คนรอบตัวที่ฉันรู้จักมากเกินกว่าครึ่งที่มีอาการของ "โรคซึมเศร้า" แฝงอยู่ในตัว บางคนกำลังรักษาตัว บางคนมีความเครียดมากกว่าปกติ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอาการป่วยอยู่ ฉันเฝ้าสังเกตุอาการของคนรอบข้าง จนวันหนึ่งฉันก็ถูกโรคซึมเศร้า "กลืนกิน" เสียเอง...
ชีวิตในวัยเด็กของฉันเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยขัดใจลูกสาวตัวน้อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้เด็กหญิงเติบโตขึ้นกลายเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจและไม่รับฟังความคิดของคนอื่นมากเท่าใดนัก...จนวันหนึ่งบุคคลที่ได้เคยตามใจมาตลอดกลับจากไป...โลกที่เคยสวยงามกลายเป็นหมองเศร้าในพริบตา...รอยยิ้มที่เคยมีเหลือเพียงแต่ร่องน้ำตาที่ถูกเก็บเอาไว้ในหัวใจ
งานศพของพ่อฉันไม่เคยเสียน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว....เพราะพ่อไม่ให้ร้อง...พ่อห้ามลูกสาวของพ่อ...ร้องไห้เสียน้ำตา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่รู้....เพราะเพียงท่านจากไปไม่นานลูกสาวคนแกร่งของพ่อก็กลายเป็นคนเจ้าน้ำตาขึ้นมาทันที ฉันกลายเป็นคนร้องไห้ง่าย มีอะไรฉันมักเก็บมันเอาไว้ในใจเสมอ...
เมื่อฉันเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย ฉันเริ่มรู้จักเพื่อนมากขึ้น แต่ละคนต่างเข้ามาทำให้ฉันได้เรียนรู้ บางคนเป็นได้ดั่งของขวัญอันแสนล้ำค่า บางคนเป็นได้ดั่งบทเรียนที่น่าจดจำ และด้วยความที่โดนตามใจตั้งแต่เด็ก ฉันจึงมีนิสัยเอาแต่ใจตนเองอย่างเห็นได้ชัด
และมันยิ่งชัดขึ้น...เมื่อฉันมีปัญหาในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ....
ฉันเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนบ่อยโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันไปอยู่กลุ่มไหนก็มักต้องแยกตัวออกมาเองแทบทุกครั้งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ...ฉันเฝ้าแต่คิดว่าทำไมเพื่อนคนนี้ไม่พูดกับฉันล่ะ...ทำไมเพื่อนคนนี้ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะกับฉันล่ะ...ทำไมเพื่อนคนนี้ดูมีความสุขกับเพื่อนคนอื่นมากกว่าตอนอยู่กับฉันล่ะ....
ฉันคิดวนไปวนมาอยู่แบบนี้...จนมันเริ่มกลายเป็นแผลลึกขึ้นในใจ
ฉันเอาตัวตนของฉันไปผูกติดอยู่ที่เท้าคนอื่น..มัวแต่แคร์ความรู้สึกคนอื่น...มัวแต่มองเห็นคนอื่น...จนลืมไปว่า
"ความรู้สึกของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ" และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้
"โรคซึมเศร้า" วิ่งเข้าหา
เรื่องราวมันเริ่มแย่ขึ้นเมื่อฉันได้ไปเรียนรู้การอยู่ร่วมสังคมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง...ในตอนแรกพวกเราไปกันได้ดีมาก...ดีจนฉันมั่นใจว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ฉันจะคบไปด้วยตลอดชีวิต...แต่เวลายิ่งผ่านไป ความคิดที่เคยตั้งไว้กลับเลือนลางลงทุกที...
ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าเพื่อนเริ่มแปลกไป...เราไม่คุยกันเหมือนทุกที...ฉันเดินอยู่คนเดียวบ่อยมากขึ้น...สายตาของเพื่อนที่มองมามันไม่เหมือนเดิม...ฉันเก็บทุกความรู้สึกที่ฉันคิดเอาไว้ในใจ...พอกมันจนหนาขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว
จนสุดท้าย...ฉันตัดสินใจเปิดใจกับเพื่อน..
และนั่นคือการถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์....
การเปิดใจไม่ได้ทำให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้น และในวันนั้นฉันใช้มือข้างขวา "จิก" ลงไปบนมือข้างซ้ายโดยไม่รู้ตัว จิกจนเป็นแผลถลอก...ผ่านไปไม่กี่วันสถานการณ์เริ่มแย่ลงอีก...ฉันโดนด่าซ้ำๆด้วยเรื่องเดิมๆ...โดนด่าจนรู้สึกว่า "ชีวิตของฉันมันไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว ถ้าทำอะไรก็ผิดแบบนี้ สู้ให้ฉันตายๆไปเลยยังจะดีเสียกว่า"
และนั่นเป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้า..."การคิดฆ่าตัวตาย"
แต่ต้องขอบคุณความง่วงในคืนนั้นที่มีมากกว่าทุกวัน ทำให้การคิดฆ่าตัวตายของฉันเป็นอันต้องพับไป...
เรื่องราวมันเริ่มแย่ลงเมื่อฉันเริ่มกินไม่ได้และนอนไม่หลับ บ่อยครั้งที่ต้องร้องไห้ออกมาให้คนอื่นได้เห็น บ่อยครั้งที่ชอบเหม่อมองไปบนถนน มองรถที่วิ่งผ่านไปมาแล้วอยากจะกระโดดเข้าหารถสักคัน บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่าไม่เคยมีความสุขเลย บ่อยครั้งที่อยากหนีไปที่ไหนสักที่ ที่ๆไม่มีใครหาเจอ...
เมื่อฉันมีอาการแบบนี้จึงถูกส่งเข้าห้องให้คำปรึกษากับจิตแพทย์ ทุกคำพูดที่จิตแพทย์ได้ถามฉัน มันทำให้ฉันร้องไห้โฮ ทุกคำพูดที่จิตแพทย์ได้บอกฉัน มันทำให้ฉันหยุดร้องไม่ได้ มีประโยคหนึ่งที่ฉันจำได้ขึ้นใจ จิตแพทย์บอกฉันว่า
"ฉันยึดติดกับคำว่าเพื่อนมากเกินไป เรื่องทุกเรื่องที่ฉันผ่านมันมาได้ ฉันผ่านมันมาด้วยตัวของฉันเอง ไม่ใช่ด้วยตัวของใคร"
ฉันร้องไห้โฮ...
ผลการประเมินอาการพบว่า ฉันมีภาวะโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง (Severe Depression) มีความคิดฆ่าตัวตาย และระดับความเครียดอยู่ที่เครียดมาก....ฉันถูกแอดมิดนอนโรงพยาบาลในวันนั้นทันที...และต้องมีคนเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง...ต้องเริ่มการรับประทานยารักษาโรคตั้งแต่คืนนั้นและกินต่อเนื่องอย่างต่ำไปจนกว่าจะครบสามปี...หลังจากนั้นจะต้องได้รับการประเมินอาการอีกทีหนึ่ง
ฉันถูกส่งตัวกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ยุติการฝึกเข้าร่วมสังคมกับผู้อื่น และต้องเริ่มเรียนรู้รับมือกับอาการป่วยที่มันกำลังกลืนกินฉัน
ในทุกวันนี้ฉันพยายามละห่างออกจากโลกโซเซียล โลกที่ทำให้ฉันมักดิ่งลงทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้ ฉันใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมากขึ้น ยิ้มและหัวเราะให้กับตัวเองมากขึ้น อ่านหนังสือให้เยอะขึ้น เข้าหาธรรมะเพื่อฝึกปฏิบัติใจให้สงบ ไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลได้อีก...
และนับจากนี้ฉันต้อง "รักตัวเอง" ให้มากขึ้น...ไม่เอาใจไปผูกกับเท้าใครอีก
เพราะถ้าวันหนึ่งเขาเดินจากไป เขาจะเหยียบย่ำหัวใจของเราไปด้วย...
ฉันสัญญา...ฉันจะรีบหายในเร็ววัน...
และหากใครกำลังเผชิญหน้ากับโรคนี้อยู่ "ฉันเป็นกำลังใจให้...เรามาพยายามด้วยกันนะคะ"
เมื่อฉันถูกโรคซึมเศร้า "กลืนกิน"
ชีวิตในวัยเด็กของฉันเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยขัดใจลูกสาวตัวน้อยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้เด็กหญิงเติบโตขึ้นกลายเป็นคนค่อนข้างเอาแต่ใจและไม่รับฟังความคิดของคนอื่นมากเท่าใดนัก...จนวันหนึ่งบุคคลที่ได้เคยตามใจมาตลอดกลับจากไป...โลกที่เคยสวยงามกลายเป็นหมองเศร้าในพริบตา...รอยยิ้มที่เคยมีเหลือเพียงแต่ร่องน้ำตาที่ถูกเก็บเอาไว้ในหัวใจ
งานศพของพ่อฉันไม่เคยเสียน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว....เพราะพ่อไม่ให้ร้อง...พ่อห้ามลูกสาวของพ่อ...ร้องไห้เสียน้ำตา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่รู้....เพราะเพียงท่านจากไปไม่นานลูกสาวคนแกร่งของพ่อก็กลายเป็นคนเจ้าน้ำตาขึ้นมาทันที ฉันกลายเป็นคนร้องไห้ง่าย มีอะไรฉันมักเก็บมันเอาไว้ในใจเสมอ...
เมื่อฉันเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย ฉันเริ่มรู้จักเพื่อนมากขึ้น แต่ละคนต่างเข้ามาทำให้ฉันได้เรียนรู้ บางคนเป็นได้ดั่งของขวัญอันแสนล้ำค่า บางคนเป็นได้ดั่งบทเรียนที่น่าจดจำ และด้วยความที่โดนตามใจตั้งแต่เด็ก ฉันจึงมีนิสัยเอาแต่ใจตนเองอย่างเห็นได้ชัด
และมันยิ่งชัดขึ้น...เมื่อฉันมีปัญหาในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพ....
ฉันเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนบ่อยโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันไปอยู่กลุ่มไหนก็มักต้องแยกตัวออกมาเองแทบทุกครั้งด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ...ฉันเฝ้าแต่คิดว่าทำไมเพื่อนคนนี้ไม่พูดกับฉันล่ะ...ทำไมเพื่อนคนนี้ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะกับฉันล่ะ...ทำไมเพื่อนคนนี้ดูมีความสุขกับเพื่อนคนอื่นมากกว่าตอนอยู่กับฉันล่ะ....
ฉันคิดวนไปวนมาอยู่แบบนี้...จนมันเริ่มกลายเป็นแผลลึกขึ้นในใจ
ฉันเอาตัวตนของฉันไปผูกติดอยู่ที่เท้าคนอื่น..มัวแต่แคร์ความรู้สึกคนอื่น...มัวแต่มองเห็นคนอื่น...จนลืมไปว่า "ความรู้สึกของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ" และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "โรคซึมเศร้า" วิ่งเข้าหา
เรื่องราวมันเริ่มแย่ขึ้นเมื่อฉันได้ไปเรียนรู้การอยู่ร่วมสังคมกับเพื่อนกลุ่มหนึ่ง...ในตอนแรกพวกเราไปกันได้ดีมาก...ดีจนฉันมั่นใจว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ฉันจะคบไปด้วยตลอดชีวิต...แต่เวลายิ่งผ่านไป ความคิดที่เคยตั้งไว้กลับเลือนลางลงทุกที...
ฉันเริ่มรู้สึกได้ว่าเพื่อนเริ่มแปลกไป...เราไม่คุยกันเหมือนทุกที...ฉันเดินอยู่คนเดียวบ่อยมากขึ้น...สายตาของเพื่อนที่มองมามันไม่เหมือนเดิม...ฉันเก็บทุกความรู้สึกที่ฉันคิดเอาไว้ในใจ...พอกมันจนหนาขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว
จนสุดท้าย...ฉันตัดสินใจเปิดใจกับเพื่อน..
และนั่นคือการถูกกลืนกินโดยสมบูรณ์....
การเปิดใจไม่ได้ทำให้เรื่องทุกอย่างมันดีขึ้น และในวันนั้นฉันใช้มือข้างขวา "จิก" ลงไปบนมือข้างซ้ายโดยไม่รู้ตัว จิกจนเป็นแผลถลอก...ผ่านไปไม่กี่วันสถานการณ์เริ่มแย่ลงอีก...ฉันโดนด่าซ้ำๆด้วยเรื่องเดิมๆ...โดนด่าจนรู้สึกว่า "ชีวิตของฉันมันไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว ถ้าทำอะไรก็ผิดแบบนี้ สู้ให้ฉันตายๆไปเลยยังจะดีเสียกว่า"
และนั่นเป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้า..."การคิดฆ่าตัวตาย"
แต่ต้องขอบคุณความง่วงในคืนนั้นที่มีมากกว่าทุกวัน ทำให้การคิดฆ่าตัวตายของฉันเป็นอันต้องพับไป...
เรื่องราวมันเริ่มแย่ลงเมื่อฉันเริ่มกินไม่ได้และนอนไม่หลับ บ่อยครั้งที่ต้องร้องไห้ออกมาให้คนอื่นได้เห็น บ่อยครั้งที่ชอบเหม่อมองไปบนถนน มองรถที่วิ่งผ่านไปมาแล้วอยากจะกระโดดเข้าหารถสักคัน บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่าไม่เคยมีความสุขเลย บ่อยครั้งที่อยากหนีไปที่ไหนสักที่ ที่ๆไม่มีใครหาเจอ...
เมื่อฉันมีอาการแบบนี้จึงถูกส่งเข้าห้องให้คำปรึกษากับจิตแพทย์ ทุกคำพูดที่จิตแพทย์ได้ถามฉัน มันทำให้ฉันร้องไห้โฮ ทุกคำพูดที่จิตแพทย์ได้บอกฉัน มันทำให้ฉันหยุดร้องไม่ได้ มีประโยคหนึ่งที่ฉันจำได้ขึ้นใจ จิตแพทย์บอกฉันว่า
"ฉันยึดติดกับคำว่าเพื่อนมากเกินไป เรื่องทุกเรื่องที่ฉันผ่านมันมาได้ ฉันผ่านมันมาด้วยตัวของฉันเอง ไม่ใช่ด้วยตัวของใคร"
ฉันร้องไห้โฮ...
ผลการประเมินอาการพบว่า ฉันมีภาวะโรคซึมเศร้าในระดับรุนแรง (Severe Depression) มีความคิดฆ่าตัวตาย และระดับความเครียดอยู่ที่เครียดมาก....ฉันถูกแอดมิดนอนโรงพยาบาลในวันนั้นทันที...และต้องมีคนเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง...ต้องเริ่มการรับประทานยารักษาโรคตั้งแต่คืนนั้นและกินต่อเนื่องอย่างต่ำไปจนกว่าจะครบสามปี...หลังจากนั้นจะต้องได้รับการประเมินอาการอีกทีหนึ่ง
ฉันถูกส่งตัวกลับมาพักผ่อนที่บ้าน ยุติการฝึกเข้าร่วมสังคมกับผู้อื่น และต้องเริ่มเรียนรู้รับมือกับอาการป่วยที่มันกำลังกลืนกินฉัน
ในทุกวันนี้ฉันพยายามละห่างออกจากโลกโซเซียล โลกที่ทำให้ฉันมักดิ่งลงทุกครั้งที่ได้เข้าใกล้ ฉันใช้ชีวิตอยู่กับตัวเองมากขึ้น ยิ้มและหัวเราะให้กับตัวเองมากขึ้น อ่านหนังสือให้เยอะขึ้น เข้าหาธรรมะเพื่อฝึกปฏิบัติใจให้สงบ ไม่ให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลได้อีก...
เพราะถ้าวันหนึ่งเขาเดินจากไป เขาจะเหยียบย่ำหัวใจของเราไปด้วย...
ฉันสัญญา...ฉันจะรีบหายในเร็ววัน...
และหากใครกำลังเผชิญหน้ากับโรคนี้อยู่ "ฉันเป็นกำลังใจให้...เรามาพยายามด้วยกันนะคะ"