.....ผมเกลียดแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ ที่ว่า
มนุษย์คือสัตว์เศรษฐกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดในทางเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจและการเมืองที่ต้องเกี่ยวข้องและพึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ว่านี้ ได้แก่ การผลิต การบริโภคและการแลกเปลี่ยนหรือการกระจายผลผลิตในรูปแบบต่างๆ มนุษย์ในแง่นี้จึงเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมือง เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันและต่อสู้ช่วงชิงเพื่อจัดสรรและเข้าถึงอำนาจในการจัดการทรัพยากรต่างๆ ในสังคม เช่น โภคทรัพย์และเกียรติยศชื่อเสียงในรูปแบบต่างๆ
แต่ครั้นผมจะไปเถียงแนวคิดนี้ก็ใช่ที่ เพราะเมื่อมองสภาพความเป็นจริงในสังคมไทย ก็ล้วนเป็นเช่นนั้น แตกต่างกันบ้างก็ตรงที่
มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่ได้ใช้อภิสิทธิ์จากตำแหน่งหน้าที่ เอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นในสังคมเสมอมา และเมื่อใดที่สภาพเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ ความเท่าเทียม ที่ทุกคนในสังคมสามารถแข่งขันกันช่วงชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียมกัน
คนกลุ่มนี้จะไม่ยอมรับ และหาวิธีกดบุคคลอื่นให้จมลงและดันตัวเองขึ้นไปสู่อำนาจการปกครองเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นร่ำไป
ในจุดๆนี้ ผมนึกถึงการเลิกไพร่ เพราะไพร่ในอดีต ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ มีเพียงแต่ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเท่านั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
สาเหตุการเลิกไพร่ รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้มีการยกเลิกระบบไพร่ มีสาเหตุเนื่องจาก
1 การควบคุมไพร่ที่มีมาแต่เดิมถึงช่วงที่ไร้ประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถควบคุมคนได้ ในขณะที่มูลนายอื่นๆได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากไพร่ และใช้ไพร่เป็นอำนาจทางการเมือง
2 ไพร่บางพวกได้รับกดข่มขี่เหงจากมูลนายก็หนีเข้าป่า
3 การเกิดวิกฤตการณ์วังหน้า พ.ศ.2417 แสดงให้เห็นว่ากำลังของไพร่พลที่ถูกฝึกหัดตามแบบทหารตะวันตกสามารถสร้างความไม่มั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ได้
4 จากการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง เป็นผลให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตและการค้าโดยเฉพาะข้าว ทำให้ความต้องการแรงงานเพื่อใช้ในการทำนาสูงขึ้น ก่อให้เกิดการอพยพของแรงงานจากต่างถิ่นเข้าไปทำงานในเขตเศรษฐกิจ
5 รัฐหรือหลวง มีความจำเป็นที่ต้องการใช้แรงงานเกณฑ์จากไพร่ลดความต้องการลง
6 เพื่อลดอิทธิพลอำนาจของมูลนายหรือขุนนาง
7 การคุมคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้รัฐบาลต้องคำนึงถึงทัศนะความคิดเห็นของชาติตะวันตก เกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงานกับการสักเลกเป็นเรื่องที่เลวร้าย ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องเห็นความจำเป็นที่ต้องมีกองกำลังทหารตามแบบตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันประเทศชาติ
ซึ่งจากสาเหตุทั้ง 7 ข้อในการเลิกไพร่ จะเห็นได้ว่า 3 ใน 7 ข้อนั้น ล้นเกล้าเหนือหัวรัชกาลที่ 5 ทรง
ต้องการลดอำนาจของขุนนางราชสำนัก ที่อาศัยศักดินาหรือฐานะทางสังคมที่เหนือกว่า กดขี่และบังคับให้ไพร่(ประชาชน)สั่งสมความร่ำรวยหรืออำนาจให้กับตนเอง
รู้จักกับไพร่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ไพร่ หมายถึง ราษฎรสามัญชนทั่วไป มีทั้งหญิงและชาย มีศักดินาระหว่าง 10-25 ไร่ แต่ถ้าได้เข้าไปรับราชการได้เป็นขุนนางชั้นผู้น้อย เช่น ขุน หมื่น เป็นต้น จะถือศักดินา 25-400 ไร่
แต่ระบบไพร่ที่สืบทอดในสังคมไทยมายาวนาน ใช่จะได้การยอมรับจากทุกฝ่ายในสังคม เช่น หมอสมิธ บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไซแอมรีโพซิตอรี ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เขียนบทความตำหนิรัฐบาลสยามอย่างรุนแรง ด้วยเห็นว่า "ในบรรดาประเทศเจริญทั้งหลาย พระเจ้าแผ่นดินก็ดี พวกขุนนางก็ดี ไม่มีสิทธิ์เกณฑ์แรงราษฎรผู้เสียภาษีอากรโดยไม่ให้อะไรตอบแทน" เพราะไพร่รับราชการโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ซ้ำยังต้องออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างในระหว่างการรับราชการนั้นเองอีกด้วยต่างหาก เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีพวก "คนไทยหนุ่ม" ที่อยากให้เลิกขนบไพร่ ราษฎรบางส่วนแสดงความคัดค้านที่รัฐบาลสักเลกในฤดูเก็บเกี่ยวข้าว เพราะทำให้การทำนาได้รับความเสียหาย
1.ฐานะของไพร่ในสังคมไทย ไพร่ทุกคนต้องเข้าสังกัดมูลนาย เพื่อแลกกับการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายและคนที่เป็นไพร่ จะไม่มีเงินเดือน
2.หน้าที่ของไพร่ ไพร่จะต้องเข้าเวรปีละ 6 เดือน ไพร่ที่เป็นแรงงาน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มีอายุระหว่าง 20-70 ปี เมื่อบ้านเมืองเกิดสึกสงคราม ไพร่เหล่านี้ต้องออกรบ
3.ประเภทของไพร่ แบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่ ไพร่หลวง ไพร่สม และไพร่ส่วย
3.1 ไพร่หลวง คือไพร่ในสังกัดของพระมหากษัตริย์โดยตรง แต่จะทรงแจกจ่ายไปยังกรมหน่วยงานราชการต่างๆ ไพร่หลวงมีฐานะลำบากมากที่สุด เพราะต้องทำงานหนักกว่าไพร่อื่นๆ และต้องออกค่าใช้จ่ายกินอยู่ เดินทางเองทั้งหมดในระหว่างเข้าเวรไพร่
3.2 ไพร่สม คือเป็นไพร่ในสังกัดของเจ้านาย ขุนนาง มีหน้าที่รับใช้เจ้านายของตน มีพันธะที่ต้องเข้าเวรรับราชการด้วย แต่ภาระน้อยกว่าไพร่หลวง คือเพียงปีละ 1 เดือน การปกครองควบคุมไพร่สม ถูกบังคับใช้ด้วย พระราชกำหนดสักเลก (การสักเลก หมายถึง เลก หมายถึง ชายฉกรรจ์ที่มีความสูงเสมอไหล่ 2.5 ศอกขึ้นไป จนถึงอายุ 70 ปี การสักคือการเอาเหล็กแหลม แทงตามเส้นหมึกที่เขียนไว้เป็นตัวอักษร บอกชื่อเมือง ชื่อมูลนายที่สังกัด โดยสักที่ข้อมือด้านหน้า หรือด้านหลังมือ ทั้งนี้การสักเลกเป็นการควบคุมไพร่พลให้มูลนายดูแล)
3.3 ไพร่ส่วย คือไพร่หลวงที่ได้รับการยกเว้นจากการไม่ต้องเข้าเวรรับราชการ แต่ต้องส่งเงินหรือสิ่งของมาทดแทน เรียกว่า เงินค่าราชการ (ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เรียกว่า เงินรัชชูปการ)
4. ความสำคัญของไพร่ที่มีต่อสังคมไทยในสมัยก่อน
4.1 เป็นแรงงานด้านโยธาให้แก่ราชการ
4.2 เป็นฐานอำนาจทางการเมืองให้มูลนายของตนเอง
4.3 เป็นกำลังในการผลิตภาคการเกษตรกรรม
4.4 เป็นกำลังในการรบยามบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม
5. ขั้นตอนการเลิกไพร่
5.1 การแก้ไขปรับปรุงระเบียบการบริหารในกรมพระสุรัสวดีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา รัชกาลที่ 5 ทรงแก้ไขโดยยกฐานะกรมพระสุรัสวดีให้มีความเท่าเทียมกับกรมสำคัญอื่นๆ
5.2 การฟื้นฟูกรมทหารหน้า รัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการใน พ.ศ. 2423 ได้มีการประกาศรับสมัครคนมือขาว (คนที่ไม่ได้สักเลก) หรือไพร่ที่ไม่ได้สังกัดมูลนายเข้ามาเป็นทหาร กรมทหารหน้ามีความก้าวหน้ามากและได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดกองทัพประจำการ
5.3 การควบคุมคนให้ขึ้นสังกัดตามท้องที่การทำสำมะโนครัว
5.4 ใน พ.ศ. 2444 ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติเก็บเงินค่าราชการ เพื่อเป็นกฎหมายแน่นอนว่าชายฉกรรจ์ที่มีอายุ 18-60 ปีต้องเสียค่าราชการหรือเงินรัชชูปการ ไม่เกินปีละ 6 บาท
5.5 พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุ 18 - 60 ปี ต้องเป็นทหารและผู้ที่ได้ผ่านการคัดเลือกต้องรับราชการ 2 ปี และได้รับการฝึกฝนทหารแบบใหม่มีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ดูแล จึงถือได้ว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการยกเลิกการควบคุมระบบไพร่แบบเดิม
เนื้อหายาว จึงต้องใส่สปอย เพราะรู้ว่าบางคนไม่ชอบอ่านอะไรที่ยาวๆ
การยกเลิกไพร่เป็นจุดเริ่มต้นของ สิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันภายในสังคม และพัฒนาไปสู่ระบอบการปกครอง ตามที่นักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ได้นำเสนอแนวคิดที่สำคัญในการอธิบายธรรมชาติของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเมือง
สำนักคิดที่สำคัญได้แก่ เสรีนิยม (Liberalism) กับสังคมนิยม (socialism) นักทฤษฎีในสำนักเสรีนิยมและสังคมนิยมมีความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ตรงกัน เช่น มนุษย์มีจิตที่ว่างเปล่ามาแต่กำเนิด จริยธรรม ความรู้และประสบการณ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ภายหลัง ทุกคนมีสิทธิตามธรรมชาติหรือสิทธิในชีวิต อิสรภาพและทรัพย์สิน
แต่เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมนุษย์ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติบางอย่างแล้วมอบอำนาจให้กับรัฐเป็นผู้จัดการ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นรักตัวเอง เห็นแก่ตัว ต้องการที่จะแสวงหาความสุขส่วนตัว
อย่างไรก็ตามทั้งสองสำนักมีความแตกต่างกันอย่างมากในการนำเสนอวิธีการที่จะจัดการระบบระเบียบต่างๆ ในทางเศรษฐกิจและการเมือง
เพราะฝ่ายเสรีนิยมมอบอำนาจการปกครองให้กับประชาชนทุกชนชั้นในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน
แต่ฝ่ายสังคมนิยมรวมอำนาจการปกครองไว้กับชนชั้นผู้นำเพียงกลุ่มเดียว
เมื่อลองมองย้อนอดีตไปดูแล้ว ก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยกเลิกระบบไพร่ ทาส ให้ประชาชนทุกคน มีสิทธิ เสรีภาพในชีวิตของตนเอง จนในที่สุดนำมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อมามองร่างรัฐธรรมนูญในปัจจุบันที่เรื่อง
สิทธิเสรีภาพของประชาชนหายไป เหลือทิ้งไว้แต่ “หน้าที่” ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งชนชั้นผู้นำ จึงอดคิดไม่ได้ว่า นี้เรากำลังจะกลับไปเป็น
สัตว์เศรษฐกิจ ที่สร้างความมั่งคั่งและสุขสบายให้กับชนชั้นเจ้านายฝ่ายปกครอง เหมือนลักษณะที่ “
ไพร่” กระทำในครั้งอดีตอีกกระนั้นหรือ
ไพร่ในอดีต คือราษฎรที่ต้องใช้แรงกายทำงานถวายเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกขุนนางฉกฉวยใช้เป็นฐานสร้างอำนาจหาผลประโยชน์เข้าตนเอง จึงต้องถูกยกเลิกไป
แต่ไพร่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบัน คือประชาชนที่ต้องยอมสละรายได้บางส่วนเพื่อจ้าง “เจ้านาย” มาออกคำสั่ง และต้องปฏิบัติตาม “หน้าที่” ที่เจ้านายเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างไม่มีสิทธิโต้แย้งหรือแสดงความเห็นใดๆทั้งสิ้น
สองสถานะไพร่ในสองช่วงเวลาที่ห่างกันเป็นร้อยปี ดูแล้วไม่แตกต่างกันเท่าไรเลยนะครับ ว่าไหม..?
ซึ่งก็ขอระบายความรู้สึกส่วนตัวสักนิดว่า ข้าราชการ คือ บุคคลที่ทำงานให้ประชาชน เพื่อตอบแทนรายได้ที่ได้รับจากเงินภาษีของประชาชน พูดง่ายๆก็คือ “ลูกจ้าง” มิใช่ “เจ้านาย” กรุณาทำความเข้าใจกับสถานะของตัวเองด้วย
*ป.ล. ไม่ได้เข้ามาร่วมแสดงความเห็นที่นี้เสียนาน แต่ก็อ่านตลอดในบางครั้งที่มีเวลา บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ จากที่เคยมีกะทู้น่าอ่านมากมายเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้เหลืออยู่น้อยจนน่าใจหาย เลยขออนุญาติกลับมาแสดงความคิดเห็นในมุมที่แตกต่างจากปัจจุบันออกไปบ้าง เติมสาระความรู้ลงไปบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ และก็ขอต้องอภัยที่มิได้ทักทายใครนะครับ ยอมรับครับว่าจำใครไม่ค่อยได้เพราะแปรสภาพกันไปเป็นตัวเลขกันหมดแล้ว
เจาะเวลาหาอดีต "ไพร่"(สาระประวัติศาสตร์ และการเมือง)
มนุษย์คือสัตว์เศรษฐกิจที่มุ่งแสวงหาผลกำไรสูงสุดในทางเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจและการเมืองที่ต้องเกี่ยวข้องและพึ่งพากิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมืองอยู่ตลอดเวลา กิจกรรมพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ว่านี้ ได้แก่ การผลิต การบริโภคและการแลกเปลี่ยนหรือการกระจายผลผลิตในรูปแบบต่างๆ มนุษย์ในแง่นี้จึงเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเมือง เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขันและต่อสู้ช่วงชิงเพื่อจัดสรรและเข้าถึงอำนาจในการจัดการทรัพยากรต่างๆ ในสังคม เช่น โภคทรัพย์และเกียรติยศชื่อเสียงในรูปแบบต่างๆ
แต่ครั้นผมจะไปเถียงแนวคิดนี้ก็ใช่ที่ เพราะเมื่อมองสภาพความเป็นจริงในสังคมไทย ก็ล้วนเป็นเช่นนั้น แตกต่างกันบ้างก็ตรงที่ มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่ได้ใช้อภิสิทธิ์จากตำแหน่งหน้าที่ เอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นในสังคมเสมอมา และเมื่อใดที่สภาพเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ ความเท่าเทียม ที่ทุกคนในสังคมสามารถแข่งขันกันช่วงชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างเท่าเทียมกัน คนกลุ่มนี้จะไม่ยอมรับ และหาวิธีกดบุคคลอื่นให้จมลงและดันตัวเองขึ้นไปสู่อำนาจการปกครองเพื่อเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นร่ำไป
ในจุดๆนี้ ผมนึกถึงการเลิกไพร่ เพราะไพร่ในอดีต ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ มีเพียงแต่ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเท่านั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
สาเหตุการเลิกไพร่ รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้มีการยกเลิกระบบไพร่ มีสาเหตุเนื่องจาก
1 การควบคุมไพร่ที่มีมาแต่เดิมถึงช่วงที่ไร้ประสิทธิภาพ พระมหากษัตริย์ ไม่สามารถควบคุมคนได้ ในขณะที่มูลนายอื่นๆได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากไพร่ และใช้ไพร่เป็นอำนาจทางการเมือง
2 ไพร่บางพวกได้รับกดข่มขี่เหงจากมูลนายก็หนีเข้าป่า
3 การเกิดวิกฤตการณ์วังหน้า พ.ศ.2417 แสดงให้เห็นว่ากำลังของไพร่พลที่ถูกฝึกหัดตามแบบทหารตะวันตกสามารถสร้างความไม่มั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์ได้
4 จากการทำสนธิสัญญาบาวริ่ง เป็นผลให้เกิดการขยายตัวทางการผลิตและการค้าโดยเฉพาะข้าว ทำให้ความต้องการแรงงานเพื่อใช้ในการทำนาสูงขึ้น ก่อให้เกิดการอพยพของแรงงานจากต่างถิ่นเข้าไปทำงานในเขตเศรษฐกิจ
5 รัฐหรือหลวง มีความจำเป็นที่ต้องการใช้แรงงานเกณฑ์จากไพร่ลดความต้องการลง
6 เพื่อลดอิทธิพลอำนาจของมูลนายหรือขุนนาง
7 การคุมคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้รัฐบาลต้องคำนึงถึงทัศนะความคิดเห็นของชาติตะวันตก เกี่ยวกับการเกณฑ์แรงงานกับการสักเลกเป็นเรื่องที่เลวร้าย ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็ต้องเห็นความจำเป็นที่ต้องมีกองกำลังทหารตามแบบตะวันตก เพื่อเป็นการป้องกันประเทศชาติ
ซึ่งจากสาเหตุทั้ง 7 ข้อในการเลิกไพร่ จะเห็นได้ว่า 3 ใน 7 ข้อนั้น ล้นเกล้าเหนือหัวรัชกาลที่ 5 ทรงต้องการลดอำนาจของขุนนางราชสำนัก ที่อาศัยศักดินาหรือฐานะทางสังคมที่เหนือกว่า กดขี่และบังคับให้ไพร่(ประชาชน)สั่งสมความร่ำรวยหรืออำนาจให้กับตนเอง
รู้จักกับไพร่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เนื้อหายาว จึงต้องใส่สปอย เพราะรู้ว่าบางคนไม่ชอบอ่านอะไรที่ยาวๆ
การยกเลิกไพร่เป็นจุดเริ่มต้นของ สิทธิ เสรีภาพ และความเท่าเทียมกันภายในสังคม และพัฒนาไปสู่ระบอบการปกครอง ตามที่นักทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ได้นำเสนอแนวคิดที่สำคัญในการอธิบายธรรมชาติของมนุษย์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและการเมือง
สำนักคิดที่สำคัญได้แก่ เสรีนิยม (Liberalism) กับสังคมนิยม (socialism) นักทฤษฎีในสำนักเสรีนิยมและสังคมนิยมมีความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์ตรงกัน เช่น มนุษย์มีจิตที่ว่างเปล่ามาแต่กำเนิด จริยธรรม ความรู้และประสบการณ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเรียนรู้ภายหลัง ทุกคนมีสิทธิตามธรรมชาติหรือสิทธิในชีวิต อิสรภาพและทรัพย์สิน แต่เมื่อมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มมนุษย์ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติบางอย่างแล้วมอบอำนาจให้กับรัฐเป็นผู้จัดการ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นรักตัวเอง เห็นแก่ตัว ต้องการที่จะแสวงหาความสุขส่วนตัว อย่างไรก็ตามทั้งสองสำนักมีความแตกต่างกันอย่างมากในการนำเสนอวิธีการที่จะจัดการระบบระเบียบต่างๆ ในทางเศรษฐกิจและการเมือง
เพราะฝ่ายเสรีนิยมมอบอำนาจการปกครองให้กับประชาชนทุกชนชั้นในสังคมอย่างเท่าเทียมกัน
แต่ฝ่ายสังคมนิยมรวมอำนาจการปกครองไว้กับชนชั้นผู้นำเพียงกลุ่มเดียว
เมื่อลองมองย้อนอดีตไปดูแล้ว ก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยกเลิกระบบไพร่ ทาส ให้ประชาชนทุกคน มีสิทธิ เสรีภาพในชีวิตของตนเอง จนในที่สุดนำมาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อมามองร่างรัฐธรรมนูญในปัจจุบันที่เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนหายไป เหลือทิ้งไว้แต่ “หน้าที่” ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งชนชั้นผู้นำ จึงอดคิดไม่ได้ว่า นี้เรากำลังจะกลับไปเป็น สัตว์เศรษฐกิจ ที่สร้างความมั่งคั่งและสุขสบายให้กับชนชั้นเจ้านายฝ่ายปกครอง เหมือนลักษณะที่ “ไพร่” กระทำในครั้งอดีตอีกกระนั้นหรือ
ไพร่ในอดีต คือราษฎรที่ต้องใช้แรงกายทำงานถวายเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับถูกขุนนางฉกฉวยใช้เป็นฐานสร้างอำนาจหาผลประโยชน์เข้าตนเอง จึงต้องถูกยกเลิกไป
แต่ไพร่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ในร่างรัฐธรรมนูญปัจจุบัน คือประชาชนที่ต้องยอมสละรายได้บางส่วนเพื่อจ้าง “เจ้านาย” มาออกคำสั่ง และต้องปฏิบัติตาม “หน้าที่” ที่เจ้านายเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างไม่มีสิทธิโต้แย้งหรือแสดงความเห็นใดๆทั้งสิ้น
สองสถานะไพร่ในสองช่วงเวลาที่ห่างกันเป็นร้อยปี ดูแล้วไม่แตกต่างกันเท่าไรเลยนะครับ ว่าไหม..?
ซึ่งก็ขอระบายความรู้สึกส่วนตัวสักนิดว่า ข้าราชการ คือ บุคคลที่ทำงานให้ประชาชน เพื่อตอบแทนรายได้ที่ได้รับจากเงินภาษีของประชาชน พูดง่ายๆก็คือ “ลูกจ้าง” มิใช่ “เจ้านาย” กรุณาทำความเข้าใจกับสถานะของตัวเองด้วย
*ป.ล. ไม่ได้เข้ามาร่วมแสดงความเห็นที่นี้เสียนาน แต่ก็อ่านตลอดในบางครั้งที่มีเวลา บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างเยอะ จากที่เคยมีกะทู้น่าอ่านมากมายเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้เหลืออยู่น้อยจนน่าใจหาย เลยขออนุญาติกลับมาแสดงความคิดเห็นในมุมที่แตกต่างจากปัจจุบันออกไปบ้าง เติมสาระความรู้ลงไปบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ และก็ขอต้องอภัยที่มิได้ทักทายใครนะครับ ยอมรับครับว่าจำใครไม่ค่อยได้เพราะแปรสภาพกันไปเป็นตัวเลขกันหมดแล้ว