ต่อจากกระทู้ที่แล้วค่ะ...
https://ppantip.com/topic/36330822
การยอมแพ้ของเยอรมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะพร้อมใจกันวางอาวุธเสียเมื่อไหร่...ปล่าวเลยค่ะ มันมีขั้นตอนที่ออกแนวชั้นเชิงพอสมควร...เพราะแม่ทัพเรือ Karl Doenitz ผู้สืบทอดเจตนาให้ดูแลเยอรมันต่อไปจากฮิตเล่อร์นั้น
ถือว่ายังเป็นหัวหน้ากลุ่มในการที่จะเจรจาต่อรองกับสพม....แม่ทัพโดนิทซ์ ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เยอรมันอาจจะยังมีรัฐบาลเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชนะสงครามก็ตาม..
นั่นหมายถึงว่า..เยอรมันอาจจะยังคงมีความสงบสุขและมีอิสระเสรีได้ตามอัตภาพ...พรรคนาซีต่างหากที่จะต้องสลายตัวไป....
ชั้นเชิงชั้นแรก..คือ ในต้นเดือนพฤษภาคม....ที่ได้ขอเจรจาว่าจะยอมวางอาวุธให้กับฝั่งอังกฤษและอเมริกาเฉพาะทางตะวันตกเท่านั้น ส่วนทางฝั่งตะวันออก...ขอยืนหยัดสู้กับรัสเซียต่อไป...
แต่ได้รับการปฏิเสธ...เพราะการยอมแพ้..หมายถึงการที่จะต้องหยุดการต่อสู้ทั้งหมด...เป็นคือการยื่นคำขาดจากผบ. สูงสุด ไอเซ่นฮาวร์
ในความเป็นจริง...แม่ทัพโดนิทซ์ก็ทราบถึงคำตอบดีอยู่แล้ว...แต่การเจรจานั้นเพื่อเป็นการประวิงให้ทหารได้มีโอกาสถอยทัพกลับมาสู่เยอรมันได้ทันเวลา ....กลับมาเป็นเชลยในส่วนของแองโกล-อเมริกันดีกว่าจะตกเป็นเชลยของรัสเซีย
การโยกโย้ในการการเจรจานั้น ได้กินเวลาไปถึง 5 วัน คือจากวันที่ 2-7 พฤษภาคม ที่แม่ทัพซูคอฟได้มาถึงเบอร์ลิน จึงได้มีการจรดปากกาลงนามในสนธิสัญญาศึกในวันรุ่งขึ้นต่อมา...คือวันที่ 8 พฤษภาคม ที่มีการเลี้ยงฉลองชัยชนะที่กันอย่างใหญ่โต ที่ อาคาร Karlshorst ที่แม่ทัพซูคอฟใช้เป็นศูนย์บัญชาการในเบอร์ลิน (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เยอรมัน-รัสเซีย)
ซึ่งการทำวิธีโอ้เอ้ศาลารายของแม่ทัพโดนิทซ์นั้นได้ผลเป็นอย่างมาก เพราะทหารเยอรมันได้หนีรอดจากเงื้อมมือของกองทัพแดงได้ถึงสองล้านคน...
(การโยกย้ายทัพกลับจากฝั่งตะวันออกอย่างเร่งรีบนั้น ดูได้จากภาพยนตร์เรื่อง The Pianist)
เมื่อการพ่ายแพ้ได้เกิดขึ้น...การล่าก็ตามมา โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้ตัวเองว่าโทษนั้นคือตายสถานเดียว คือกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และพวกหมอๆทั้งหลายที่ขานรับนโยบายของนาซีในการที่ช่วยกำจัด
สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ทางสติปัญญาและร่างกาย...ที่ต่างก็ช่วยกันคิดค้นวิธีสารพัด เช่นการรมแก๊ส ฉีดยา และ ให้กินยาพิษ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเหยื่อคือเด็กเล็ก...
อย่างเช่นที่ Risiera San Sabba, Trieste ที่เคยเป็นศูนย์ดูแลคนพิการ แต่ด้วยความปรารถนาของฮิตเล่อร์ที่จะให้สายเลือดอารยันนั้นสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ศูนย์นี้จึงการเป็นสถานที่กำจัดชีวิตที่ไม่พึงปรารถนาให้อยู่ต่อไปในโลก
นอกจากนั้น..ตามโรงพยาบาลอื่นๆก็สามารถปลิดชีวิตผู้พิการได้เช่นกัน...หากว่าแพทย์ได้ลงความเห็นชอบ..Dr.Valentin Falthammer คือผู้อำนวยการโครงการนี้...ที่สมารถทำสกอร์ได้ถึงสามพันรายในเฉพาะที่
โรงพยาบาลใน Kaufbeuren ที่เดียว...และได้มีการสั่งห้ามไม่ให้โบสถ์มีการตีระฆังในงานศพ เพราะ...มันจะดังถี่จนเกินไป ผู้คนจะตกอกตกใจ...
หลังจากที่ฮิตเล่อร์ได้ตายไปหกวัน...ทหารอเมริกันได้จะเข้าไปทำการค้น...แต่เจอกับป้ายที่เขียนเตือนไว้ที่หน้าห้องทำงานว่า "ระวังเชื้อไข้ไทฟอยส์"
ทุกคนจึงหยุดแค่ตรงนั้น ไม่ได้ล่วงเข้าไป...
อลหม่านหลังม่านวันดีเดย์....ภาคสิบห้า!!
https://ppantip.com/topic/36330822
การยอมแพ้ของเยอรมันไม่ใช่ว่าทุกคนจะพร้อมใจกันวางอาวุธเสียเมื่อไหร่...ปล่าวเลยค่ะ มันมีขั้นตอนที่ออกแนวชั้นเชิงพอสมควร...เพราะแม่ทัพเรือ Karl Doenitz ผู้สืบทอดเจตนาให้ดูแลเยอรมันต่อไปจากฮิตเล่อร์นั้น
ถือว่ายังเป็นหัวหน้ากลุ่มในการที่จะเจรจาต่อรองกับสพม....แม่ทัพโดนิทซ์ ยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เยอรมันอาจจะยังมีรัฐบาลเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ชนะสงครามก็ตาม..
นั่นหมายถึงว่า..เยอรมันอาจจะยังคงมีความสงบสุขและมีอิสระเสรีได้ตามอัตภาพ...พรรคนาซีต่างหากที่จะต้องสลายตัวไป....
ชั้นเชิงชั้นแรก..คือ ในต้นเดือนพฤษภาคม....ที่ได้ขอเจรจาว่าจะยอมวางอาวุธให้กับฝั่งอังกฤษและอเมริกาเฉพาะทางตะวันตกเท่านั้น ส่วนทางฝั่งตะวันออก...ขอยืนหยัดสู้กับรัสเซียต่อไป...
แต่ได้รับการปฏิเสธ...เพราะการยอมแพ้..หมายถึงการที่จะต้องหยุดการต่อสู้ทั้งหมด...เป็นคือการยื่นคำขาดจากผบ. สูงสุด ไอเซ่นฮาวร์
ในความเป็นจริง...แม่ทัพโดนิทซ์ก็ทราบถึงคำตอบดีอยู่แล้ว...แต่การเจรจานั้นเพื่อเป็นการประวิงให้ทหารได้มีโอกาสถอยทัพกลับมาสู่เยอรมันได้ทันเวลา ....กลับมาเป็นเชลยในส่วนของแองโกล-อเมริกันดีกว่าจะตกเป็นเชลยของรัสเซีย
การโยกโย้ในการการเจรจานั้น ได้กินเวลาไปถึง 5 วัน คือจากวันที่ 2-7 พฤษภาคม ที่แม่ทัพซูคอฟได้มาถึงเบอร์ลิน จึงได้มีการจรดปากกาลงนามในสนธิสัญญาศึกในวันรุ่งขึ้นต่อมา...คือวันที่ 8 พฤษภาคม ที่มีการเลี้ยงฉลองชัยชนะที่กันอย่างใหญ่โต ที่ อาคาร Karlshorst ที่แม่ทัพซูคอฟใช้เป็นศูนย์บัญชาการในเบอร์ลิน (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ เยอรมัน-รัสเซีย)
ซึ่งการทำวิธีโอ้เอ้ศาลารายของแม่ทัพโดนิทซ์นั้นได้ผลเป็นอย่างมาก เพราะทหารเยอรมันได้หนีรอดจากเงื้อมมือของกองทัพแดงได้ถึงสองล้านคน...
(การโยกย้ายทัพกลับจากฝั่งตะวันออกอย่างเร่งรีบนั้น ดูได้จากภาพยนตร์เรื่อง The Pianist)
เมื่อการพ่ายแพ้ได้เกิดขึ้น...การล่าก็ตามมา โดยเฉพาะกลุ่มที่รู้ตัวเองว่าโทษนั้นคือตายสถานเดียว คือกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ และพวกหมอๆทั้งหลายที่ขานรับนโยบายของนาซีในการที่ช่วยกำจัด
สิ่งมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ทางสติปัญญาและร่างกาย...ที่ต่างก็ช่วยกันคิดค้นวิธีสารพัด เช่นการรมแก๊ส ฉีดยา และ ให้กินยาพิษ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นเหยื่อคือเด็กเล็ก...
อย่างเช่นที่ Risiera San Sabba, Trieste ที่เคยเป็นศูนย์ดูแลคนพิการ แต่ด้วยความปรารถนาของฮิตเล่อร์ที่จะให้สายเลือดอารยันนั้นสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ศูนย์นี้จึงการเป็นสถานที่กำจัดชีวิตที่ไม่พึงปรารถนาให้อยู่ต่อไปในโลก
นอกจากนั้น..ตามโรงพยาบาลอื่นๆก็สามารถปลิดชีวิตผู้พิการได้เช่นกัน...หากว่าแพทย์ได้ลงความเห็นชอบ..Dr.Valentin Falthammer คือผู้อำนวยการโครงการนี้...ที่สมารถทำสกอร์ได้ถึงสามพันรายในเฉพาะที่
โรงพยาบาลใน Kaufbeuren ที่เดียว...และได้มีการสั่งห้ามไม่ให้โบสถ์มีการตีระฆังในงานศพ เพราะ...มันจะดังถี่จนเกินไป ผู้คนจะตกอกตกใจ...
หลังจากที่ฮิตเล่อร์ได้ตายไปหกวัน...ทหารอเมริกันได้จะเข้าไปทำการค้น...แต่เจอกับป้ายที่เขียนเตือนไว้ที่หน้าห้องทำงานว่า "ระวังเชื้อไข้ไทฟอยส์"
ทุกคนจึงหยุดแค่ตรงนั้น ไม่ได้ล่วงเข้าไป...