[CR] *** ยุโรป 3 ประเทศ 11 วัน 3000 รูป (2) ***

อ่านตอนที่ 1 ได้ที่ https://ppantip.com/topic/36390135

        วันที่สอง (28 มีนาคม 2560) ผมตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง คงเป็นเพราะยังปรับเวลาไม่ได้ วันนี้ดูจากพยากรณ์อากาศแล้วท้องฟ้าแจ่มใส ตั้งใจว่าจะไปพิชิตจุดสูงสุดในยุโรป (Top of Europe) หรือยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) ให้ได้ สถานีรถไฟที่อยู่สูงที่สุดใน Europe บนยอดเขาจุงเฟรา (Jungfraujoch) ที่เรียกกันว่า "Top of Europe" เมื่อเดือนมิถุนาปีที่แล้วผมก็เคยวางแผนไว้ว่าจะมา แต่ปรากฎว่าช่วงนั้นฟ้าไม่เปิดเลย มาครั้งนี้ท้องฟ้าเป็นใจจึงต้องกลับไปใหม่เพื่อแก้มืออีกครั้ง

        ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จก็เดินมาขึ้นรถบัสข้างสถานีรถไฟ Interlaken West เพื่อเดินทางไปยังเมือง  Wilderswil แล้วนั่งรถไฟไปเมือง Grindelwald การขึ้นจุงเฟรานั้นขึ้นได้สองทางคือถ้าไม่เลือกไปทาง  Grindelwald ก็ต้องไปทาง Lauterbrunnen ส่วนใหญ่ถ้าเลือกขึ้นทางใดขาลงก็มักจะไปลงอีกทางหนึ่ง พูดถึง Grindelwal เมื่อปีที่แล้วผมก็เคยขึ้นมาพักที่เมืองนี้ (ดูรีวิวได้ที่ https://ppantip.com/topic/35338489)

วิวระหว่างทางจาก Wilderswil ไป Grindelwald

        พอถึง Grindelwald ต้องเปลี่ยนรถไฟไปนั่งสาย Jungfraubanh ซึ่งขบวนนี้ใช้ Swiss Pass ไม่ได้  ต้องซื้อตั๋วแยกต่างหาก Swiss Pass ใช้ได้แค่มา Grindelwald หรือ Lauterbrunnen เท่านั้น แต่การมี Swiss Pass สามารถใช้เป็นส่วนลดสำหรับตั๋วขึ้นจุงเฟราได้ พวกผมซื้อตั๋วขึ้นจุงเฟรามาแล้วจากเมืองไทย ราคา Swiss Pass แบบสามวัน + ตั๋วขึ้นจุงเฟรา รวมกันตกคนละ 11,375  บาท ตั๋วจุงเฟราที่เอามาจากเมืองไทยมีลักษณะเป็นจดหมาย ต้องนำไปขึ้นตั๋วที่สถานี Grindelwald (หรือที่ Lauterbrunnen หรือที่ Interlaken) ก่อนจึงจะใช้ได้

ภาพระหว่างทางจาก Grindelwald ไปจุงเฟรา

        ถ้าจำไม่ผิดเวลาที่ใช้ในการเดินทางจาก Grindelwald ไปถึงจุงเฟราน่าจะประมาณ 2 ชั่วโมง ไปถึงบนนั้นก็เดินกันแบบเดาสุ่ม ขึ้นลิฟท์ไปโผล่ที่ร้านขายช็อคโกแล๊ต ซื้อช็อคโกแล๊ตมาทานแก้หิวแล้วถามคนขายว่าจะต้องเดินไปทางไหนต่อ เขาแนะว่าเราน่าจะเดินตามหมายเลขจุดต่างๆ ตามที่เขากำหนดไว้ ที่เราขึ้นลิฟท์มาร้านนี้เป็นจุดที่เกือบจะสุดท้ายในเส้นทางแล้ว น่าจะลงไปเริ่มต้นที่ชั้นล่างที่จุดหมายเลข 1 ซึ่งเราก็ทำตามคำแนะนำของเขา

        เดินตามจุดที่กำหนดมาได้ระยะหนึ่ง เห็นคนเดินออกไปถ่ายรูปบริเวณระเบียงเหล็กด้านนอกก็เดินออกไปตามพวกเขา ถ่ายรูปวิวภูเขาอันสุดอลังการณ์ แต่ในใจก็รู้สึกเหมือนกันว่าวิวมันไม่เหมือนกับที่เคยเห็นคนอื่นโพส์ทรูปเวลามาที่นี่ เพราะที่ๆ ไปยืนถ่ายภาพนั้นมันเป็นระเบียงไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นที่เป็นภูเขา อยู่ที่ตรงนั้นจนทุกคนบ่นว่าหนาวและเริ่มหิวข้าว (กลางวัน) จึงกลับเข้าไปข้างในอาคาร

        อาหารบนนั้นไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก (หากไม่เข้าไปในร้านอาหาร) ที่ตรงเคาท์เตอร์มีแต่พวกของกินเล่น เช่น กาแฟ แซนวิช แล้วก็มาม่าเกาหลี พูดแค่นี้คงพอจะเดาได้นะว่าผมต้องเลือกมาม่าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นมาม่าที่แพงที่สุดตั้งแต่ผมเคยกินมา คือถ้วยละสามร้อยกว่าบาท หนึ่งถ้วยกินกันสองคน แล้วตบท้ายด้วยกล้วยหอมที่นำติดตัวมา ผมปิดท้ายรายการด้วยกาแฟอีกหนึ่งแก้ว กินเสร็จแล้วก็เตรียมตัวลงจากยอดจุงเฟรากัน แต่ในขณะนั้นเพื่อนผมเหลือบไปเห็นคนเดินกันอยู่นอกอาคาร ก็เลยลองมองหาทาง จนทำให้รู้ว่าพวกเราได้พลาดจุดที่สำคัญไป และภาพข้างล่างนี้ก็คือสิ่งที่ได้เห็นจากการออกไปนอกอาคาร ได้สัมผัสกับหิมะและบรรยากาศบนยอดจุงเฟรา

        อยู่ที่บริเวณนั้นนานเหมือนกัน ประมาณบ่ายสามก็นั่งรถไฟจากยอดจุงเฟราลงมายังเมือง Lauterbrunnen

ทัศนียภาพระหว่างทาง

        ถึง Lauterbrunnen นั่งกระเช้าและต่อรถไฟขึ้นไปเมือง Murren เมืองที่ผมเคยมาครั้งที่แล้ว (เขียนรีวิวไว้ที่  https://ppantip.com/topic/35332007)

ระหว่างที่นั่งกระเช้าขึ้นไป Murren เห็น Lauterbrunnen อยู่ข้างล่าง

        เมื่อไปถึง Murren ก็เย็นแล้ว จึงไม่ได้เดินทางต่อไปยังยอดเขา Schilthorn (ที่เคยถ่ายทำ James Bond 007 นานมาแล้ว) อยู่ Murren เดินเล่นถ่ายรูปกันจนพอใจแล้วก็นั่งรถไฟลงมา Lauterbrunnen เพื่อเดินทางไปยัง Interlaken ต่อไป

ภาพบ้านเรือนใน Murren และสถานีรถไฟที่จะนั่งกลับไป Lauterbrunnen

        วันนี้กว่าจะกลับถึง Interlaken ก็มืดค่ำอีกตามเคย เยื้องสถานีรถไฟ (ตรงข้ามซูเปอร์ Migros) เห็นร้านอาหารบรรยากาศดี จึงตกลงกันว่าจะทานมื้อเย็นกันที่นี่ ดูเมนูแล้วสั่งกันคนละอย่าง บอกว่าอย่าสั่งเหมือนกันจะได้แชร์และชิมกัน ผมสั่งอาหารที่อยู่ในรายการแนะนำของร้าน เป็นอาหารชื่อ “สเต็กทาร์ทาร์ (Steak Tartare)” ที่ผมสดุดตาก็เพราะในเมนูเขียนไว้ว่าสามารถบอกความต้องการได้ว่าต้องการเผ็ดมากน้อยแค่ไหน นี่แค่มาวันที่สองก็อยากกินรสชาติอาหารไทยแล้ว

        ตอนที่เขายกอาหารมา ดูแล้วน่าตกใจเหมือนกันนะ เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้ามันคือเนื้อสดๆ ที่นำมาบดคลุกกับไข่ ใส่หอม พริกไทย เกลือ และมีผัก เลมอน ฯลฯ  โดยให้เราทากินกับขนมปังกรอบ มันไม่ใช่สเต็กรสเผ็ดอย่างที่ผมจินตนาการไว้แต่อย่างใด แต่ผลัดกันชิมไปชิมมาในที่สุดก็หมดจนได้ นับเป็นประสบการณ์อาหารฝรั่งที่รสชาติแปลกดี วันที่สองนี้ไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเหมือนกับวันแรก คงเป็นเมื่อคืนได้นอนเต็มอิ่มหรือไม่ก็เพราะวันนี้เดินไม่มากเหมือนวันแรกที่มา

อ่านตอนต่อไปได้ที่ https://ppantip.com/topic/36397831
ชื่อสินค้า:   Swiss Pass
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่