มีหลายฎีกาที่วินิจฉัยว่า การชนในระยะกระชั้นชิด และไม่ใช่ความผิดของผู้ขับขี่
จึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความประมาทของจำเลย เท่าที่จำได้มีฎีกาเรื่องไม่ข้ามถนนบนสะพานลอย
ข้ามถนนตัดหน้ารถแบบกระชั้นชิด หรือ ขี่รถตัดหน้า..ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุสุดวิสัยทั้งสิ้น
จำเลยจึงมิได้กระทำโดยประมาท จึงไม่มีความผิด
ปล.จะพยายามหามาลงเพิ่มให้เรื่อยๆ ตอนนี้ลงอันนี้ไปก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7143/2544
ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถโดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ แล้วรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับได้เสียหลักล้มลงรถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับจึงได้แล่นทับผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแซงแล้วเสียหลักล้มลงอย่างกะทันหันหน้ารถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ เป็นระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยจะหยุดรถได้ทัน กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมิใช่เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2537
จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงทีและในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงัก และถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3950/2536
แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง แต่ทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับมีรอยห้ามล้อของรถยนต์ก่อนถึงจุดชนเป็นระยะทางประมาณ 6 เมตร ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้พยายามหยุดรถยนต์เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการชนกันขึ้น แต่สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยที่ 1จะหยุดรถได้ทัน กรณีจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ การที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันจึงหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535
ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2522
จำเลยขับรถหลบรถของ ผ. ที่ขับสวนล้ำเส้นทางมาในระยะกระชั้นชิด จึงบังคับรถไม่ได้ ไปชนรถของโจทก์ที่คนขับหลบรถออกนอกเขตถนนมา ดังนี้ ไม่ใช่จำเลยประมาทแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2514
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางข้างหน้าปลอดภัย ไม่มีรถสวนมานั้นย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้ บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยเป็นระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตามก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
*** อันนี้เป็นฎีกาเก่ามากๆ ฎีกาใหม่ๆก็ยังเดินตามแนววินิจฉัยในเรื่องแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง**
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2494
ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจลจึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 49 เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้ การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท
++ ฎีกาพวกนี้ลงไว้เพราะเป็นกรณีเหตุสุดวิสัย จึงมิใช่ความประมาทของจำเลย++
จึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ความประมาทของจำเลย เท่าที่จำได้มีฎีกาเรื่องไม่ข้ามถนนบนสะพานลอย
ข้ามถนนตัดหน้ารถแบบกระชั้นชิด หรือ ขี่รถตัดหน้า..ฯลฯ ทั้งหมดล้วนเป็นเหตุสุดวิสัยทั้งสิ้น
จำเลยจึงมิได้กระทำโดยประมาท จึงไม่มีความผิด
ปล.จะพยายามหามาลงเพิ่มให้เรื่อยๆ ตอนนี้ลงอันนี้ไปก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7143/2544
ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถโดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ แล้วรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับได้เสียหลักล้มลงรถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับจึงได้แล่นทับผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่รถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแซงแล้วเสียหลักล้มลงอย่างกะทันหันหน้ารถยนต์โดยสารประจำทางที่จำเลยขับห่าง 1 เมตรเศษ เป็นระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยจะหยุดรถได้ทัน กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงมิใช่เกิดจากความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2537
จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว แต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังเข้ามาทางช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิดทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงทีและในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้วกลับชะงัก และถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตายจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3950/2536
แม้จำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง แต่ทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับมีรอยห้ามล้อของรถยนต์ก่อนถึงจุดชนเป็นระยะทางประมาณ 6 เมตร ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้พยายามหยุดรถยนต์เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการชนกันขึ้น แต่สาเหตุที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับในระยะกระชั้นชิดจนเหลือวิสัยที่จำเลยที่ 1จะหยุดรถได้ทัน กรณีจึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่บุคคลในภาวะเช่นจำเลยที่ 1 ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้พ้นได้ การที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันจึงหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2731/2535
ขณะเกิดเหตุจำเลยลดความเร็วของรถลงเหลือประมาณ 25-30กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะเห็นว่าเป็นทางร่วมทางแยกและเห็นผู้ตายยืนอยู่บนถนนด้วย เหตุที่รถของจำเลยเฉี่ยวจำเลยเป็นเพราะขณะนั้นจำเลยมองไม่เห็นผู้ตาย เนื่องจากมีรถตู้ขับคู่มากับรถของจำเลยทางช่องทางที่ 3 ทางขวามือบังผู้ตายไว้ เมื่อผู้ตายหลบรถตู้คันดังกล่าวมาทางรถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด จำเลยจึงห้ามล้อกะทันหัน แต่รถไม่หยุดในทันที และเฉี่ยวผู้ตายทางขวาของรถเป็นเหตุให้ผู้ตายล้มลง พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เป็นเพราะความประมาทของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2522
จำเลยขับรถหลบรถของ ผ. ที่ขับสวนล้ำเส้นทางมาในระยะกระชั้นชิด จึงบังคับรถไม่ได้ ไปชนรถของโจทก์ที่คนขับหลบรถออกนอกเขตถนนมา ดังนี้ ไม่ใช่จำเลยประมาทแต่เกิดจากเหตุสุดวิสัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2514
จำเลยขับรถยนต์เบนไปทางขวาคร่อมกึ่งกลางถนน เพื่อจะหลบให้พ้นท้ายรถยนต์โดยสารซึ่งวิ่งสวนทางมาและเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจำเลยเพื่อจะเข้าซอยโดยจำเลยเห็นว่าทางข้างหน้าปลอดภัย ไม่มีรถสวนมานั้นย่อมอยู่ในวิสัยที่จำเลยกระทำได้ บังเอิญผู้ตายวิ่งโผล่พ้นท้ายรถยนต์โดยสารออกมาอยู่ห่างรถจำเลยเป็นระยะ 1 วานั้น เป็นระยะกระชั้นชิด รถจำเลยจึงชนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ว่าจุดที่ผู้ตายถูกรถยนต์จำเลยชนจะอยู่พ้นกึ่งกลางถนนไปเล็กน้อย ซึ่งปกติถือว่ามิใช่ทางวิ่งของรถจำเลยก็ตามก็ถือได้ว่าการที่จำเลยขับรถชนผู้ตายเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่อาจป้องกันได้
แม้จำเลยจะขับรถเร็วอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรก็ตาม ก็เป็นคนละเรื่องมิใช่เป็นเหตุโดยตรงที่ทำให้ผู้ตายถูกรถจำเลยชน ย่อมถือได้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานขับรถยนต์ชนผู้ตายโดยประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291
*** อันนี้เป็นฎีกาเก่ามากๆ ฎีกาใหม่ๆก็ยังเดินตามแนววินิจฉัยในเรื่องแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง**
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2494
ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจลจึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 49 เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้ การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท