▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
เที่ยวญี่ปุ่น
คันไซ
เที่ยวต่างประเทศ
บันทึกนักเดินทาง
สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศ
[CR] เติมเต็มทริปญี่ปุ่นโซน Kansai ที่ "Kinosaki Onsen" : กินปู ดูหิมะ ใส่ยูกาตะ แช่ออนเซ็น
พร้อมแล้วไปอ่านบันทึกการเดินทางของเราครั้งนี้กันค่ะ แล้วจะรู้ค่ะว่าเราไปหลงรักอะไรเมืองนี้เข้านักหนา ^^
ถ้าชอบรีวิวนี้ อย่าลืมกดไลค์และแชร์เป็นกำลังใจให้เรานะ
ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่าง
Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/
วิธีเดินทางไป Kinosaki Onsen จาก Osaka
พวกเราเดินทางไปญี่ปุ่นช่วงต้นเดือนมีนาคม 2017 ใช้ JR Kansai Wide area pass ในการเดินทางจาก Osaka มาเมืองนี้กันค่ะ เราซื้อพาสล่วงหน้าก่อนเดินทางมาญี่ปุ่นราคา 9,000 เยน (ถ้าไปซื้อที่ญี่ปุ่นจะ 9,500 เยน) จองผ่านเว็บไซต์ของ JR โดยตรง (http://www.westjr.co.jp/global/en/ticket/pass/kansai_wide/) และไปรับพาสตัวจริงที่สถานี Osaka ค่ะ ใช้เดินทางได้ 5 วันแบบไม่จำกัด คุ้มมากๆ เพราะแค่รถที่วิ่งตรงไป Kinosaki Onsen ไปกลับ ก็ราคาเกือบเท่าพาสนี้แล้ว! ใครจะไปเที่ยวที่เมืองนี้จากโอซาก้าแนะนำให้ใช้พาสนี้ค่ะ คุ้มสุดแล้ว
รถขบวนนี้วิ่งตรงยาวๆ จากสถานี Shin-Osakaไป Kinosaki onsen ประมาณ 3 ชั่วโมง เราขึ้นกันตอนแปดโมงกว่าๆ ถึงก็ประมาณ 11 โมง ปล.ใครไปเชครอบกลับดีๆ เพราะเรากลับกันตอนเกือบทุ่ม จะไม่มีรถไฟ direct to Osaka แล้ว ต้องเปลี่ยนสายหลายสายอยู่กว่าจะถึง
เติมพลังด้วยข้าวกล่องน่ารักๆ ที่เราซื้อมาจากสถานี Shin-osaka สักหน่อย
วิวระหว่างทาง จะผ่านหมู่บ้านชมบทญี่ปุ่นหลายๆหมู่บ้าน และที่เราตื่นเต้นมากที่สุดคือ เห็นหิมะตกแบบตกลงมาตอนนั้นเลยเป็นครั้งแรก ><
ตื่นเต้นจากหิมะไปได้ไม่นาน แดดก็กลับมาส่องประกายเจิดจ้าฟ้าใสอีกครั้ง และรถไฟก็เข้าจอดที่สถานี Kinosaki Onsen เป็นสถานีปลายทาง ไม่ต้องกลัวว่าจะลงไม่ถูกจ้า
เดินชมบรรยากาศหมู่บ้าน Kinosaki Onsen
ออกมาด้านนอกสถานีนอกจากจะเจอลมหนาวปะทะหน้า... ก็จะเจอสัญลักษณ์ปูมัทซึบะไม้แบบนี้ ที่ใครไปใครมาก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้ซะหน่อย ^^ ดูจากภาพก็หน้าจะสังเกตได้ว่าเราหนาวววว อากาศตอนนั้นประมาณ 10 องศาค่ะ
เดินออกมาจากสถานีอีกนิดก็จะเจอ Hot Spring Free Drinking Water อยู่หน้าหมู่บ้าน ถือว่าเป็นเครื่องดื่ม welcome drink ของหมู่บ้านนี้ ลองมาจิบๆชิมๆนิดหน่อยแล้ว รสชาติก็เอ่อ... เค็มๆปะแล่มๆบอกไม่ถูกค่ะ
ขวามือของสถานีใกล้กับป้ายรถบัส จะมีรองเท้าเกี๊ยะสไตล์ญี่ปุ่น ที่เรียงกันไว้ดูน่ารัก ดูญี่ปุ๊นญี่ปุ่นเชียว
ก่อนเข้าไปในหมู่บ้าน เรามาด้านใน Tourist Information Center เพื่อหาข้อมูลร้านอาหารอร่อยๆและร้านเช่ายูกาตะสักนิดค่ะ จะได้เดินถูกทาง ไม่มั่วและหลงนานจนเสียเวลา เพราะเรามีเวลาอยู่ที่นี่แค่เย็นนี้เอง ตอนเราเข้าไปเจ้าหน้าที่นำแบบสอบถามมาให้ตอบนิดหน่อย และได้กาแฟร้อนฟรี แก้หนาวได้ดีเลย
เดินเข้าหมู่บ้านไปก็จะเห็นตึกรามบ้านช่อง และร้านค้าต่างๆที่ดีไซน์น่ารักๆและดูญี่ปุ่นสุดๆ ให้อารมณ์ต่างกับเที่ยวในเมืองใหญ่อย่าง Osaka หรือ Tokyo มากกกกกกกก
ระหว่างทางก็มีทั้งร้านขายของสดซีฟู๊ดต่างๆ และร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านของที่ระลึก และเรียวกังเรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง
มี Kinosaki Beer เบียร์ท้องถิ่นของที่นี่ขายใน mini mart ด้วยนะคะ ใครชอบดื่มเบียร์อย่าลืมไปลองกันน๊า
ระหว่างเดินเล่นในหมู่บ้าน ฟ้าใสและแดดแรงมากๆๆ เดินตรงเข้าไปเรื่อยๆไม่นานจะพบกับ คลองที่ไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ถือเป็นอีกหนึ่งจุด landmark ของเมืองนี้
เช่าชุดยูกาตะ ที่ร้าน IROHA
ไหนๆก็มาญี่ปุ่นทั้งทีและเมืองก็ได้อารมณ์ญี่ปุ่นซะขนาดนี้ เราเลยตกลงกันว่าจะไปเช่าชุดยูกาตะมาใส่ถ่ายรูปเล่นกัน และได้สอบถามเจ้าหน้าที่ที่จุดบริการนักท่องเที่ยว เค้าแนะนำให้มาเช่าที่ร้าน IROHA อยู่ข้างๆบ่อออนเซ็น Goshoyu Bath
หน้าร้านเช่าชุด IROHA (ซ้ายมือ) Goshoyu bath ที่แช่ ออนเซน (ขวามือ)
ภายในร้านมีชุดยูกาตะอยู่เยอะมากๆ ทั้งของผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กๆ มีแบบขายและให้เช่า ทางร้านรับทั้งเงินสดและบัตรเครดิตด้วยค่ะ
ราคาเช่าชุดยูกาตะ ชุดละ 2,160 เยน/วัน รวมทำผมและแต่งตัวให้เราด้วย ถ้าตัดสินใจเช่าชุดแล้วก็ต้องกรอกฟอร์มเช่าชุด และเซ็นต์เอกสารรับทราบกฎระเบียบการเช่านิดหน่อย หลักๆคือ ต้องจ่ายค่าเช่าชุด และบวกกับมัดจำด้วยเงินสดอีกต่างหาก 3,000 เยน (ได้คืนเมื่อนำชุดมาคืน) และต้องคืนชุดก่อน 4 ทุ่มของวันที่เรายืมค่ะ
ทางร้านเห็นว่าอากาศด้านนอกหนาว ก่อนใช่ชุดเราให้เค้าเลยใส่แผ่นความร้อนแปะหลังเพื่อเพิ่มความอบอุ่นตอนอยู่ข้างนอกด้วย น่ารักมากเลยค่ะ (เราชอบแผ่นนี่มากๆ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมา ใครรู้จักที่ซื้อรบกวนกระซิบบอกทีนะคะ) แต่งออกมาแล้วเป็นแบบนี้! พอจะเนียนเป็นสาวญี่ปุ่นกับเค้าได้มั้ยคะ ^^?
พอได้ใส่ยูกาตะกันสมใจแล้วก็ลุยค่ะ! ไปเดินเที่ยว เดินถ่ายรูปกันต่อ เริ่มที่ศาลเจ้าใกล้ๆกับร้านเช่าชุด
"ปูมัทซึบะ" ของดีเมือง Kinosaki Onsen
หนึ่งในของขึ้นชื่อของเมืองคิโนซากิออนเซ็นคือ ปูมัทซึบะ ใครมาที่นี่ห้ามพลาด! มีขายเฉพาะหน้าหนาว ทั้งแบบสดๆและแบบที่เค้านึ่งแล้วแกะไว้แล้ว จกกันตรงนั้นได้เลย
นอกจากปูแล้วที่นี่ยังมีอาหารทะเลสดๆขายอีกเยอะเลย มองไปทางไหนก็น่าลองไปหมด ไม่ว่าจะเป็น หอยนางรม ไข่หอยเม่น หรือปลาหมึก และที่สำคัญคือ ไม่แพงมาก อย่างอูนิ 1 กล่องนี่แค่ 3,800 เยน หรือประมาณ 1,000 กว่าบาท
ใครชอบ strawberry ญี่ปุ่น ที่นี่ก็มีขายแบบทั้งแบบธรรมดาและ white strawberry
อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้ หลายๆคนอาจเคยเห็นรูปมาก่อนแล้ว คือร้านขายปูมัทซึบะ ที่มีเจ้าปูยักษ์โดดเด่นอยู่แบบนี้ เสียดายที่ตอนเราไป คนต่อคิวเยอะมากเลยไม่ได้เข้าไปลองชิม แต่ก็ถ่ายราคาอาหารมาฝากเพื่อนๆ เผื่อใครไปจะแวะไปนะคะ
เราใช้เวลาเดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูปชิลๆ กับบรรยากาศในเมืองไปเรื่อยๆ ก็เริ่มหิว ในเมื่อกองทัพต้องเดินด้วยท้อง สองสาวก็พากันไปหาร้านอาหารทานมือเที่ยงกันค่ะ ส่วนร้านที่เราที่เลือกนั้น...อยุ่หน้าหมู่บ้านเลยค่ะ ข้างกับ information center
Itadakimasu ^^ เริ่มทานล่ะนะค่ะ....อร่อยมาก ส่วนตัวชอบที่เป็นข้าวหน้าปลาดิบรวม มีทั้งกุ้ง ปลาหมึก อิกุระ ปูมัทสึบะ ปลาไหล ทูน่าสด ทุกอย่างมีความสด หวานด้วยตัวของอาหารเอง 10 10 10 เอาไปเลย!!
บรรยากาศในร้าน เรียบๆง่ายๆสบายๆ ดูอบอุ่น และไม่ต้องกังวลไปค่ะ เมนูมีรูปและภาษาอังกฤษด้วย ^^
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น