ตรงนี้คือเป็น The Cascade เป็น Open air museum ครับ จะเป็นบันไดขึ้นไปถึงยอดเขาที่มีเหมือน obelisk อยู่ข้างบน ข้างในบันไดนั่นก็จะเป็นห้องแสดงศิลปะต่างๆ ครับ
ตรงนี้จะเป็น The museum of Matenadaran เป็นสถานที่เก็บ manuscript ตำราของศาสตร์และศิลป์โบราณ เช่น สูตรคณิตศาสตร์ หลักภาษา ชิววิทยา การแพทย์ และอย่างอื่นอีกมาก
ที่นี่ใช้ตัวอักษรแปลกๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่สำหรับความรู้สึกผม อักษร Armenian จะคล้ายๆ ภาษาเขมร ส่วน Georgian จะคล้ายๆ พม่า บอกไม่ถูกเหมือนกัน
สถานีรถไฟ Yerevan Railway Station มีอนุสาวรี Sasunti Davit เป็นสัญลักษณ์ ที่ represent characteristic ของคน Armenian อย่างนึง คือ Davit ที่เห็นในภาพ จะใส่แค่รองเท้าแตะธรรมดา หมายความว่า เค้าเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร แต่สามารถพร้อมรบได้เสมอ โดยที่ม้ายกขาหน้าขึ้น 2 ขา และจะเห็นถ้วยที่มีน้ำไหลลงมาเป็นน้ำตก ตรงเท้าม้า แสดงถึงความอดทนของชาว Armenian ทุกคน
ข้างบนนี้ก็จะมีอนุสาวรีย์ Mother of Armenia คือตรงนี้เมื่อก่อนเคยเป็นรูปชอง Joseph Stalin แต่เพิ่งถูกรื้อสร้างใหม่เมื่อปี 1967 นี่เอง ให้เป็นรูปผู้หญิง อันนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงก็มีความแข็งแกร่ง พร้อมถืออาวุธรบได้ทุกเมื่อ
ตรงนี้อาจจะหดหู่หน่อยนึง ตรงนี้จะเป็น Genocide memorial คือครั้งหนึ่งชาว Armenian นับล้านคน ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยอ้อตโตมัน หรือตุรกีในปัจจุบัน คือที่จริงแล้ว อ้อตโตมันเกณฑ์คน Armenian ไปเป็นทหาร แต่เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร จึง treat คนพวกนั้นแบบไม่ดี บางทีบาดเจ็บ ป่วย ล้มตายจากการรบ ก็ฆ่าทิ้ง เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร และใช้งานคนพวกนั้นอย่างหนัก สุดท้ายมีคนตายไปนับล้านคน เลยต้องสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน แก่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
[CR] ตะลุย Armenia, The Land of Noah
ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศ Armenia ช่วง 23-29 ตุลาคม 2016 ที่ผ่านมาครับ เป็นช่วงเข้าฤดูหนาวพอดี อากาศหนาวได้ใจเลย Armenia อาจจะเป็นประเทศที่ไม่ค่อยคุ้นหูใครหลายๆคน แต่ประเทศนี้มีอะไรสวยงามมากมาย จะมีอะไรบ้างนั้นเดี๋ยวมาดูกัน
ไม่มีทางออกสู่ทะเล
ใช้หน่วยเงินเป็น Armenian Dram
1 USD = 485 AMD โดยประมาณ
แปลงเป็นไทยบาทโดยประมาณก็ หาร 100 แล้วคูณ 7 ครับ
สำหรับคนไทย ต้องใช้วีซ่าในการเข้า แต่ไม่ต้องไปทำที่สถานฑูตใดๆ ทั้งสิ้น สามารถทำ on Arrival หรือ online ได้เลย ค่าวีซ่าก็ 3000 AMD หรือ 6 USD
ราคานี้สามารถอยู่ได้ 21 วัน ถ้าอยากอยู่ยาวกว่านี้ก็จะมีวีซ่าประเภทอื่น ราคาก็จะแตกต่างออกไป
ผมเดินทางโดย Qatar Airways ไปเปลี่ยนเครื่องที่ Doha และก็ Qatar Airways เช่นเดิม ไปที่ Yerevan ครับ
Yerevan
เมืองนี้เป็นเมืองหลวงของอาร์เมเนีย ก่อตั้งเมื่อปี 782 B.C. เดี๋ยวในปี 2018 นี้จะมีการฉลองครบรอบ 2800 ปีของเมืองนี้
อาคารนี้อยู่ตรงกลาง เค้าทำเป็น National History Museum ข้างในมีประวัติทุกๆ อย่างเกี่ยวกับเมืองนี้ ตั้งแต่สมัยสุเมเรี่ยน ออตโตมาน ถึงปัจจุปัน อย่างที่บอก เมือง Yerevan นี้เก่าแก่กว่า 2000 ปีมาแล้ว มีตั้งแต่ Slab หินตัวอักษร Cuneiform จนถึงประวัติประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
อากาศดูสดใสแบบนี้ อุณหภูมิเลขตัวเดียวนะครับ...
ผังเมืองถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีตั้งแต่สมัยโบราณ จะเห็นได้ว่าเป็นวงกลม
ตรงนี้คือเป็น The Cascade เป็น Open air museum ครับ จะเป็นบันไดขึ้นไปถึงยอดเขาที่มีเหมือน obelisk อยู่ข้างบน ข้างในบันไดนั่นก็จะเป็นห้องแสดงศิลปะต่างๆ ครับ
ตรงนี้จะเป็น The museum of Matenadaran เป็นสถานที่เก็บ manuscript ตำราของศาสตร์และศิลป์โบราณ เช่น สูตรคณิตศาสตร์ หลักภาษา ชิววิทยา การแพทย์ และอย่างอื่นอีกมาก
ที่นี่ใช้ตัวอักษรแปลกๆ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่สำหรับความรู้สึกผม อักษร Armenian จะคล้ายๆ ภาษาเขมร ส่วน Georgian จะคล้ายๆ พม่า บอกไม่ถูกเหมือนกัน
สถานีรถไฟ Yerevan Railway Station มีอนุสาวรี Sasunti Davit เป็นสัญลักษณ์ ที่ represent characteristic ของคน Armenian อย่างนึง คือ Davit ที่เห็นในภาพ จะใส่แค่รองเท้าแตะธรรมดา หมายความว่า เค้าเป็นแค่คนธรรมดา ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์อะไร แต่สามารถพร้อมรบได้เสมอ โดยที่ม้ายกขาหน้าขึ้น 2 ขา และจะเห็นถ้วยที่มีน้ำไหลลงมาเป็นน้ำตก ตรงเท้าม้า แสดงถึงความอดทนของชาว Armenian ทุกคน
ได้กลิ่นอายของสหภาพโซเวียต หลังจากถูกปกครองโดยสหภาพโซเวียตมาระยะหนึ่ง
ตามข้างทางก็มี ปู่ย่าตายาย มาขายผักผลไม้ พริกฝักใหญ่ๆนั้นอ่ะ อยากจะบอกว่า มันเผ็ดกว่าพริกชี้ฟ้าบ้านเราเยอะ..ลองมาแล้ว
ลองขึ้นมาดูวิวบนเขา มองลงมา คือ Armenia เคยเป็นประเทศอุตสาหกรรม ในสมัยโซเวียต ดังนั้นจึงเห็นเหมือนตึกร้าง อยู่เป็นหย่อมๆ อันนั้นคือโรงงานที่ถูก abandon หลังจากโซเวียตล่มสลาย
ข้างบนนี้ก็จะมีอนุสาวรีย์ Mother of Armenia คือตรงนี้เมื่อก่อนเคยเป็นรูปชอง Joseph Stalin แต่เพิ่งถูกรื้อสร้างใหม่เมื่อปี 1967 นี่เอง ให้เป็นรูปผู้หญิง อันนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงก็มีความแข็งแกร่ง พร้อมถืออาวุธรบได้ทุกเมื่อ
ตรงนี้อาจจะหดหู่หน่อยนึง ตรงนี้จะเป็น Genocide memorial คือครั้งหนึ่งชาว Armenian นับล้านคน ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยอ้อตโตมัน หรือตุรกีในปัจจุบัน คือที่จริงแล้ว อ้อตโตมันเกณฑ์คน Armenian ไปเป็นทหาร แต่เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร จึง treat คนพวกนั้นแบบไม่ดี บางทีบาดเจ็บ ป่วย ล้มตายจากการรบ ก็ฆ่าทิ้ง เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร และใช้งานคนพวกนั้นอย่างหนัก สุดท้ายมีคนตายไปนับล้านคน เลยต้องสร้างอนุสาวรีย์ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน แก่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
ข้างในจะมีไฟที่เรียกว่า eternal flame ผิงอยู่ และจะมีคนมาวางดอกไม้ไม่ขาดสาย
สถานที่พวกนี้จะอยู่ติดๆกันหมดนะครับ จะเป็นอารมณ์ประมาณว่า ขับรถเที่ยวในเมืองได้ มีอะไรน่าสนใจมากมาย วันแรกก็นั่งรถเที่ยวในเมืองธรรมดา ที่โรงแรมจะมีบริการทัวร์ครับ
อาหารเย็นคืนแรก ออกไปทานที่ร้านใกล้ๆ กับ Republic Square นั่นแหละครับ
Appetizer เป็น ขนมปังทาเนย โปะด้วยเนื้อรมควันบางๆ ที่อยู่ในช้อนนั่นเป็นข้าวโอ้ต ข้าวบาร์เล่ย์บด กินกับเนยและแตงกวาดอง จานขวามือเป็นมันฝรั่งบดทอด กับเนื้อไก่สับปั้นก้อนย่าง สลัดน้ำองุ่น
Main course อันนี้ผมสั่ง ปลาเทร้าท์ย่าง กับ ข้าวบี้ทรูท
ออกไปนอก Yerevan บ้างครับ อันนี้เป็นโบสถ์ ชื่อ Etchmiadzin เป็นที่เก็บสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็น Relic ของ Noah’s Ark จากหุบเขา Ararat เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ ประเทศ Armenia เรียกได้ว่าเป็น Land of Noah ครับ เชื่อกันว่า Noah ได้นำเรือมาจอดบนยอด Ararat ตอนน้ำท่วมโลก
Etchmiadzin นอกจากจะเป็นโบสถ์ มีหลวงพ่อ และเป็นพิพิธพันธุ์ เก็บรักษาโบราณวัตถุแล้ว ยังเป็น Institute วิจัยทางโบราณคดีด้วย
มี Residential Area ให้พวกหลวงพ่ออยู่ด้วย
ข้างในโบสถ์ครับ
ถ่ายรูปอยู่ดีๆ เด็กพวกนี้มาขอเข้ากล้องด้วย เลยจัดให้ซะหน่อย
มาถึงโบสถ์อีกแห่งครับ St Hripsime เก่าแก่มาก สร้างเสร็จเมื่อ 618 AD
ประตูดูเก่าแก่มาก
กลับมาทานอาหารเย็นครับ อาหาร Traditional ของที่นี่จะหนีไม่พ้นพวก ขนมปัง ชีสหลากหลายรูปแบบ สลัด และพวกเนื้อปิ้งย่างครับ อาหารจะเป็นแนวๆ นี้กันหมด
พริกชี้ฟ้าเขียวนั่นโคตรเผ็ด
ชิมว้อดก้าหน่อย แรงใช้ได้ แต่สิ่งที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือบรั่นดีครับ
ทับทิมอร่อยมากกกกกก เปรี้ยวสะใจ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น