เราเล่าเรื่อง
รู้ป่ะว่าสิ่งที่โง่ที่สุดในชีวิตเราคืออะไร แทแดดดดดด "ภาษาอังกฤษ"
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจ เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล 3 เพราะเป็นโรงเรียนคริสต์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เก่งขึ้นเลย ถึงขนาดที่อ่านข้อสอบแล้วไม่รู้ว่ามันยากไหม เพราะไม่เข้าใจเลย ศัพท์ก็ได้แค่บางคำ บางคำจริงๆ
ตอนนั้นพยายามเรียนทั้ง Enconcept ครูสมศรี ท่องศัพท์แปะประตูทุกวันก่อนสอบ สุดท้ายก็ได้คะแนนมาแบบต่ำๆ ต่ำกว่าครึ่งด้วย ตอนนั้นยังดีที่วิชาอื่นคะแนนไม่แย่มาก เลยพาตัวเองเข้ามามหา'ลัยได้
พอเข้ามหา'ลัย โชคดีที่ภาษาอังกฤษ 2 ตัวของมหา'ลัย สอนให้เขียน ให้คิด ให้เริ่มจัดรูปแบบความคิดของภาษาอังกฤษ ซึ่งมันพัฒนาเราไประดับนึง แต่พอไม่ได้เรียนต่อ ตัวเราเองก็ไม่คิดจะพัฒนาและเราเชื่อว่าเรามีความสามารถอื่นกลบกันได้
แต่! มันไม่จริง เทอมสุดท้าย (มั้งนะ) ของปีสุดท้ายอาจารย์ให้พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษ เชื่อไหมว่าพูดไม่ได้เลย งงกันทั้งคลาส เป็นความรู้สึกที่เฟลมากครั้งที่ 2 ต่อจากการสอบเข้ามหา'ลัย ซึ่งรู้ว่าภาษาตัวเองอยู่ในขั้นโง่บรม
ตอนก่อนจบเลยขอพ่อลงคอร์สภาษาอังกฤษที่ Fast english แต่ไม่ตั้งใจเรียน ขาดบ้าง สายบ้าง สุดท้ายมันก็ไม่ได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอัน
พอเรียนจบก็เริ่มดูซีรีย์ฝรั่งบ้าง แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็ดูๆ ไป ล่ะก็เดาเนื้อเรื่องเอา ตอนหลังไปเยอฯ 2 เดือน ตอนนั้นใช้ภาษาอังกฤษเยอะหน่อย เพราะคนเยอฯ พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วภาษาเยอฯ ก็ไม่คล่อง
แต่มันจะมีลิมิตคือเราจะมีคำศัพท์และรูปประโยคประมาณนึง ซึ่งหมดจากนี้จะงง ตอบไรไม่ได้ พอกลับมาทำงานต้องสอบ TOEIC ตอนแรกไม่อ่านไปเลย คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตอนหลังอ่านไปหน่อย ฟังซีรีย์ต่อ คะแนนมันก็ผ่านเกณฑ์ที่บริษัทรับ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่พอ เพราะเราไม่ได้เข้าใจ เราแค่สอบได้
ตอนหลังคิดว่าควรลงคอร์สภาษาอังกฤษซักคอร์ส เพื่อพัฒนาทุกสกิล เลยไปสอบก่อนเรียน ปรากฏว่าได้เรียนคอร์สเบสิกสุด ก็เฟลอีก แต่ก็ต้องเรียน ตอนนั้นตั้งใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สุด ไม่ขาดเรียน ไม่สาย เพราะเป็นเงินตัวเอง บวกกับการกดดันตัวเองว่าที่ทำเพราะโง่ ต้องพัฒนาเพื่อโอกาส และการเรียนต่อ
พอจบคอร์สก็สอบผ่านแบบกลางๆ จากตอนแรกที่จะลงคอร์สเดียว เลยลงอีกคอร์สเพราะรู้สึกว่าเราน่าจะได้อะไรมากขึ้น และความพยายามเราก็มากขึ้น เราตั้งใจเรียน เราเข้าคลับ ฝึกฟัง ฝึกเขียน จนถึงวันนี้
วันนี้เราเรียนจบอีกคอร์ส คะแนนที่ออกมายังไม่ถึงคะแนนที่หวัง แต่อาจารย์ก็แนะนำว่าสกิลที่เหลือที่ต้องพัฒนาเราต้องทำด้วยตัวเราเอง ส่วนอื่นคุณพัฒนามากขึ้นแล้ว บวกกับเรารู้สึกตัวเองว่าเออภาษาเราพัฒนานะ เราเลยรู้สึกผ่อนคลายจากความกดดันตัวเอง
ถึงตอนนี้เราก็ไม่กล้าพูดว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตเรื่องภาษาอังกฤษ แต่เรากล้าพูดว่าเราในวันนี้พัฒนาจากเราเมื่อวานมากๆ เราอาจจะยังไม่ใช่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งที่สุด แต่เราอ่านบทความแล้วเข้าใจ เริ่มคุยกับฝรั่งได้ เขียนพอรู้เรื่อง มันมาไกลมากจริงๆ สำหรับเรา
เหนือสิ่งอื่นใด เราคิดว่าความคิดคือสิ่งชี้นำเรามากที่สุด เพราะตราบใดที่เรายังไม่พร้อมที่จะคิดพัฒนาตัวเองเราก็ยังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มก้าวไปสู่สิ่งที่เราหวัง สุดท้ายเราก็จะเป็นแค่คนที่มีดีแค่ปาก
ฟังมาเรื่อยๆ อาจจะดูว่าเราประสบผลสำเร็จแล้ว แต่จริงๆ เราแค่มองเห็นพัฒนาการของเรา ซึ่งนั่นหมายถึงเรายังต้องก้าวต่อไป เพื่อให้เราสำเร็จเป้าหมายที่วางไว้ได้ เพราะเราคาดหวัง และมีเเค่เราที่จะลงมือทำให้มันสำเร็จให้จงได้
รีวิวประสบการณ์ความโง่ภาษาอังกฤษของผมจากวันนั้นถึงวันนี้ครับ
รู้ป่ะว่าสิ่งที่โง่ที่สุดในชีวิตเราคืออะไร แทแดดดดดด "ภาษาอังกฤษ"
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะเข้าใจ เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล 3 เพราะเป็นโรงเรียนคริสต์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เก่งขึ้นเลย ถึงขนาดที่อ่านข้อสอบแล้วไม่รู้ว่ามันยากไหม เพราะไม่เข้าใจเลย ศัพท์ก็ได้แค่บางคำ บางคำจริงๆ
ตอนนั้นพยายามเรียนทั้ง Enconcept ครูสมศรี ท่องศัพท์แปะประตูทุกวันก่อนสอบ สุดท้ายก็ได้คะแนนมาแบบต่ำๆ ต่ำกว่าครึ่งด้วย ตอนนั้นยังดีที่วิชาอื่นคะแนนไม่แย่มาก เลยพาตัวเองเข้ามามหา'ลัยได้
พอเข้ามหา'ลัย โชคดีที่ภาษาอังกฤษ 2 ตัวของมหา'ลัย สอนให้เขียน ให้คิด ให้เริ่มจัดรูปแบบความคิดของภาษาอังกฤษ ซึ่งมันพัฒนาเราไประดับนึง แต่พอไม่ได้เรียนต่อ ตัวเราเองก็ไม่คิดจะพัฒนาและเราเชื่อว่าเรามีความสามารถอื่นกลบกันได้
แต่! มันไม่จริง เทอมสุดท้าย (มั้งนะ) ของปีสุดท้ายอาจารย์ให้พรีเซนต์เป็นภาษาอังกฤษ เชื่อไหมว่าพูดไม่ได้เลย งงกันทั้งคลาส เป็นความรู้สึกที่เฟลมากครั้งที่ 2 ต่อจากการสอบเข้ามหา'ลัย ซึ่งรู้ว่าภาษาตัวเองอยู่ในขั้นโง่บรม
ตอนก่อนจบเลยขอพ่อลงคอร์สภาษาอังกฤษที่ Fast english แต่ไม่ตั้งใจเรียน ขาดบ้าง สายบ้าง สุดท้ายมันก็ไม่ได้อะไรมาเป็นชิ้นเป็นอัน
พอเรียนจบก็เริ่มดูซีรีย์ฝรั่งบ้าง แต่ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็ดูๆ ไป ล่ะก็เดาเนื้อเรื่องเอา ตอนหลังไปเยอฯ 2 เดือน ตอนนั้นใช้ภาษาอังกฤษเยอะหน่อย เพราะคนเยอฯ พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วภาษาเยอฯ ก็ไม่คล่อง
แต่มันจะมีลิมิตคือเราจะมีคำศัพท์และรูปประโยคประมาณนึง ซึ่งหมดจากนี้จะงง ตอบไรไม่ได้ พอกลับมาทำงานต้องสอบ TOEIC ตอนแรกไม่อ่านไปเลย คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตอนหลังอ่านไปหน่อย ฟังซีรีย์ต่อ คะแนนมันก็ผ่านเกณฑ์ที่บริษัทรับ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่พอ เพราะเราไม่ได้เข้าใจ เราแค่สอบได้
ตอนหลังคิดว่าควรลงคอร์สภาษาอังกฤษซักคอร์ส เพื่อพัฒนาทุกสกิล เลยไปสอบก่อนเรียน ปรากฏว่าได้เรียนคอร์สเบสิกสุด ก็เฟลอีก แต่ก็ต้องเรียน ตอนนั้นตั้งใจมากขึ้น แต่ก็ยังไม่สุด ไม่ขาดเรียน ไม่สาย เพราะเป็นเงินตัวเอง บวกกับการกดดันตัวเองว่าที่ทำเพราะโง่ ต้องพัฒนาเพื่อโอกาส และการเรียนต่อ
พอจบคอร์สก็สอบผ่านแบบกลางๆ จากตอนแรกที่จะลงคอร์สเดียว เลยลงอีกคอร์สเพราะรู้สึกว่าเราน่าจะได้อะไรมากขึ้น และความพยายามเราก็มากขึ้น เราตั้งใจเรียน เราเข้าคลับ ฝึกฟัง ฝึกเขียน จนถึงวันนี้
วันนี้เราเรียนจบอีกคอร์ส คะแนนที่ออกมายังไม่ถึงคะแนนที่หวัง แต่อาจารย์ก็แนะนำว่าสกิลที่เหลือที่ต้องพัฒนาเราต้องทำด้วยตัวเราเอง ส่วนอื่นคุณพัฒนามากขึ้นแล้ว บวกกับเรารู้สึกตัวเองว่าเออภาษาเราพัฒนานะ เราเลยรู้สึกผ่อนคลายจากความกดดันตัวเอง
ถึงตอนนี้เราก็ไม่กล้าพูดว่าเราประสบความสำเร็จในชีวิตเรื่องภาษาอังกฤษ แต่เรากล้าพูดว่าเราในวันนี้พัฒนาจากเราเมื่อวานมากๆ เราอาจจะยังไม่ใช่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษได้เก่งที่สุด แต่เราอ่านบทความแล้วเข้าใจ เริ่มคุยกับฝรั่งได้ เขียนพอรู้เรื่อง มันมาไกลมากจริงๆ สำหรับเรา
เหนือสิ่งอื่นใด เราคิดว่าความคิดคือสิ่งชี้นำเรามากที่สุด เพราะตราบใดที่เรายังไม่พร้อมที่จะคิดพัฒนาตัวเองเราก็ยังไม่ได้แม้แต่จะเริ่มก้าวไปสู่สิ่งที่เราหวัง สุดท้ายเราก็จะเป็นแค่คนที่มีดีแค่ปาก
ฟังมาเรื่อยๆ อาจจะดูว่าเราประสบผลสำเร็จแล้ว แต่จริงๆ เราแค่มองเห็นพัฒนาการของเรา ซึ่งนั่นหมายถึงเรายังต้องก้าวต่อไป เพื่อให้เราสำเร็จเป้าหมายที่วางไว้ได้ เพราะเราคาดหวัง และมีเเค่เราที่จะลงมือทำให้มันสำเร็จให้จงได้