกาภิวัฒน์ ระเบียบโลกแบบเสรี และเชิดชูส่งเสริมระบบนี้ก็มีส่วนรับ ผิดชอบต่อการขยายตัวของ Populism ไปด้วย เพราะไม่ได้ให้ความสนใจต่อการที่ระบบทุนนิยมฉวย โอกาสจี้เอาโลกาภิวัฒน์เป็นตัวประกัน ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจได้ออกแบบสถาบันระหว่างประเทศ เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ตัวเองและสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเขาเองกับรัฐบาล แต่ ทว่าประชาชนที่เป็นคนธรรมดาสามัญกลับถูกทอดทิ้งและพากันโกรธเคืองกับระบบ
ในปี 2016 รัฐสองรัฐที่เป็นตัวแสดงหลักในการสร้างระเบียบโลกแบบเสรีขึ้นมาคือ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรกำลังจะหันหลังให้มัน นั่นก็คือชัยชนะของ Brexit และ Trump ปรากฏการณ์ ทั้งสองสะท้อนให้เห็น”การล่มสลายของสัญญาประชาคมที่จุดแกนกลางของเสรีประชาธิปไตย” กลุ่มคนที่ได้ดีในสังคมตลาดได้เคยสัญญาว่าผู้เสียเปรียบจากพลังของตลาดจะไม่ตกหล่นไปไกลจาก ตนเอง แต่ที่จริงพวกเขาตกไปอยู่ ไกลมาก ในระหว่างปี 1974 และ 2015 รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน อเมริกันที่ไม่จบชั้นมัธยมตกต่ำลงถึงร้อยละ 20 แม้แต่พวกที่จบมัธยมปลายแต่ไม่ได้เรียนจบระดับ มหาวิทยาลัยมีรายได้เฉลี่ยครัวเรือนตกลงมากถึงร้อยละ 24 แต่พวกที่จบมหาวิทยาลัยมีรายได้เฉลี่ย สูงขึ้น ในครัวเรือนอเมริกันทั้งหมดรายได้เฉลี่ยจะสูงขึ้นร้อยละ 17 ดังนั้นในภาพรวมคนที่จบการ ศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจะมีรายได้สูงกว่า
นักรัฐศาสตร์ชื่อโรเบิร์ต พัทนั่มและมากาเร็ต แวร์ พบว่าแนวโน้มดังกล่าวจะทำให้เกิดสภาพที่คน อเมริกันอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน คนที่มีฐานะดีจะไม่มีที่อยู่อาศัยใกล้กับคนจน และไม่มีปฏิสัมพันธ์ กันในสถาบันสาธารณะอย่างที่เคยทำ การแยกกันอยู่ได้บั่นทอนความเป็นเอกภาพทางสังคม แต่ชน ชั้นนำที่มีความคิดสากลนิยมหลายคนคิดว่าความมีเอกภาพทางสังคมนั้นไม่สำคัญสำหรับประชาธิป ไตยที่ปฏิบัติหน้าที่ดีอยู่แล้ว
ชนชั้นนำได้ฉวยประโยชน์จากระเบียบโลกแบบเสรีทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจในหลายทศวรรษที่ผ่านมาโดยไม่ได้แบ่งรายได้และความมั่งคั่งให้คนชั้นกลางและคนชั้นล่าง คนอเมริกันที่ร่ำรวยและมีการ ศึกษาสูงพยายามผลักดันให้มีนโยบายภาษีอัตราถดถอย นโยบายสร้างข้อตกลงทางการค้าและการ ลงทุนที่ส่งเสริมการจัดจ้างคนภายนอกที่เป็นบริษัทต่างประเทศ และลดการให้งบประมาณแก่มหา วิทยาลัยของรัฐ (ทำให้เป็นมหาวิทยาลัยในกำกับโดยลดงบประมาณลง) ผลของนโยบายดังกล่าวได้ ทำลายสิ่งที่เรียกว่าลัทธิเสรีนิยมที่ผูกพันกับสังคม (Embedded Liberalism) อันหมายความถึง ระเบียบโลกแบบเสรีที่สร้างด้วยสังคมแห่งตลาดเสรีได้แต่ก็ยังรักษารัฐสวัสดิการและนโยบายตลาด แรงงานเอาไว้ซึ่งจะฝึกอบรมให้การศึกษาใหม่แก่แรงงานที่มีทักษะแบบเก่า และชดเชยเยียวยาให้กับ ผู้ที่เสียงานให้กับการเปิดเสรีทางการค้าและยังให้การรับรองฐานะให้แก่พลเมืองทุกคนแม้กับผู้ที่ไม่ มีประสิทธิผลในทางเศรษฐกิจ
พวกชนชั้นนำก็ผลักดันและสนับสนุนมุมมองดังกล่าวแต่เพียงแค่ครึ่งเดียวคือตลาดเสรี การเปิดชาย แดนและการร่วมมือทางเศรษฐกิจหลายฝ่าย แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1970 และ 1980 พวกเขาก็เริ่มละ ทิ้งส่วนประกอบอื่นๆของแนวคิดเสรีนิยมเพื่อสังคม ซึ่งก็คือการมีตาข่ายนิรภัยทางสังคมที่แข็งแรง สำหรับผู้ที่ดิ้นรนต่อสู้ชีวิต การไร้สมดุลดังกล่าวบ่อนทำลายการสนับสนุนจากภายในประเทศต่อ ตลาดเสรีในโลก การสร้างพันธมิตรทางการทหารและสิ่งอื่นๆอีกมากมาย
การเช็คบิลเก่าต่อปัญหาการล่มสลายของสัญญาประชาคมตามมาถึงกำหนดชำระหนี้ในปี 2016 นี้ เองที่ทั้งสองฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก กระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังไม่ให้ความ สำคัญต่อภัยคุกคามที่มาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งมีผลต่อระเบียบโลกแบบเสรีนี้ บางคน โต้แย้งว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการบูรณาการในโลกมีมากจนล้นเกินไปกว่าที่รัฐบาลแห่ง ชาติจะหาทางย้อนกลับไปสู่ลัทธิเสรีนิยมไม่ว่าจะมีการเล่นโวหารในการรณรงค์หาเสียงหรือกระแสทัศนะของ Populism จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่านักการเมืองก็มักจะสนองตอบต่อ แรงจูงใจในการเลือกตั้งมากกว่าแม้ในชั่วขณะที่แรงจูงใจนั้นแยกทางกันกับผลประโยชน์ในระยะยาวของประเทศตนเอง และในระยะหลายปีที่ผ่านมาผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจำนวนมากก็หันไปเห็น ด้วยกับกระแส Populism ที่ปฏิเสธโลกาภิวัฒน์และระเบียบโลกแบบเสรี
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำทางธุรกิจและตลาดหุ้นซึ่งน่าจะช่วยกันเหยียบเบรกกระแสคลั่ง Populism กลับไป ให้รางวัลตอบแทนด้วยข้อเสนอที่ให้ลดภาษีต่อนักธุรกิจอันไปเพื่มค่าใช้จ่ายในภาครัฐมากขึ้นอีกซึ่ง เป็นการกระทำที่สายตาสั้น การหยิบฉวยเอาผลประโยชน์จากโลกาภิวัฒน์มากขึ้นในขณะที่ผลประ โยชน์ของชนชั้นกลางและชนชั้นคนงานเสียไปก็ยิ่งเป็นการทำลายการสนับสนุนทางการเมืองที่มี ต่อการสร้างบูรณาการของสายการผลิตเชิงอุปทานและแรงงานของผู้อพยพย้ายถิ่นอันเป็นสิ่งที่ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต้องพึ่งพาอยู่ จุดยืนเช่นนี้ทำให้นึกถึงวิธีการที่ชนชั้นสูงในฝรั่งเศสใน ศตวรรษที่สิบแปดทำโดยปฏิเสธที่จะจ่ายภาษีในขณะที่เพลิดเพลินกับการผจญภัยทางการทหารใน ต่างประเทศซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาเอาตัวรอดไปได้หลายปีจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส ชนชั้น นำในทุกวันนี้กำลังเสี่ยงกับความผิดพลาดในแบบเดียวกัน
ผู้เชี่ยวชาญก็ควรจะมีส่วนรับการตำหนิติเตียนด้วยจากการที่สนับสนุนให้ระเบียบโลกแบบเสรีเดิน ไปสู่ความผิดพลาด ผู้กำหนดนโยบายทำตามข้อเสนอทางวิชาการที่รวมถึงการสร้างสถาบันระหว่าง ประเทศเพื่อส่งเสริมความร่วมมือกัน แต่พวกเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยอคติและนักวิชาการก็ประเมิน ค่าความเสี่ยงต่ำไป พวกบรรษัททางการเงินและบรรษัทธุรกิจใหญ่ๆทั้งหลายได้รับอภิสิทธิ์ภายใน สถาบันแห่งระเบียบโลกที่เสรีซึ่งให้ความสนใจต่อผลประโยชน์ของคนงานน้อยมาก กฎของ WTO เน้นที่การเปิดตลาดกว้างและไม่สนใจการส่งเสริมมาตรการที่เป็นเบาะรองรับผลเสียจากการเปิด ตลาดต่อผู้ที่ด้อยโอกาสโดยเฉพาะคนงานในโรงงานภาคการผลิตแบบเก่าในประเทศที่พัฒนาแล้ว
เดี๋ยวมาต่อเนื้อความกันครับ