แม่ลูกอ่อน ๕ พ.ค.๖๐

เรื่องสั้น

แม่ลูกอ่อน

เพทาย

ผมนั่งรถเมล์สายสามสิบแปด จากซอยอโศกจะมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ระหว่างทางผ่านสถาบันชั้นอุดมศึกษา มีนักศึกษาหญิงขึ้นมาหลายคน ทุกคนได้นั่งหมดแล้ว

เหลืออยู่คนหนึ่ง เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม ซึ่งนั่งด้านข้างของกระโปรงเครื่องยนต์
มือของเธอผู้นั้นเอื้อมจับราวอย่างหมิ่นเหม่ เพราะเสื้อที่เธอสวมใส่อยู่นั้นคงจะผิดเบอร์ จึงคับและสั้นเต็มที

ผมขยับตัวให้มีที่ว่าง แต่ก็ยังแคบเกินไปกว่าที่เธอจะนั่งลง จึงต้องยืนอย่างไม่มั่นคงต่อมาอีกสองป้าย ผู้ที่นั่งติดสองข้างของผม เป็นชายหนุ่มกว่าผมมาก ก็เมินมองไปเสียทางอื่น

ผมทนดูภาพที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ จึงตัดสินใจลงที่ป้ายถัดไป เพื่อให้เธอได้นั่ง
แล้วผมก็รอขึ้นรถเบอร์เดียวกันอีก ซึ่งรออยู่ไม่นานนักก็มา

คันนี้มีที่ว่างผมก็ได้นั่งอีก แต่พอผ่าน สี่แยกมักกะสัน มีเด็กนักเรียนมัธยมขึ้นมาเต็มคันรถ ทั้งหญิงและชาย ส่วนใหญ่ต้องยืน เลยไม่รู้จะทำยังไง

ต้องทนมองเด็กยืนกันเต็มทั้งคันรถอยู่อีกนาน กว่าจะถึงที่หมาย

ผมลงจากรถเมล์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยที่ทอดยาวเหยียด มาลงบันไดที่หน้าโรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นที่จอดรถประจำทางทุกสายที่จะผ่านไปทางบ้านผม

ในไม่ช้าผมก็ได้ขึ้นรถสีค่อนข้างขาวสายหนึ่ง ซึ่งแล่นมาจากต้นทางแถวแยกรัชโยธินในถนนพหลโยธิน
รถคันนี้มีผู้โดยสารเต็มที่นั่งและยืน แต่มีผู้ลุกขึ้นให้ผมได้นั่ง บนม้ายาวที่อยู่ด้านซ้ายของคนขับ ใกล้กับหญิงสาววัยเลยรุ่นคนหนึ่ง ที่อุ้มลูกน้อยอยู่ในวงแขน

ทารกนั้นยังเล็กมากอายุคงไม่กี่เดือน ท่าทางที่อุ้มนั้นดูเก้งก้างไม่ทะมัดทะแมง คงจะเป็นคุณแม่หัดใหม่ ข้างกายของเธอมีถุงย่ามใบเล็กที่ใส่ของกระจุกกระจิก เกี่ยวกับเด็กอ่อน และมีขวดนมซุกอยู่ด้วย รถคันนี้แล่นไปค่อนข้างเร็ว ด้วยฝีมือและฝีเท้าอันเชี่ยวชาญของคนขับ จึงทำให้ผู้โดยสารหัวสั่นหัวคลอนมาตลอดระยะทาง

จนทารกน้อยตกใจตื่น และทำท่าจะร้องโยเยขึ้น ผู้เป็นแม่หันรีหันขวางแล้วก็ขยับตัวจะหยิบขวดนมในถุง ก็บังเอิญให้ถุงหล่นจากที่นั่งลงไปบนพื้น
สิ่งของหลายชิ้นกลิ้งออกมากองบนพื้นรถ เธอเลยหมดปัญญาที่จะก้มลงไปจัดการได้ด้วยตนเอง เพราะลูกน้อยยังอยู่ในอ้อมแขน

ผมจึงต้องก้มลงหยิบของเหล่านั้นใส่ถุง และส่งขวดนมให้เธอซึ่งพอดีกับหนูน้อยได้ส่งเสียงร้องขึ้น เธอรับไปใส่ปากให้ลูก และยิ้มขอบคุณ ผมจึงเอาถุงนั้นวางลงบนตักของผมเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มันหล่นลงไปอีก

ผมมองดูสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกสงสาร ในความลำบากนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วก็ตัดสินใจถามว่าเธอจะไปไหน ก็ได้คำตอบว่าจะไปโรงพยาบาลวขิระ

ถามต่อว่าลูกป่วยเป็นอะไร เธอบอกว่าพาไปฉีดยาป้องกันโรคของเด็ก ตามหมอสั่ง

ผมไม่กล้าถามว่าทำไมพ่อของเด็กไม่มาด้วย เหมือนอย่างที่ผมเคยเห็นพ่อแม่หัดใหม่
ซึ่งกำลังเห่อลูกคนแรก เขาทำกันเป็นปกติ

แต่ถามว่าทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ พาลูกกระเตงมาคนเดียวแบบนี้ลำบากแย่ ทั้งแม่ทั้งลูก เธอตอบเบา ๆ ว่าไม่มีเงิน

ผมสะดุดใจกึกเพราะไม่ได้คิดถึงข้อนี้ พอดีรถจอดป้ายหน้าธนาคารที่เลยสี่แยกซังฮี้ไปหน่อย เธอก็ลุกขึ้นจะลง ผมจึงถือถุงตามลงไปด้วย
เธอจะต้องเดินย้อนกลับไปโรงพยาบาลซึ่งยังอยู่อีกไกลพอสมควร ผมอยากจะตามไปช่วยเหลือเธอ แต่ก็สองจิตสองใจ
จึงส่งถุงคืนให้เธอรับไปด้วยปลายนิ้ว และกล่าวคำขอบคุณ ก่อนที่จะเดินไปตามทางของเธอ

ผมรีบหันเข้าหาตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารนั้น กดเอาเงินออกมาสองร้อยบาท แล้วก็รีบเดินจ้ำตามแม่ลูกอ่อนนั้นไป คราวนี้เธอจะมีค่ารถแท็กซี่กลับบ้านละ ผมนึกในใจ แต่เธอข้ามถนนไปไกลแล้ว ผมยังต้องติดไฟแดงอยู่อีกนาน ตามธรรมเนียมของสี่แยกนี้ เพราะมีรถเลี้ยวขึ้นสะพานกรุงธนมากมายตลอดเวลา จนเธอเดินหายไปจากสายตา

เมื่อผมไปถึงโรงพยาบาลนั้น ก็เห็นแต่ผู้คนที่มาใช้บริการ คลาคล่ำไปหมด มีแต่คนเดินผ่านไปมาจนตาลาย
ผมเดินไปมาตามหน้าห้องต่าง ๆ หลายตลบ ก็ไม่พบเธอผู้นั้นเลย เพราะผมไม่ได้ถามว่าเธอจะไปหาหมอที่ห้องไหน
และข้อสำคัญคือผมก็ไม่แน่ใจว่าจะจำเธอได้ เพราะเมื่อนั่งอยู่บนรถเมล์ เธอไม่ได้หันหน้ามาทางผมเลย

ผมเดินกลับเข้าบ้านด้วยความเสียดาย ที่ไม่ได้ช่วยเหลือเธอตามความตั้งใจ

แต่ก็ต้องปลงว่า คงไม่ใช่ความผิดของผมที่ไม่ช่วยเธอเสียตั้งแต่ทีแรก

เพราะผมมีแต่เศษเหรียญในกระเป๋าเพียงไม่กี่อัน

ผมจึงได้แต่ส่งใจไปช่วยเธอ เท่านั้น.

#########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่