หากว่าทุกจุดเริ่มต้นของการเดินทางมันเต็มไปด้วยความกลัว....
กลัวที่จะเจอเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา กลัวที่จะเจอเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด กลัวที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า กลัวที่เจอกับอันตรายต่างๆ
ความกลัวเหล่านี่คงเป็นเหมือนอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินออกไปเพื่อเริ่มทำในสิ่งที่อาจจะดีกว่าก็เป็นได้
เวียดนามอาจเป็นประเทศนึงที่หลายคนคิดว่าอันตรายและน่ากลัวแต่ถ้าเรากลัวเราก็คงอดที่จะไปสัมผัสความน่ารักของประเทศเล็กๆที่น่ารักก็เป็นได้
การเดินทางไปประเทศเวียดนาม สะดวกสบายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเนื่องด้วยมีสายการบินตรงจากกรุงเทพมหานครทุกวัน การเดินทางมีทั้งทางรถยนตร์และเครื่องบิน
ใช้เวลาบินจากกรุงเทพมหานครสู่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (อ่านว่ายังไงลองเข้าgoogle ดูนะครับ อ่านยากมากจริงๆ) กรุงโฮจิมินห์ประเทศเวียดนาม ประมาณ1ชั่วโมงกลับอีก30นาที โดยสายการบินนกแอร์ เครื่องดีเลย์ประมาณ20นาทีจากกำหนดการเดิม
การสาธิตการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบินก่อนเครื่องขึ้นจากท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับอาหารว่างบนเครื่องบินนั้นน่าจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจในการใช้เวลา(นาน)พอสมควรในการเปิดออก ผู้โดยสารบางคนถึงกับใช้วิธีตบถุงให้แตกออก ก็เป็นความแตกต่างของสายการบินนกแอร์ รวมแล้วก็แปลกดี ปริมาณอาหารว่างไม่มีทางกินอิ่มแน่นอนสำหรับใครที่บินไฟลท์เช้าควรรับประทานอาหารเช้าขึ้นเครื่องไปก่อน
เข้าเขตโฮจิมินห์แล้ว วันนี้ท่องฟ้าโปล่งโล่ง มองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน ภาพที่เห็นด้านหน้ามันทำให้เห็นว่า เวียดนามในวันนี้โตขึ้นเจริญขึ้นและพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับ10ปีที่แล้วที่เดินทางมา
hello vietnam!! ถึงแล้วที่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต
การเดินทางเข้าไปในตัวเมืองมีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นรถเมลล์ รถแท๊กซี่ และGrab bike (เวียดนามมีgrab bike ใช้แล้วนะ)
แต่สิ่งที่เวียดนามยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็คงเป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่ยังคงใช้งานมอเตอร์ไซต์กันเป็นจำนวนมากๆๆๆๆๆๆ
มากจริงๆครับมองไปทางไหนไม่มีทางที่ มองไม่เห็นมอเตอร์ไซต์ แต่การเดินข้ามถนนที่นี่เราเดินได้อย่างปลอดภัยนะครับ
เราเดินไปช้าๆไม่ต้องวิ่งเพราะถ้าวิ่งมอเตอร์ไซต์คงชนเราแน่นอน มอเตอร์ไซต์ที่นี่จะขับอ้อมตัวเราไปอย่างช้าๆ มั่นใจได้แน่นอนว่าปลอดภัย สำหรับใครที่คิดจะเช่ารถขับในเมืองคงเป็นรื่องยากมาก เพราะที่นี่ขับรถกันแบบวุ่นวายมาก
แถมที่เวียดนามมอเตอร์ไซต์สามารถขับบนฟุตบาทได้ ฟุตบาทที่โฮจิมินห์เรียกได้ว่าต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิงขอบฟุตบาทที่นี่ออกแบบมาอย่างโค้งมนตลอดแนว รถติดตรงไหนมอเตอร์ไซต์ก็ขึ้นไปขี่ได้เลย
แต่อีกหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าประทับใจเลยคือ
คนเวียดนามขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคทุกคนรวมถึงคนซ้อนท้าย
ร้านอาหารริมทางเท้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด อาหารfood street ในเวียดนามมีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเฝอ หรือขนมปังฝรั่งเศสใครพลาดเนี่ยเหมือนกับมาไม่ถึงเลยนะครับ
ชาวเวียดนามที่นี่มีเวลาพักผ่อนในช่วงเที่ยงประมาณ2ชั่วโมงคือตั้งแต่11.30-13.30น.แต่เริ่มงานเร็วกว่าบ้านเรารวมถึงเลิกงานช้ากว่าบ้านเรา
สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ใครมาเวียดนามไม่ควรพลาดชมก็คือโบสถ์นอร์ทเธอดาม
โบสถ์นอร์ทเธอดามตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งใน เวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์
สำหรับการเข้าชมโบสถ์ด้านในนั้นต้องมาพอดีเวลาสวดของชาวคริสต์ ในส่วนเวลาที่แน่นอนไม่ทราบเหมือนกันครับเพราะตอนที่ไปมัน ปิดอดเข้าไปดูด้านในเลย
การถ่ายรูปพรีเวดดิ้งในย่านนี้มีเยอะมากแต่ที่แปลกและไม่เหมือนบ้านเราคือถ่ายรูปโดยไม่มีเจ้าบ่าว งงไปอีกครับ เป็นการถ่ายรูปที่มีแต่เจ้าสาวจริงๆครับ
ฟากนี้ก็มีครับ ในส่วนของฝั่งนี้ก็คือไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์(Main Post Office) ตั้ง อยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม ด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคาร แห่งนี้ ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ มีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน
ตึกสีเหลืองตัดกับบรรยากาศท้องฟ้าก็ดูสวยงามแปลกตาแต่ลงตัวไปอีกแบบนึง
ภายในยังคงรักษาเอกลักษณ์และยังสามารถส่งจดหมายรวมทั้งโทรศัพท์ข้ามประเทศได้จริง
ร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ภายในไปรษณีย์กลาง มีสิ่งของที่ระลึกให้เลือกมากมายครับ
วิถีชีวิตที่ยังคงไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา น่าเสียดายที่วันนึงมันจะค่อยๆเลือนหายไป
******คำเตือนภาพต่อไปนี้มีความรุนแรงและโหดร้าย********
มันคงเป็นเหมือนความทรงจำที่โหดร้ายที่อยากให้มันกลายเป็นความฝันและอยากจะตื่นจากฝันขึ้นมาแล้วรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม
War Remnants Museum จัดแสดงเนื้อหาและภาพถ่ายที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม
พิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของรัฐบาลอเมริกา ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงถึงผลกระทบของสงครามเวียดนามที่มีต่อชาวเวียดนาม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดขึ้นหลังจากสงครามจบลงเพียงไม่กี่เดือน โดยเดิมใช้ชื่อว่า "Exhibition House for US and Puppet Crimes" ถึงนิทรรศการส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาต่อต้านอเมริกา แต่จุดประสงค์หลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือการแสดงถึงความโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวของสงคราม
ส่วนจัดแสดงประกอบด้วยห้องจัดแสดงทั้งหมด3ชั้นจัดแสดงเป็นนิทรรศการรูปภาพพร้อมคำบรรยาย
ไม่มีใครที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมามันเป็นภาพที่เลวร้ายเกินที่กว่าใครจะคาดคิดและทุกคนก็รับรู้ได้แม้เป็นเพียงแค่รูปภาพ
สำหรับรูปภาพในช่วงสงครามดูได้ที่นี่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผลงานภาพถ่ายของ Ishikawa Bunyo ช่างภาพสงครามชาวญี่ปุ่นที่เกาะติดสถานการณ์ของสงครามเวียดนามโดยตลอด การจัดแสดงภาพถ่ายกว่า 250 ภาพ ที่ถ่ายทอดภาพของทหารและประชาชนที่ได้รับผลจากสงครามนี้ เป็นอีกหนึ่งห้องแสดงสำคัญภาพในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
สถานที่จำลองคุกในสมัยสงครามเวียดนาม
จากความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม เปลี่ยนอารมณ์มาดูภาพวิถีชีวิตยามเย็นของคนที่นี่กันบ้างดีกว่าครับ
ถนนภายในเมืองโฮจิมินห์จะสังเกตได้ว่าไม่ได้ใหญ่มาก รถที่นี่ไม่ทำความเร็วเท่าบ้านเราขับเร็วสุดก็ประมาณ60-70กม/ชม.
ในเมืองโฮจิมินห์ยังคงรักษาต้นไม้ที่ใหญ่โตไว้มากมายเป็นเมืองที่ร่มรื่นและอากาศก็ไม่ร้อนเท่ากรุงเทพฯ ต้นไม้แต่ละต้นภายในเมืองมีเลขกำกับไว้อย่างชัดเจนเลย และคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์ที่นี่ส่วนใหญ่ใส่ผ้าปิดปากกันทุกคน น่าจะเป็นเรื่องของการป้องกันมลพิษที่ดีเลยทีเดียว
เดินเที่ยวเล่นในย่านชุมชนเมืองเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีร้านค้าขายสิ่งของวางตัวกันอยู่
ล่องเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่พลาดสำหรับเรือมีขึ้นชื่อ Tàu Bến Nghéสัญลักษณ์เป็นรูปปลาฉลาม สามารถจองก่อนล่วงหน้าหรือจะเข้าไปสอบถามได้แต่ว่าวันไหนที่ดวงไม่ดีทัวร์ลงก็อาจเต็มได้สำหรับค้าล่องเรือก็ประมาณ50-60 บาทครับ นั่งเรือไปก็กินข้าวไป อิ่มทั้งอาหารตาและอาหารกระเพาะเลยครับ ที่นั้งบริเวณชั้นสามบรรยากาศดีมากๆเพราะเห็นด้านหน้าของเรือได้อย่างชัดเจนนั้งเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงครับ เรืออกจากท่าประมาณ1ทุ่มวนเข้าไปในเมืองแล้ววนกลับครับ
------------------------------------------
ไปกดไลค์กดติดตามให้กำลังใจ ชมรูปสวยกันที่เพจกันนะคร้าบ
https://web.facebook.com/onthejourneythai/
รีวิวเก่า
[CR]blooming season : ชมพูพันธุ์ทิพย์ เกษตร กำแพงแสน :
https://ppantip.com/topic/36343332
[CR]รีวิวการใช้งาน เฟสบุ๊ค ไลน์ ในประเทศจีน :
https://ppantip.com/topic/35963179
[CR] ใครว่าเวียดนามอันตราย HOCHIMINH - MY THO
หากว่าทุกจุดเริ่มต้นของการเดินทางมันเต็มไปด้วยความกลัว....
กลัวที่จะเจอเรื่องร้ายๆที่ผ่านเข้ามา กลัวที่จะเจอเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด กลัวที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า กลัวที่เจอกับอันตรายต่างๆ
ความกลัวเหล่านี่คงเป็นเหมือนอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่กล้าที่จะเดินออกไปเพื่อเริ่มทำในสิ่งที่อาจจะดีกว่าก็เป็นได้
เวียดนามอาจเป็นประเทศนึงที่หลายคนคิดว่าอันตรายและน่ากลัวแต่ถ้าเรากลัวเราก็คงอดที่จะไปสัมผัสความน่ารักของประเทศเล็กๆที่น่ารักก็เป็นได้
การเดินทางไปประเทศเวียดนาม สะดวกสบายขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเนื่องด้วยมีสายการบินตรงจากกรุงเทพมหานครทุกวัน การเดินทางมีทั้งทางรถยนตร์และเครื่องบิน
ใช้เวลาบินจากกรุงเทพมหานครสู่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต (อ่านว่ายังไงลองเข้าgoogle ดูนะครับ อ่านยากมากจริงๆ) กรุงโฮจิมินห์ประเทศเวียดนาม ประมาณ1ชั่วโมงกลับอีก30นาที โดยสายการบินนกแอร์ เครื่องดีเลย์ประมาณ20นาทีจากกำหนดการเดิม
การสาธิตการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบินก่อนเครื่องขึ้นจากท่าอากาศยานดอนเมือง สำหรับอาหารว่างบนเครื่องบินนั้นน่าจะเป็นที่ตื่นตาตื่นใจในการใช้เวลา(นาน)พอสมควรในการเปิดออก ผู้โดยสารบางคนถึงกับใช้วิธีตบถุงให้แตกออก ก็เป็นความแตกต่างของสายการบินนกแอร์ รวมแล้วก็แปลกดี ปริมาณอาหารว่างไม่มีทางกินอิ่มแน่นอนสำหรับใครที่บินไฟลท์เช้าควรรับประทานอาหารเช้าขึ้นเครื่องไปก่อน
เข้าเขตโฮจิมินห์แล้ว วันนี้ท่องฟ้าโปล่งโล่ง มองเห็นวิวได้อย่างชัดเจน ภาพที่เห็นด้านหน้ามันทำให้เห็นว่า เวียดนามในวันนี้โตขึ้นเจริญขึ้นและพัฒนาไปมากเมื่อเทียบกับ10ปีที่แล้วที่เดินทางมา
hello vietnam!! ถึงแล้วที่ท่าอากาศยานท่าอากาศยานนานาชาติเตินเซินเญิ้ต
การเดินทางเข้าไปในตัวเมืองมีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นรถเมลล์ รถแท๊กซี่ และGrab bike (เวียดนามมีgrab bike ใช้แล้วนะ)
แต่สิ่งที่เวียดนามยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาก็คงเป็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่ยังคงใช้งานมอเตอร์ไซต์กันเป็นจำนวนมากๆๆๆๆๆๆ
มากจริงๆครับมองไปทางไหนไม่มีทางที่ มองไม่เห็นมอเตอร์ไซต์ แต่การเดินข้ามถนนที่นี่เราเดินได้อย่างปลอดภัยนะครับ
เราเดินไปช้าๆไม่ต้องวิ่งเพราะถ้าวิ่งมอเตอร์ไซต์คงชนเราแน่นอน มอเตอร์ไซต์ที่นี่จะขับอ้อมตัวเราไปอย่างช้าๆ มั่นใจได้แน่นอนว่าปลอดภัย สำหรับใครที่คิดจะเช่ารถขับในเมืองคงเป็นรื่องยากมาก เพราะที่นี่ขับรถกันแบบวุ่นวายมาก
แถมที่เวียดนามมอเตอร์ไซต์สามารถขับบนฟุตบาทได้ ฟุตบาทที่โฮจิมินห์เรียกได้ว่าต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิงขอบฟุตบาทที่นี่ออกแบบมาอย่างโค้งมนตลอดแนว รถติดตรงไหนมอเตอร์ไซต์ก็ขึ้นไปขี่ได้เลย
แต่อีกหนึ่งสิ่งที่เรียกว่าประทับใจเลยคือคนเวียดนามขี่มอเตอร์ไซต์ใส่หมวกกันน็อคทุกคนรวมถึงคนซ้อนท้าย
ร้านอาหารริมทางเท้าเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด อาหารfood street ในเวียดนามมีให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเฝอ หรือขนมปังฝรั่งเศสใครพลาดเนี่ยเหมือนกับมาไม่ถึงเลยนะครับ
ชาวเวียดนามที่นี่มีเวลาพักผ่อนในช่วงเที่ยงประมาณ2ชั่วโมงคือตั้งแต่11.30-13.30น.แต่เริ่มงานเร็วกว่าบ้านเรารวมถึงเลิกงานช้ากว่าบ้านเรา
สถานที่ท่องเที่ยวแรกที่ใครมาเวียดนามไม่ควรพลาดชมก็คือโบสถ์นอร์ทเธอดาม
โบสถ์นอร์ทเธอดามตั้งอยู่บริเวณกลางเมือง บนถนน Han Thuyen ได้รับการก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2420 ใช้ระยะเวลาการสร้าง 6 ปี โบสถ์นี้ไม่มีการประดับด้วยกระจกสีเหมือนโบสถ์คริสต์ที่อื่น เพราะได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สำหรับโบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งใน เวียตนาม โดยในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย ลักษณะของตัวโบสถ์เป็นรูปแบบของสมัยอาณานิคม มีหอคอยคู่สี่เหลี่ยมอยู่ด้านบนสูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นขนาดใหญ่สีขาวเด่นเป็นสง่าของพระแม่มารี นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาชมกันมาก เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ร่วม อันหมายถึงการเข้ามาของตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของโฮจิมินห์
สำหรับการเข้าชมโบสถ์ด้านในนั้นต้องมาพอดีเวลาสวดของชาวคริสต์ ในส่วนเวลาที่แน่นอนไม่ทราบเหมือนกันครับเพราะตอนที่ไปมัน ปิดอดเข้าไปดูด้านในเลย
การถ่ายรูปพรีเวดดิ้งในย่านนี้มีเยอะมากแต่ที่แปลกและไม่เหมือนบ้านเราคือถ่ายรูปโดยไม่มีเจ้าบ่าว งงไปอีกครับ เป็นการถ่ายรูปที่มีแต่เจ้าสาวจริงๆครับ
ฟากนี้ก็มีครับ ในส่วนของฝั่งนี้ก็คือไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์(Main Post Office) ตั้ง อยู่บริเวณใจกลางเมืองโฮจิมินห์ ใกล้กับโบสถ์นอร์ทเธอดาม ได้รับการก่อสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2439 เสร็จในปี พ.ศ. 2444 มีการออกแบบและก่อสร้างในสไตล์ฝรั่งเศสและได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างงดงาม ด้วยกระจกสี เป็นไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนาม มีความโอ่โถงและอ่อนช้อยทว่ามั่นคง จนทำให้นักออกแบบมากมายต้องมาศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งอาคาร แห่งนี้ ภายในตัวอาคารมีการระดับภาพแผนที่ทางทะเลโบราณ และภาพของอดีตผู้นำประเทศโฮจิมินห์ มีการบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ด โทรศัพท์ระหว่างประเทศในอัตราค่าบริการมาตรฐาน
ตึกสีเหลืองตัดกับบรรยากาศท้องฟ้าก็ดูสวยงามแปลกตาแต่ลงตัวไปอีกแบบนึง
ภายในยังคงรักษาเอกลักษณ์และยังสามารถส่งจดหมายรวมทั้งโทรศัพท์ข้ามประเทศได้จริงร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ภายในไปรษณีย์กลาง มีสิ่งของที่ระลึกให้เลือกมากมายครับวิถีชีวิตที่ยังคงไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา น่าเสียดายที่วันนึงมันจะค่อยๆเลือนหายไป
มันคงเป็นเหมือนความทรงจำที่โหดร้ายที่อยากให้มันกลายเป็นความฝันและอยากจะตื่นจากฝันขึ้นมาแล้วรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม
War Remnants Museum จัดแสดงเนื้อหาและภาพถ่ายที่ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม
พิพิธภัณฑ์สงครามแห่งนี้ตั้งอยู่ในอาคารเก่าของรัฐบาลอเมริกา ภายในจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงถึงผลกระทบของสงครามเวียดนามที่มีต่อชาวเวียดนาม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดขึ้นหลังจากสงครามจบลงเพียงไม่กี่เดือน โดยเดิมใช้ชื่อว่า "Exhibition House for US and Puppet Crimes" ถึงนิทรรศการส่วนใหญ่จะมีเนื้อหาต่อต้านอเมริกา แต่จุดประสงค์หลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือการแสดงถึงความโหดร้ายน่าสะพรึงกลัวของสงคราม
ส่วนจัดแสดงประกอบด้วยห้องจัดแสดงทั้งหมด3ชั้นจัดแสดงเป็นนิทรรศการรูปภาพพร้อมคำบรรยายไม่มีใครที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมามันเป็นภาพที่เลวร้ายเกินที่กว่าใครจะคาดคิดและทุกคนก็รับรู้ได้แม้เป็นเพียงแค่รูปภาพ
สำหรับรูปภาพในช่วงสงครามดูได้ที่นี่[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สถานที่จำลองคุกในสมัยสงครามเวียดนาม
จากความโหดร้ายของสงครามเวียดนาม เปลี่ยนอารมณ์มาดูภาพวิถีชีวิตยามเย็นของคนที่นี่กันบ้างดีกว่าครับถนนภายในเมืองโฮจิมินห์จะสังเกตได้ว่าไม่ได้ใหญ่มาก รถที่นี่ไม่ทำความเร็วเท่าบ้านเราขับเร็วสุดก็ประมาณ60-70กม/ชม.
ในเมืองโฮจิมินห์ยังคงรักษาต้นไม้ที่ใหญ่โตไว้มากมายเป็นเมืองที่ร่มรื่นและอากาศก็ไม่ร้อนเท่ากรุงเทพฯ ต้นไม้แต่ละต้นภายในเมืองมีเลขกำกับไว้อย่างชัดเจนเลย และคนที่ขี่มอเตอร์ไซต์ที่นี่ส่วนใหญ่ใส่ผ้าปิดปากกันทุกคน น่าจะเป็นเรื่องของการป้องกันมลพิษที่ดีเลยทีเดียว
เดินเที่ยวเล่นในย่านชุมชนเมืองเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีร้านค้าขายสิ่งของวางตัวกันอยู่ล่องเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ไม่พลาดสำหรับเรือมีขึ้นชื่อ Tàu Bến Nghéสัญลักษณ์เป็นรูปปลาฉลาม สามารถจองก่อนล่วงหน้าหรือจะเข้าไปสอบถามได้แต่ว่าวันไหนที่ดวงไม่ดีทัวร์ลงก็อาจเต็มได้สำหรับค้าล่องเรือก็ประมาณ50-60 บาทครับ นั่งเรือไปก็กินข้าวไป อิ่มทั้งอาหารตาและอาหารกระเพาะเลยครับ ที่นั้งบริเวณชั้นสามบรรยากาศดีมากๆเพราะเห็นด้านหน้าของเรือได้อย่างชัดเจนนั้งเรือชมแม่น้ำไซ่ง่อนก็ใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมงครับ เรืออกจากท่าประมาณ1ทุ่มวนเข้าไปในเมืองแล้ววนกลับครับ
------------------------------------------
ไปกดไลค์กดติดตามให้กำลังใจ ชมรูปสวยกันที่เพจกันนะคร้าบ
https://web.facebook.com/onthejourneythai/
รีวิวเก่า
[CR]blooming season : ชมพูพันธุ์ทิพย์ เกษตร กำแพงแสน : https://ppantip.com/topic/36343332
[CR]รีวิวการใช้งาน เฟสบุ๊ค ไลน์ ในประเทศจีน : https://ppantip.com/topic/35963179
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น