Once upon a Coffee แม้แต่ผียังดื่มกาแฟ - บทที่ 2 ร้านกาแฟพิลึกพิลั่น

ตอนก่อนหน้า
บทที่1 Once upon a Death - จุดจบคือจุดเริ่มต้น https://ppantip.com/topic/36369806



---------------------------------
โลกวิญญานเชื่อมต่อกับโลกมนุษย์อย่างไรฉันไม่ค่อยแน่ใจ ฉันไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวิ่งข้ามเขตของโลกวิญญานไปยังโลกมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ จนกระทั่งเม็ดฝนหยดลงบนศีรษะ ถึงได้รู้สึกตัวว่าฝนตก และฉันได้มาถึงโลกมนุษย์แล้ว

ร่มหลากสีซ่อนสีหน้าของผู้คนไว้ พวกเขาก้มหน้าวิ่งหลบฝนกันทุลักทุเล ดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด ฉันพยายามจะหลีกทางให้ แต่พวกเขากลับวิ่งทะลุร่างของฉันไป วินาทีนั้นฉันตกตะลึง แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ ฉันตายไปแล้ว จะชนกับคนอื่นได้อย่างไร

ฉันเหม่อมองไปรอบด้านอย่างสลดใจ ทั้งๆ ที่เป็นโลกมนุษย์ที่ควรจะคุ้นเคย แต่ฉันกลับไม่รู้จักอะไรเลยสักนิด ทั้งรถรา บ้านเรือน ถนนหนทาง ล้วนแล้วแต่แปลกตาไปเสียหมด

ในเมื่อไม่เหลือความทรงจำแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะตามหาความจริง สิ่งที่อยากรู้ก็เป็นเพียงเรื่องของใครคนหนึ่ง... ที่ฉันไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของตัวเองด้วยซ้ำ

แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังอยากรู้ความจริงอยู่ดี

ผู้คนยังคงวิ่งหลบฝน หลายคนวิ่งทะลุผ่านร่างของฉันไป หยดน้ำฝนกระเซ็นเปรอะเปรื้อนร่างของฉันไปทั่ว เสียงฝนตกกระทบพื้นเริ่มดังจนกลบทุกสิ่ง หยดน้ำบนพื้นเริ่มรวมตัวกันจนเป็นแอ่งน้ำ ฉันมองภาพสะท้อนของตัวเองบนนั้น เป็นหญิงสาวผมยาว อายุประมาณยี่สิบห้าปี

พอเห็นเงาสะท้อนของตัวเองก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า รสริน

…นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจำได้

จู่ๆ กลิ่นหอมหวนก็ลอยมากระทบจมูก ฉันหมุนตัวไปมอง เห็นว่าประตูร้านค้าเปิดออก ลูกค้าคนหนึ่งเดินออกมา ฉันแอบเหลือบมองเข้าไปข้างใน ไฟข้างในร้านค่อนข้างมืดสลัว มีโต๊ะกับเก้าอี้จัดเป็นกลุ่มๆ ดูโดยรวมแล้วคล้ายร้านขายอาหาร พอนึกถึงตรงนั้นก็เลยรู้ว่ากลิ่นเมื่อครู่คือกลิ่นกาแฟ ที่นี่คงจะเป็นร้านกาแฟ

ไม่รู้เหตุใดฉันถึงอยากจะดูข้างในร้าน อาจเป็นเพราะกลิ่นหอมหวนที่น่าดึงดูดของกาแฟนั่น หรือบางทีตอนที่ยังมีชีวิต ฉันอาจจะชอบดื่มกาแฟมากก็ได้

สัมผัสแรกที่รู้สึกได้เมื่อเดินเข้าไปคืออากาศหนาวผิดปกติ สองคือไฟในร้านมืดสลัวมากเกินกว่าจะเป็นร้านกาแฟ ฉันเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน โคมไฟระย้าดวงเล็กๆ กะพริบแสงริบหรี่ บางดวงไม่มีไฟด้วยซ้ำ บางโคมไฟก็มีแต่ฝุ่นและหยากไย่จนดูดำสกปรกไปหมด ฉันอดต่อว่าเจ้าของร้านในใจไม่ได้ เหตุใดถึงปล่อยให้ร้านสกปรกขนาดนี้

ทันใดนั้น ฉันพลันสะดุ้งเฮือก มีน้ำจากเพดานหยดลงบนแขน

เลือด!

ฉันผงะถอยหลัง พร้อมกับมองไปบนเพดานอย่างตกใจ เลือดหยดมาจากโคมไฟที่มีแต่หยากไย่และสกปรกนั่น ยังไม่ทันที่ฉันจะนึกหาเหตุผลได้ โคมไฟกลับหมุนมาอีกด้าน กลายเป็นศีรษะมนุษย์ที่ลอยอยู่บนเพดาน มันแสยะยิ้มให้ฉัน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก

“มาใหม่เหรอจ๊ะหนู...”

“กรี๊ดดดด!”

ฉันกรีดร้องสุดเสียง กลัวจนหัวใจจะวายตาย แต่เผอิญว่าตายไปแล้ว คงตายซ้ำอีกไม่ได้ จะว่าไปนี่ถือว่าเป็นเรื่องดีไหมนะ ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวตายแล้วนี่

ศีรษะนั่นลอยเข้ามาใกล้ ฉันรีบวิ่งหลบไปให้พ้น แต่เมื่อขยับตัวก็พบว่ามีอะไรบางอย่างฉุดขาไว้ ก้มลงไปมองก็เห็นว่าเป็นผีอีกตนหนึ่งกำลังร้องไห้อย่างน่าสงสาร

“หิวจังเลย…หิวจังเลย…”

ฉันกรี๊ดลั่นอีกรอบ พอพยายามจะสะบัดขาหนี ก็ดันล้มลงกับพื้น ผีตนนั้นกำลังจะคลานขึ้นมาบนตัวฉัน โอ น่ากลัวอะไรอย่างนี้ ฉันอยากจะเป็นลมเหลือเกิน แต่ผีคงเป็นลมไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นคงจะเป็นลมไปนานแล้ว

แม้จะจำอะไรไม่ได้สักอย่าง แต่ฉันมั่นใจ ดูจากอาการกลัวจนขี้ขึ้นสมองนี้แล้ว ตอนยังมีชีวิตฉันต้องเป็นคนกลัวผีมากแน่นอน

ในที่สุดฉันสะบัดขาจนหลุดจากมันได้ จากนั้นก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จะว่าไป…เหลือชีวิตให้คิดเสียที่ไหน

ฉันวิ่งจนเกือบจะคว้าลูกบิดประตูไว้ได้แล้ว แต่ทางออกกลับมีคนมาบังไว้ ฉันกำลังจะมุดหนีออกไป แต่ดูไปดูมา คนผู้นั้นกลับเป็นร่างคนที่ไม่มีหัว!

“กรี๊ดดด!”

แทนที่จะได้วิ่งออกจากร้าน ฉันก็วิ่งกลับเข้ามาใหม่ ทั้งยังพบกับผี ‘ฝูง’ ใหญ่กำลังรออยู่ ทั้งผีหัวขาดเอย ผีแขนขาเอย ผีตาโบ๋ก็มี แล้วก็ยังมีผีเด็ก ผีแก่ ผีสาว ผีหนุ่ม สารพัดผี มะรุมมะตุ้มอยู่ในร้านจนเต็มไปหมด

ที่นี่มันที่ไหนกันแน่เนี่ย!

ฉันกรี๊ดจนเวียนหัว ชาติที่แล้วฉันคงทำกรรมไว้มากเป็นแน่แท้ ถึงได้ต้องมาเจออะไรแบบนี้

สติที่ยังเหลือน้อยเต็มทีสั่งให้มองหาที่ซ่อน พอมอบไปรอบด้าน ก็เห็นว่าตรงเคาท์เตอร์กลับไม่มีผีสักตัว คนสมองน้อยอย่างฉันคิดอะไรไม่ออก นอกจากวิ่งเข้าไปมุดอยู่ในเคาท์เตอร์เหมือนหนูสกปรก แล้วร้องไห้โฮอย่างหมดหนทาง

ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย! ฮือออ!

“ผมบอกแล้วไงครับว่าอย่าแกล้งลูกค้า”

เสียงทุ้มเฉียบขาดของชายหนึ่งผู้หนึ่งพลันดังขึ้น ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่ใบหน้าของใครคนหนึ่งจะชะโงกหน้าเข้ามา ฉันสะดุ้งเฮือก กลัวว่าจะเป็นผีประหลาดอีกตัวมาหา ถึงแม้ชายผู้นี้จะหน้าตาดูดีเกินกว่าคนทั่วไป แต่ตอนนั้นฉันกลัวจนนึกอะไรไม่ออก ได้แต่น้ำตาร่วงเผาะๆ ท่าเดียว

“ก็นี่ไม่ใช่มนุษย์สักหน่อย ไม่อยู่ในข้อตกลงนี่” เสียงหนึ่งแย้ง

ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะสำรวจฉันใหม่อีกครั้ง นัยน์ตาเรียวคมนั่นทอประกายสงสัย อีกชั่วอึดใจเขาก็เอ่ยอย่างเนิบนาบเจือเย็นชาว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”

ฉันมองเขาทั้งน้ำตา “คะ แค่หลงเข้ามาค่ะ ให้ฉันออกไปได้ไหม”

เขายืดตัวขึ้น แล้วผายมือออกคล้ายจะเปิดทางให้ “เชิญ”

ฉันมองเขาขึ้นๆ ลงๆ พอเห็นว่าคนผู้นี้มีหัวมีขาครบถ้วน ก็ค่อยโล่งใจว่าเขาคงจะเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ยังไม่ทันคิดว่าทำไมคนธรรมดาถึงมองเห็นผีได้ ที่จริงพอเห็นผีฉันก็นึกอะไรไม่ออกทั้งนั้น “คะ คุณไล่ผีออกไปให้ฉันก่อนได้ไหม...”

“คุณก็เป็นผี” เขาเอ่ยอย่างชืดชา

“แต่ไม่ได้หัวขาดแบบผีพวกนั้น!” ฉันร้องไห้โฮอีกรอบ

ฝูงผีส่งเสียงโห่ฉันยกใหญ่

เขากลอกตาอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะโบกมือไล่ผีฝูงนั้นให้ไปที่อื่น “รีบๆ ออกไป เดี๋ยวยมทูตมาผมจะเดือดร้อน ผมยังไม่อยากตกนรก”

ฉันเกือบจะวิ่งแจ้นออกไปแล้ว เพียงแต่ติดใจประโยคสุดท้ายของเขา จนอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมต้องตกนรกด้วยล่ะคะ”

“ฝ่าฝนกฏยมโลก รั้งตัววิญญาณที่จะต้องไปผุดไปเกิดไว้” เขาตอบอย่างเฉยเมย

น้ำตาของฉันหยุดไหลกะทันหัน “แล้วรินจะต้องตกนรกด้วยมั้ย”

เขาเลิกคิ้ว “ก็หนีออกมาหรือเปล่าล่ะ”

ฉันครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “หนี”

เขาใช้ความเงียบเป็นคำตอบ

ฉันเบ้ปากจะร้องไห้

“ไม่ต้องกลัวหรอก” ผีหัวขาดตนเดิมลอยเข้ามาหา “ในนรกมีทั้งผีหัวขาด ผีขาขาด ผีตาหลุด ผีบ้า ผีฟ้า ผีปอบ ผีหมา ผีแมว ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวแม่หนูก็หายกลัวผีเอง”

ฉันกอดขาชายผู้นั้นไว้ แล้วร้องไห้โฮเป็นรอบที่ร้อย

เขาเขยิบหนีอย่างไม่สนใจ “คุณควรจะกลัวยมทูตมากกว่าผี ออกไปได้แล้วครับ”

ฉันพยายามใช้สติที่เหลืออยู่น้อยนิดครุ่นคิด จริงอย่างที่เขาว่า แต่จะให้ออกไปเลยฉันก็ยังกลัวอยู่ดี  “ออกไปแล้วจะเป็นยังไงคะ”

“ยมทูตก็จะมารับ” เขาดูใช้ความพยายามไม่น้อยที่จะต้องอธิบาย “คุณก็ไปตามทางของคุณ ไปเกิดใหม่ ไปชดใช้กรรม แล้วแต่เวรกรรมของคุณ”

“รินยังไม่อยากไปเกิด…” ฉันพูดเสียงอ่อย “รินอยากรู้ว่าตัวเองตายได้ยังไง”

เขามองฉันด้วยแววตาที่ทอประกายประหลาด “ยิ่งคุณหนี เรื่องจะยิ่งบานปลาย คุณตายได้ยังไงจะสำคัญอะไร ในเมื่อคุณก็ตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมาใหม่ก็ไม่ได้”

คำพูดนั้นทำให้ฉันเศร้ายิ่งกว่าเดิม แต่ถึงอย่างนั้น…

“รินก็ยังอยากรู้อยู่ดี” ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง “รินไปเกิดทั้งอย่างนี้ไม่ได้ มันทรมาน…”

ความรู้สึกที่ยังหลงเหลืออยู่กัดกินหัวใจฉันอย่างโหดร้าย ความทรมานนั้นมากมายจนกระทั่งน้ำยาลบความทรงจำยังจัดการไม่ได้ ราวกับมันกำลังบอกใบ้ว่าความตายของฉันปราศจากความยุติธรรม และอย่างน้อย… แม้จะทำอะไรไม่ได้ ฉันก็ควรจะได้รู้ว่าตัวเองตายได้อย่างไร

ฉันเอาแต่ร้องไห้ เขาก็นิ่งเฉยไม่ตอบคำ เป็นบรรดาผีเสียอีกที่ช่วยพูดให้

“น่าสงสารจังเลย” ผีคุณป้าร้องไห้

“ป้าเข้าใจความรู้สึกนั้นนะ” ผีอีกตัวหนึ่งซับน้ำตาป้อยๆ

“พ่อภูช่วยเขาหน่อยเถอะ สนิทกับยมทูตไม่ใช่เหรอ” ผีหัวขาดก็ช่วยพูดเหมือนกัน

“ยังไม่ไปเกิดแค่วันสองวันจะเป็นไรไป” ผีคุณลุงตาโบ๋ทำเสียงฮึดฮัด “ดูพวกเราซิ เป็นปีเป็นชาติยังไม่ได้ไปเกิดเลย”

พอเห็นเขายังนิ่งเงียบ ไม่ยอมใจอ่อน ฝูงผีก็พากันรุมล้อมชายผู้นั้น แล้วส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังลั่นไปทั่วร้าน

“พอ!” ชายผู้นั้นโบกมือไล่ฝูงผี “พวกคุณลุงคุณป้าอยากให้ผมทำยังไงครับ ผู้หญิงคนนี้ต้องไปเกิด ผมขัดขืนลิขิตสวรรค์ไม่ได้”

“ก็ไม่ได้บอกให้ไม่ต้องไปเกิดเสียหน่อย” ผีคุณลุงตาโบ๋แย้ง “แค่ ‘เลื่อน’ เวลาออกไปก็ได้นี่นา”

“ยังไงเธอก็ต้องโดนลงโทษอยู่แล้ว” ผีคุณป้าเสริม “กลับช้านิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก พ่อภูก็ซ่อนเธอไว้ในร้านก็ได้นี่นา ผีอยู่ในร้านเยอะแยะ ยมทูตหาไม่เจอหรอก”

ฉันที่เอาแต่ร้องไห้มาตลอดหยุดฟังอย่างตั้งใจ จากที่บรรดาผีพูด แสดงว่ายังพอจะซ่อนตัวจากยมทูตได้ ที่จริงฉันยังไม่เลิกกลัวผีหรอกนะ เพียงแต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้เพราะกลัวผี หรือว่าร้องเพราะยังไม่อยากไปเกิดกันแน่

“ให้รินอยู่ที่นี่นะคะ” ฉันอ้อนวอนชายผู้นั้นอย่างหมดหนทาง “แล้วรินจะยอมทำทุกอย่าง คุณอยากให้รินทำอะไรบอกมาได้หมดเลยค่ะ”

เขายกมือขึ้นกอดอก แล้วตอบกลับมาสั้นๆ “ไม่กลัวผีแล้วเหรอ”

ฉันเหลือบตาไปมองผีคุณลุงตาโบ๋ ที่ถูกผีเด็กขโมยลูกตาไปโยนเล่น มองไปอีกด้านก็เห็นผีคุณป้าพยายามจะยัดไส้กลับเข้าไปในท้อง แล้วฉันก็น้ำตาไหลพราก “ไม่กลัวแล้วค่ะ…”

“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก” เขาตัดบท

“ได้โปรดเถอะค่ะ!” ฉันก้มศีรษะให้เขา “ขอแค่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่สักวันสองวันก็ยังดี!”

เขามองฉันอย่างเย็นชา “ออกไปได้แล้วครับ”

“ได้โปรดเถอะค่ะ!” ฉันยกมือไหว้เขาด้วย

เขาเสมองไปอีกทาง

“ได้โปรดเถอะค่ะ!” ฉันก้มหัวปะหลกๆ พร้อมกับร้องไห้อย่างน่าสงสาร

แต่เขาก็ยังไม่ยอมใจอ่อน

“ได้โปรดเถอะ! ได้โปรดเถอะ! ได้โปรดเถอะ!”

คราวนี้ไม่ได้มีแค่เสียงของฉันแล้ว แต่เป็นบรรดาผีๆ ที่ช่วยกันพูดจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร รู้แต่ว่าทั้งร้านมีแต่เสียง ‘ได้โปรดเถอะ’ ดังลั่น จนผีข้างนอกอดเหลือบมองเข้ามาไม่ได้

“พอได้แล้ว!” ชายผู้นั้นตะโกน ก่อนจะถอนหายใจเฮือก

ฝูงผีพากันเงียบ เหลือแต่ฉันที่คลานไปกอดขาเขาอย่างไร้ยางอาย “ได้โปรดเถอะนะคะ… ฉันจะยอมทำทุกอย่างเลย จะให้ไปบุกน้ำลุยไฟอะไรก็ได้”

เขาผลักศีรษะของฉันออกอย่างไร้เยื่อใย “คุณบอกว่าจะยอมทำทุกอย่างใช่ไหม”

ฉันพยักหน้าหงึกหงัก

“ดี” เขาโน้มตัวลงมาหา แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มาช่วยงานร้านผม ถ้ายอดขายไม่เพิ่มขึ้นสามเท่า ภายในสามวัน ผมจะโยนคุณใส่ยมทูตเลย”

ฉันมองเขาตาเหลือก

นี่เห็นฉันเป็นเจ้าหญิงเงือกในเดอะลิตเติลเมอร์เมดหรือยังไง ที่ต้องทำให้เจ้าชายหลงรักให้ได้ภายในสามวัน ไม่อย่างนั้นต้องกลายเป็นฟองสบู่แล้วก็สลายไป ฉันเป็นผี พูดไปใครก็ไม่ได้ยิน ช่วยล้างถ้วยยังไม่ได้ แล้วจะมีปัญญาทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้ยังไง! นี่มันงี่เง่าพอๆ กับการทำให้ผู้ชายตกหลุมรักภายในสามวันนั่นแหละ!

…จะว่าไปทำไมถึงจำได้แต่เรื่องไร้สาระนะ

ฉันเริ่มน้ำตาคลอ นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว เพิ่งจะตายยังน่าสงสารไม่พอ ยังจะใช้ให้ทำงานที่เป็นไปไม่ได้อีก คนอะไรใจร้ายใจดำ ตั้งใจจะกลั่นแกล้งกันชัดๆ

เขาเมินสายตาตัดพ้อของฉัน แล้วเอ่ยชืดๆ เหมือนน้ำล้างถ้วย “ทำไม่ได้ก็ออกไปครับ”

“ทำได้ค่ะ!” ฉันรีบรับปาก แล้วก็นึกอยากจะกระโจนเข้าไปบีบคอเขานัก!





------------------------------------------
สวัสดีค่าทุกคน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ตอนที่ลงกลัวมากว่าจะทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่ดูแล้วไม่ใครว่าอะไร น้ำตาลก็จะลงต่อไปนะคะ 555+ ถ้าทำอะไรผิดไปบอกกันได้เสมอค่ะ

ขอบคุณ ถูกใจ จากคุณ ณวลี ถูกใจ, zoi ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 862450 ถูกใจ มากๆ ค่ะ เป็นกำลังใจได้มากเลยยยย >__<
ขอบคุณ comment จากคุณ interrupt ด้วยนะคะ ซึ้งมากกกค่ะ คิดว่าจะไม่ได้รับคอมเมนท์อะไรเลยเสียแล้ว  TvT
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่