ด้วยดิฉันได้ซื้อบ้านในหมู่บ้านจัดสรรในจังหวัดปริมณฑล เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ มีประมาณ 20 กว่าๆหลังคาเรือนซึ่งมีเนื้อที่ต่างกันในแต่ละหลัง บ้านดิฉัน คือ ทาวน์เฮาส์ ซึ่งข้างบ้านดิฉันติดกับครอบครัวของอัยการ(ใหม่) (เพราะลูกชายเพิ่งสอบได้ไม่กี่เดือน) บ้านนี้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้า ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ซื้อทาวน์เฮาส์ 2 หลังอีกหลัง อีกหลังห่างจากบ้านดิฉันไปไม่กีหลังคาเรือนซึ่งเป็นบ้านพี่ชายของอัยการ(ใหม่)มีนิสัยนักเลงมาก

ปมปัญหาเกิดขึ้นจาก พี่ชายอัยการ(ใหม่)ไปเป็นกรรมการหมู่บ้านร่วมเป็นผู้บริหารจัดการเงินส่วนกลางของหมู่บ้าน และได้ปรับเปลี่ยนอัตราการเก็บเงินค่าส่วนกลางใหม่โดยหารเฉลี่ยเท่ากันจากเดิมที่บ้านเดี่ยวก็จะเสียเงินค่าส่วนกลางมากหน่อย และทาวน์เฮาส์จะเสียน้อยกว่าบ้านเดี่ยว ซึ่งก่อนหน้าที่ทางโครงการได้เก็บล่วงหน้าไว้แล้ว 2  ปี และคิดค่าส่วนกลางตามขนาดของพื้นที่บ้านของแต่ละหลัง โดยที่แต่ละหลังจะมีพื้นที่ไม่เท่ากัน ซึ่งผลปรากฏว่า ค่าใช้จ่ายของบ้านของญาติอัยการ(ใหม่)เสียค่าใช้จ่ายลดลงรวมทั้งบ้านที่มีเนื้อที่เยอะจ่ายลดลงมาก ทำให้บ้านที่มีเนื้อที่น้อยต้องรับภาระจ่ายเงินค่าส่วนกลางเพิ่มมากขึ้นและไปแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากบ้านที่มีเนื้อที่เยอะกว่าเป็นเงินจำนวนมาก จนเกิดข้อขัดแย้งกันค่ะ ดิฉันขอเล่าแบบฉบับย่อนะคะ

ทางกรรมการหมู่ชุดเก่าได้ขอลาออกด้วยวาจา ซึ่งทางลูกบ้านก็ได้เลือกประธานและกรรมการชุดใหม่เพื่อบริหารจัดการแทน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจากกรรมการชุดเก่าแต่อย่างใด เชิญเข้าประชุมไม่เข้าประชุม ขอให้เขียนใบลาออกอย่างเป็นทางการถูกต้องตามกฏหมายไม่เขียนซึ่งทางกรรมการชุดใหม่ไม่สามารถไปทำนิติกรรมใด ๆได้  บัญชีเงินส่วนกลางก็ไม่แสดงและไม่เคลียร์ แถมยังโดยกรรมการชุดเก่าบางท่านขู่ทำร้ายกรรมการชุดใหม่อีก โดยเฉพาะบ้านครอบครัวอัยการ(ใหม่) แสดงความยิ่งใหญ่ พี่ชายอัยการ(ใหม่)กับพวกไปยืนด่าประธานหมู่บ้านคนใหม่นอกรั้วบ้าน พร้อมกับผู้เป็นพ่ออัยการ(ใหม่)ถือไม้เบสบอลเดินไปมาหน้าบ้านประธานหมู่บ้านคนใหม่ และบอกกับใคร ๆว่าจะไม่จ่ายค่าส่วนกลางใด ๆ เพราะ บ้านเขา คือ บ้านอัยการ.... อมยิ้ม08

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางดิฉัน จึงอยากจะขอความอนุเคราะห์ผู้รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีคะ  เพราะคนในหมู่บ้านก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยต่างเกรงกลัว อิทธิพลของการเป็น "อัยการ" ซึ่งเป็นข้าราชการที่ต้องดำรงไว้ซึ่งความถูกต้องและยุติธรรม แถมยังมีเงินเดือนค่าตอบแทนที่สูงกว่าอาชีพอื่น ๆ ในวงการราชการอีกต่างหาก ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าการที่ดิฉันไม่ได้เป็นราชการ เป็นอัยการ เป็นผู้พิพากษา หรือมีญาติพี่น้องเป็นข้าราชการระดับสูงมันต้องโดนกระทำแบบนี้หรือคะการที่ดิฉันประกอบสัมมาอาชีพสุจริตแต่กลับต้องมาตกอยู่กับภาวะที่โดนญาติของข้าราชการที่ใช้ของเงินแผ่นดินมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่ ข่มเห่งกันแบบนี้ ใจหนึ่งก็กลัวแต่ใจหนึ่งก็อยากหาทางออกให้ได้ จึงขอรบกวนคำตอบด้วยนะคะ