"ไม่มีทุกข์ใดอยู่นานถาวร ไม่มีสุขใดอยู่กับเราได้ตลอด สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง มีเพียงใจที่สงบนิ่งเห็นความแปรปรวนของสรรพสิ่งแล้วละวาง ปล่อยวางได้บ้างเป็นระยะสั้นก็พอจะมีความเย็นใจโชยขึ้นมาเบาๆ ให้พอบรรเทาทุกข์ไปได้บ้าง"
ข้อความข้างต้น เป็นกำลังใจให้ผมในวันที่ชีวิตมืดมนจนถึงที่สุด ผมอ่านข้อความดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งมาถึงวันนี้ วันที่ผมได้พ้นจากความทุกข์นั้นแล้ว ผมก็อดที่จะนึกขอบคุณเจ้าของข้อความที่ปลอยโยนผมในตอนนั้นไม่ได้ เค้าคนนั้นมีชื่อเล่นว่า พี่วี เป็น CEO บริษัทหนึ่ง ที่ผมปลื้มตั้งแต่แรกเห็น (วันนั้นเราได้มีโอกาสไปทานอาหารกลางวันกัน มีการเสริฟติ่มซำและเมื่อทานกันหมดเข่ง พี่วี ซึ่งเป็น CEO บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นคนที่คอยเก็บเข่งออกจากโต๊ะอาหาร ภาพของพี่เค้าในวันนั้นทำให้ผมประทับใจมากๆ)
เดือน มี.ค. เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด เมื่อลูกสาวผมได้เกิดออกมาเธอน่ารักมาก ผมคาดหวังแค่อยากให้เธอเป็นคนดี มีจิตใจที่ดี รัก เมตตาและรู้จักที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น และในช่วงเวลาเดียวกัน ผมได้รางวัลที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดสำหรับคนที่อยู่สายอาชีพเดียวกับผม (ผมอยู่ในแวดวงการเงินการลงทุน) ซึ่งผมก็ได้รางวัลดังกล่าวเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ช่วงเวลานั้นมันช่างเป็นเวลาที่ดีมากๆของผม แต่ความสุขดังกล่าวมันก็แสนสั้นมากๆ เพราะหลังจากที่ลุกสาวผมคลอดออกมา อดีตภรรยาก็มีปัญหากับแม่ของผมอย่างรุนแรง ปัญหาที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความเกลียดชังต่อกัน และทำให้อดีตภรรยาไม่ต้องการให้แม่ผมได้เป็นคนเลี้ยงดูลูก ผมกลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะภาพที่เคยวาดเอาไว้ว่าจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขมันเริ่มมีปัญหาแล้ว ผมเองเป็นลูกชายคนเดียว โดยมีพี่สาว 2 และน้องสาว 1 คน ซึ่งทุกคนได้แต่งออกไปกันหมดแล้ว และผมก็อยากให้แม่ได้อยู่กับผม ได้มีโอกาสได้เลี้ยงหลาน ก่อนหน้าที่ลุกจะคลอดออกมา อดีตภรรยาได้อาศัยอยู่ในบ้านของแม่ผม (เราอยู่กัน 3 คน คือ ผม แม่ และอดีตภรรยา) โดยอยู่ร่วมกัน 3 ปีกว่า ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน อดีตภรรยามีปัยหากับแม่เรื่อยๆ แต่ผมยังประคองสถานการณ์ได้ อดีตภรรยายังอดทนและเห็นแก่ผม เช่นเดียวกับแม่ผมที่อยากให้ผมสบายใจ แต่พอลูกคลอดอะไรที่เคยเก็บกันมาก็ระเบิดออก
เมื่ออดีตภรรยามีปัญหากับแม่ของผม ผมเองก็มีปฎิกิริยาต่อต้านและมีปัญหากับแม่ของอดีตภรรยาด้วยเช่นกัน ปัญหาเริ่มลุกลาม จนมาถึงวันที่แย่ที่สุด ตอนนั้นลุกอายุได้เพียง 3 เดือนเศษ อดีตภรรยายื่นคำขาดว่าบ้านใหม่ที่เพิ่งซื้อกันนั้น เธอจะพาลูกมาอยู่ก็ต่อเมื่อต้องไม่มีแม่ผมอยู่ ผมรับไม่ได้กับการยื่นคำขาดแบบนี้ พยายามแก้ปัญหา ว่าให้แม่อดีตภรรยามาอยู่ด้วยกันได้ ผมยกห้องหนังสือผมให้เลย ผมขอแค่ให้ผมได้อยู่กับแม่ผม แต่คำตอบคือการปฎิเสธ ผมเองมาถึงจุดที่ความรักมันล่มสลายมากๆ เพราะคนที่เค้ารักกันมันไม่ควรมาบีบคั้นกันแบบนี้ ประกอบกับก่อนหน้านั้นผมเริ่มเห็นวี่แววแล้วว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกับอดีตภรรยาและแม่ของผม มันรุนแรงมากและผมคิดว่าแม่ของผมไม่ผิด ผมจึงได้คิดเรื่องของการแยกทางกันมาพอสมควรแล้ว จึงได้ตัดสินใจที่บอกเค้าว่าในเมื่อ เค้าไม่ต้องการให้แม่ผมอยู่ในบ้านใหม่ด้วยกัน แต่ผมทำให้ไม่ได้ งั้นก็เลิกกัน
ในช่วงที่ผมได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับอดีตภรรยานั้น แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย แม้ว่าเธอจะเป็นคนอารมณ์ร้อน ส่วนผมเป็นพวกคิดเร็วทำเร็วและมีความคิดที่แหวกแหกกฎสังคม แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้ด้วย Lifestye ที่ไม่แตกต่างกัน เราชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ผมเองก็พยายามดูแลเธอทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำให้ได้ อดีตภรรยาไม่เคยต้องมาลำบากดูแลอะไรผม บ้านก็มีคนถูให้ จานชามมีคนล้างให้ เสื้อผ้าผมก็คอยเอาไปส่งซักรีดและออกตังค์ให้ เช่นเดียวกับ อาหารการกินทุกมื้อผมเป็นคนดูแลให้เธอ ที่หลับนอนผมก็เป็นคนพันผ้านวมปูผ้าคลุมทุกเช้า ผมไม่เคยโมโหใส่เธอ ไม่เคยอารมณ์ร้อนใส่เธอ ไม่เคยพูดไม่ดีกับเธอแม้แต่คำเดียว ผมมักจะบอกเธอเสมอ (ตอนที่เธอยังเกรงใจและรักผม) ว่าคนที่รักกันไม่ควรพูดจาไม่ดีหรือทำไม่ดีใส่กัน หากเธอพูดไม่ดีหรือด่าเมื่อไหร่ ผมจะไม่ทน
ผมเป็นคนมีวินัยการเงินสูงมาก ตอนที่อยู่ด้วยกันปีแรกผมขอเงินเดือนของผมให้แม่ทั้งหมด (ผมหารายได้ทางอื่นเพิ่มด้วยการสอนพิเศษ ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง) เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณแม่ พอเข้าสู่ปีที่สอง เราคุยกันว่าอยากมีบ้านหลังใหม่ ผมจึงขอให้เงินแม่ผมครึ่งหนึ่งของเงินเดือน อีกครึ่งเอามาเข้าบัญชีใช้ชื่อร่วมกันเพื่อเป็นเงินเก็บไว้ซื้อบ้าน เวลามีโบนัสก็จะเอามาเข้าบัญชีนี้ ซึ่งตอนนั้นเงินเดือนผมไม่ได้สูงมากมายอะไร ผมไม่สามารถให้เงินเธอได้ (เธอก็มีรายได้จากการทำงานประจำ และเธอไม่เคยต้องออกค่าใช้จ่ายใดๆในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน) ที่ทำได้ก็คือเก็บเงินไว้ในชื่อร่วมกัน ซึ่งพอผ่านไปได้ 2 ปีกว่า ก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ซึ่งมีแต่เงินของผมที่เป็นคนเติมลงไป ตอนนั้นเรามีแผนที่อยากจะมีลุก แต่เธอเป็นคนมีลุกยากด้วยเพราะเคยผ่าซีสขนาดใหญ่ 2 ลูก (ตอนนั้นเรายังเป็นแค่แฟนกัน การผ่าซีสดังกล่าวทำให้เธอกลุ้มใจมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้มีลูกยาก หากผมเลิกกับเธอแล้วก็จะไม่มีใครมาคบกับเธออีก ผมอยากให้เธอสบายใจจึงได้บอกว่างั้นเราก็แต่งงานกัน) เราจึงตัดสินใจไปทำอิ๊กซี่ (คล้ายๆวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว) ผมเองก็เป็นออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบ 4 แสนบาท ยังดีที่ลูกยอมมาจากการทำอีกซี่เพียงครั้งเดียว
การที่ผมไม่เคยให้เงินเธอเลย แม้จะเก็บเงินไว้ในบัญชีที่ใช้ชื่อร่วมกัน เมื่อแม่เธอรู้ (รู้ตอนที่เริ่มมีปัยหากันและเธอเล่าทุกอย่างให้แม่เธอฟัง) ก็กลายเป็นเกลียดผมขึ้นมาทันที จากแต่ก่อนที่ผมแทบจะเป็นลูกเขยที่ดีมาก กลายเป็นคนชั่วทันทีที่แม่เธอรู้ว่าไม่ได้ให้เงินลูกเธอ แม้ผมจะพยายามอธิบายว่าผมไม่ได้มีเงินเดือนเยอะไปกว่าเธอเลย ผมต้องเก็บเงินซื้อบ้าน ผมอยากกู้ให้น้อยที่สุด ผมไม่อยากเสียดอกเบี้ย แต่แม่เธอก็ไม่ฟังและตำหนิผมตลอดว่าไม่ให้เงินลุกเธอเลย ผมเองก็ถามกลับไปว่า แล้วที่ผมดูแลทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันคืออะไร แม่ของเธอตอบกลับมาว่า มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำอยู่แล้ว ผมถามต่อว่า เงินเดือนทุกบาทผมไม่เคยได้ใช้ คนที่ไม่ได้อะไรคือผม แม่เค้าตอบมาว่า ทำไมผมจะไม่ได้ ผมได้แต่ผมก็ให้แม่ผมไปไง ผมก็ได้แต่อืมมมมมม แล้วการให้เงินแม่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำมั้ยเล่า ผมเคยถามแม่ของเธอไปว่า สินสอด ทองหมั้น ผมก็ให้เธอหมด (พ่อแม่เธอไม่ได้คืนสินสอด ทองหมั้นมาเพื่อให้ตั้งตัวเหมือนที่คนอื่นเค้าทำกัน) นั่นไม่ได้เรียกว่าให้เหรอ แม่ของเธอโมโหกลับมา แล้วบอกว่าอย่ามาบอกว่าให้ เพราะถ้าผมไปแต่งกับคนอื่นผมก็ต้องให้คนอื่นเหมือนกัน
ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจแยกทางกับเธอ ผมได้ปรึกษาทนาย และเป็นอุทาหรณ์มากๆๆว่า ทนายนั้นก่อนที่เราจะจ่ายเงิน อะไรๆก็จะง่ายไปหมด สู้ได้ ทำได้ มันง่ายไปหมด ตอนที่ปัญหามันมาถึงจุดแตกหัก ผมกังวลเรื่องลุกมาก ผมรักลุกมากๆ ผมเป็นห่วงเธอหมดหัวใจ แต่ผมรู้ว่ายิ่งยื้อความสัมพันธ์ที่ความรักมันล่มสลาย เพราะความเกลียดชังระหว่าง อดีตภรรยากับแม่ผม ผมกับแม่ของอดีตภรรยา มันจะเป็นผลร้ายต่อลุกในอนาคต ผมตัดสินใจง่ายขึ้น เมื่อทนายบอกว่าเราสามารถขอ สิทธิ์รับรองบุตร และขอใช้อำนาจปกครองร่วมให้ศาลแบ่งเวลาในการดูแลลุกได้ แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีอไรง่ายอย่างที่ทนายบอกเลย ทุกอย่างยากลำบากและทรมาณมากๆ (ซึ่งจะเขียนในตอนท้ายอีกที)
หลังจากที่ผมได้บอกแยกทางกับเธอ ขณะนั้นลูกอายุได้ 3 เดือน ผมกลับรู้สึกผิดมากๆๆ ผมพยายามโทรไปคุยกับแม่ของอดีตภรรยา แม่ของอดีตภรรยาบอกว่าผมสามารถไปเยี่ยมลุกได้ (ผมไม่รู้ว่าเป็นกับดัก) ผมก็ไปเยี่ยมด้วยความดีใจ ว่าเราแยกทางกันแต่สามารถที่จะตกลงในการดูแลลูกร่วมกันได้ แต่พอไปถึง ก็เจอเหตุการณ์รีดไถทันที คำถามแรกที่แม่เธอถามผมก็คือ เธอจะจ่ายค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่ ผมก็บอกไปว่าผมจะให้ 1 หมื่นต่อเดือน แม่เธอสวนกลับมาทันทีว่า พอเหรอ ฉันจะจ้างเนสเซอรี่ ผมก็ถามกลับว่าแล้ว คุณแม่ต้องการเท่าไหร่ แม่เธอก็ตอบมาทันทีว่าเอา 2 หมื่น ผมก็ตกลงตามนั้น แต่หลังจากนั้นสถาณการณ์กลับยิ่งเลวร้าย เมื่อผมไปเยี่ยมลูก แต่แม่เค้ากลับบอกว่าผมต้องช่วยซื้อบ้านใหม่เพื่อให้อดีตและลูกมีบ้านอยู่ ผมตอบกลับไปว่าก็บ้านใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมไม่เคยห้ามไม่ให้เค้าไปอยู่ แต่มันติดที่อดีตภรรยาไม่ยอมอยู่กับแม่ผม แม่เค้าสวนกลับมาทันทีว่า บ้านหลังนั้นมันบ้านอัปมงคล อดีตผมไม่อยากไปอยู่ผมต้องช่วยเค้าซื้อบ้านใหม่ เค้าต้องการเงิน 4 แสนบาท นอกจากนั้นเค้าจะขอค่าเลี้ยงดู 4 หมื่นต่อเดือน หากไม่ให้ก็ไม่ต้องมาเยี่ยมลูก วันนั้นผมรู้ทันทีแล้วว่า ผมเจอเรื่องน้ำเน่าเข้าให้แล้ว ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องเจออะไรเลวๆแบบนี้เลย การรีดไถ โดยเอาเด็กมาเป็นตัวประกัน ผมเริ่มทำการอัดเสียง เพราะคิดว่าต้องไปขอพึ่งพาศาลให้ท่านช่วยแล้ว และจำเป็นที่จะต้องบันทึกการกระทำอันเลวร้ายนี้ไว้
ผมพยายามไปเจรจาและบอกกับอดีตภรรยาว่า ไม่สามารถจ่ายให้ได้ 4 หมื่นบาทต่อเดือน เนื่องจากผมตัดสินใจไม่ย้ายงาน (ตอนนั้นมีบริษัทหนึ่งได้ติดต่อมาให้ไปทำงานด้วย และให้เงินเดือนที่สูงจากเดิมเยอะมาก) ผมรักที่ทำงานและเจ้านายผมมากชีวิตดีขึ้นมาเพราะที่ทำงานแห่งนี้ (อดีตภรรยาทำงานที่เดียวกัน) ผมแจกแจงรายจ่ายให้เธอฟังว่า หากอยุ่ที่เดิมผมต้องจ่ายค่าผ่อนบ้าน (บ้านที่ผมซื้อเพื่อสร้างครอบครัว แต่ภรรยายื่นคำขาดว่าต้องไม่ให้แม่ผมอยู่) ต้องให้แม่ และเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งผมขอจ่ายให้เค้าเดือนล่ะ 2 หมื่น อดีตภรรยาตอบปฎิเสธ และด่าทอผมดดยเธอบอกว่า เงินของลุกผมเอาไปแบ่งให้แม่ผมได้ยังไง เมื่อผมฟังแบบนั้นผมเสียใจกับตัวเองมากๆที่ครั้งหนึ่ง ผมไปเลือกเธอมาเป็นคู่ชีวิต จิตใจเธอทำไมต่ำเช่นนี้ การให้เงินแม่กลายเป็นสิ่งเลวร้าย เธอคิดได้ยังไง นอกจากนั้นเธอยังบอกว่า 2 หมื่นไม่พอ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟของบ้านที่เธอกลับไปอยู่กับพ่อแม่เธออีก ผมก็เอ๊ะ ค่าน้ำค่าไฟบ้านคุณ ผมยังต้องออกอีกเหรอ (ตลอดการใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ผมจะเธอว่า คุณ เสมอ) ผมถามกลับไปแค่นั้นเธอกลับโมโหใส่ผม แล้วหาว่าผมเห็นแก่ตัว พร้อมกับลุกเดินหนี้กลับไปทำงานที่แผนกของเธอ พอตกค่ำวันนั้น แม่เธอโทรมาต่อว่าผม เรื่องการที่ผมไม่ยอมจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ที่บ้านเธอ เค้าตำหนิผมว่า ลุกผมต้องอยู่ในห้องแอร์ ต้องบลาๆๆ และสุดท้ายก็ยื่นคำขาดมาว่า ผมต้องจ่ายมาก่อน 4 แสนบาท ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาเจอลูก
คืนนั้นผมได้แต่ร้องไห้ ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส ลูกก็เป็นของเค้า 100% แถมลูกก็อยู่ในบ้านเค้า จะบุกเข้าไปก็โดนข้อหาบุกรุก มันเจ็บใจมากๆๆๆ ทำไม ผมต้องเจอคนที่มันชั่วร้ายขนาดนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย ผมดูแลทุกอย่าง จริงอยู่ที่ผมผิดที่ไม่ได้ให้เงินอดีตภรรยาเลย แต่ผมต้องเก็บเงินเพื่อไว้ซื้อบ้าน ลูกผมก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่การทำอิ๊กซี่ การเข้าโรงพยาบาล ทั้งตรวจครรถ์ และการคลอด ผมจ่ายคนเดียว จ่ายด้วยเพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ของเรา ทั้งๆที่เงินเดือนของผมมากกว่าเค้าไม่ได้มากเลยในตอนนั้น
คืนนั้นเป็นช่วงปลาย กค 58 ผมปรึกษาเจ้านายว่าควรทำอย่างไรดี เจ้านายสงสารผมมาก และบอกว่าการย้ายงานน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ ผมจึงตัดสินใจย้ายงานในช่วงกลาง สค และรอที่จะไปศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในปลายเดือน สค เพื่อขอสิทธิ์รับรองบุตร (ยื่นเรื่องเมื่อต้น มิย แต่กว่าจะถึงเวลานัดแรกก็ ปลาย สค) เมื่อถึงวันนั้น อดีตภรรยามาพร้อมกับ พ่อ แม่ ของเค้า และพาลูกมาด้วย เมื่อเจอกัน (ยังไม่ถึงเวลาเข้าศาล) แม่เค้าเข้ามาเจรจาก่อน และถามคำถามแรกเลยว่า ผมจะจ่ายให้เท่าไหร่ ผมก็รู้แล้วว่า เค้าน่าจะรู้ว่าเมื่อมาถึงศาล ผมน่าจะไ้ดสิทธิ์รับรองบุตรไม่ยาก ผมก็ต่อรองจนมาจบที่ 3 หมื่นต่อเดือน หลังจากนั้นก็ไปทำบันทึกกันในศาล ทั้งนี้คดีคือการขอสิทธิ์รับรองบุตร ศาลท่านตัดสินให้ได้สิทธิ์ดังกล่าว ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงที่บันทึกไว้ก็เป็นแค่การบันทึกไม่ใช่คำสั่งศาล
พื้นที่หมดแล้ว ขอต่อที่กระทู้ถัดไปนะครับ
ชีวิตคู่ที่ล้มเหลว การทำเพื่อแม่ การต่อสู้เพื่อให้ได้เจอลูก วันนี้ศาลได้ช่วยผมแล้ว
ข้อความข้างต้น เป็นกำลังใจให้ผมในวันที่ชีวิตมืดมนจนถึงที่สุด ผมอ่านข้อความดังกล่าวซ้ำไปซ้ำมาหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั้งมาถึงวันนี้ วันที่ผมได้พ้นจากความทุกข์นั้นแล้ว ผมก็อดที่จะนึกขอบคุณเจ้าของข้อความที่ปลอยโยนผมในตอนนั้นไม่ได้ เค้าคนนั้นมีชื่อเล่นว่า พี่วี เป็น CEO บริษัทหนึ่ง ที่ผมปลื้มตั้งแต่แรกเห็น (วันนั้นเราได้มีโอกาสไปทานอาหารกลางวันกัน มีการเสริฟติ่มซำและเมื่อทานกันหมดเข่ง พี่วี ซึ่งเป็น CEO บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เป็นคนที่คอยเก็บเข่งออกจากโต๊ะอาหาร ภาพของพี่เค้าในวันนั้นทำให้ผมประทับใจมากๆ)
เดือน มี.ค. เมื่อ 2 ปีก่อน เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด เมื่อลูกสาวผมได้เกิดออกมาเธอน่ารักมาก ผมคาดหวังแค่อยากให้เธอเป็นคนดี มีจิตใจที่ดี รัก เมตตาและรู้จักที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น และในช่วงเวลาเดียวกัน ผมได้รางวัลที่น่าภาคภูมิใจมากที่สุดสำหรับคนที่อยู่สายอาชีพเดียวกับผม (ผมอยู่ในแวดวงการเงินการลงทุน) ซึ่งผมก็ได้รางวัลดังกล่าวเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ช่วงเวลานั้นมันช่างเป็นเวลาที่ดีมากๆของผม แต่ความสุขดังกล่าวมันก็แสนสั้นมากๆ เพราะหลังจากที่ลุกสาวผมคลอดออกมา อดีตภรรยาก็มีปัญหากับแม่ของผมอย่างรุนแรง ปัญหาที่เกิดขึ้นนำไปสู่ความเกลียดชังต่อกัน และทำให้อดีตภรรยาไม่ต้องการให้แม่ผมได้เป็นคนเลี้ยงดูลูก ผมกลุ้มใจเป็นที่สุด เพราะภาพที่เคยวาดเอาไว้ว่าจะสร้างครอบครัวที่มีความสุขมันเริ่มมีปัญหาแล้ว ผมเองเป็นลูกชายคนเดียว โดยมีพี่สาว 2 และน้องสาว 1 คน ซึ่งทุกคนได้แต่งออกไปกันหมดแล้ว และผมก็อยากให้แม่ได้อยู่กับผม ได้มีโอกาสได้เลี้ยงหลาน ก่อนหน้าที่ลุกจะคลอดออกมา อดีตภรรยาได้อาศัยอยู่ในบ้านของแม่ผม (เราอยู่กัน 3 คน คือ ผม แม่ และอดีตภรรยา) โดยอยู่ร่วมกัน 3 ปีกว่า ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน อดีตภรรยามีปัยหากับแม่เรื่อยๆ แต่ผมยังประคองสถานการณ์ได้ อดีตภรรยายังอดทนและเห็นแก่ผม เช่นเดียวกับแม่ผมที่อยากให้ผมสบายใจ แต่พอลูกคลอดอะไรที่เคยเก็บกันมาก็ระเบิดออก
เมื่ออดีตภรรยามีปัญหากับแม่ของผม ผมเองก็มีปฎิกิริยาต่อต้านและมีปัญหากับแม่ของอดีตภรรยาด้วยเช่นกัน ปัญหาเริ่มลุกลาม จนมาถึงวันที่แย่ที่สุด ตอนนั้นลุกอายุได้เพียง 3 เดือนเศษ อดีตภรรยายื่นคำขาดว่าบ้านใหม่ที่เพิ่งซื้อกันนั้น เธอจะพาลูกมาอยู่ก็ต่อเมื่อต้องไม่มีแม่ผมอยู่ ผมรับไม่ได้กับการยื่นคำขาดแบบนี้ พยายามแก้ปัญหา ว่าให้แม่อดีตภรรยามาอยู่ด้วยกันได้ ผมยกห้องหนังสือผมให้เลย ผมขอแค่ให้ผมได้อยู่กับแม่ผม แต่คำตอบคือการปฎิเสธ ผมเองมาถึงจุดที่ความรักมันล่มสลายมากๆ เพราะคนที่เค้ารักกันมันไม่ควรมาบีบคั้นกันแบบนี้ ประกอบกับก่อนหน้านั้นผมเริ่มเห็นวี่แววแล้วว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างกับอดีตภรรยาและแม่ของผม มันรุนแรงมากและผมคิดว่าแม่ของผมไม่ผิด ผมจึงได้คิดเรื่องของการแยกทางกันมาพอสมควรแล้ว จึงได้ตัดสินใจที่บอกเค้าว่าในเมื่อ เค้าไม่ต้องการให้แม่ผมอยู่ในบ้านใหม่ด้วยกัน แต่ผมทำให้ไม่ได้ งั้นก็เลิกกัน
ในช่วงที่ผมได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกับอดีตภรรยานั้น แทบไม่เคยทะเลาะกันเลย แม้ว่าเธอจะเป็นคนอารมณ์ร้อน ส่วนผมเป็นพวกคิดเร็วทำเร็วและมีความคิดที่แหวกแหกกฎสังคม แต่เราก็อยู่ด้วยกันได้ด้วย Lifestye ที่ไม่แตกต่างกัน เราชอบอยู่บ้าน ไม่ชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ผมเองก็พยายามดูแลเธอทุกอย่างเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะทำให้ได้ อดีตภรรยาไม่เคยต้องมาลำบากดูแลอะไรผม บ้านก็มีคนถูให้ จานชามมีคนล้างให้ เสื้อผ้าผมก็คอยเอาไปส่งซักรีดและออกตังค์ให้ เช่นเดียวกับ อาหารการกินทุกมื้อผมเป็นคนดูแลให้เธอ ที่หลับนอนผมก็เป็นคนพันผ้านวมปูผ้าคลุมทุกเช้า ผมไม่เคยโมโหใส่เธอ ไม่เคยอารมณ์ร้อนใส่เธอ ไม่เคยพูดไม่ดีกับเธอแม้แต่คำเดียว ผมมักจะบอกเธอเสมอ (ตอนที่เธอยังเกรงใจและรักผม) ว่าคนที่รักกันไม่ควรพูดจาไม่ดีหรือทำไม่ดีใส่กัน หากเธอพูดไม่ดีหรือด่าเมื่อไหร่ ผมจะไม่ทน
ผมเป็นคนมีวินัยการเงินสูงมาก ตอนที่อยู่ด้วยกันปีแรกผมขอเงินเดือนของผมให้แม่ทั้งหมด (ผมหารายได้ทางอื่นเพิ่มด้วยการสอนพิเศษ ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะใช้ในชีวิตประจำวันได้แบบไม่ขาดตกบกพร่อง) เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณแม่ พอเข้าสู่ปีที่สอง เราคุยกันว่าอยากมีบ้านหลังใหม่ ผมจึงขอให้เงินแม่ผมครึ่งหนึ่งของเงินเดือน อีกครึ่งเอามาเข้าบัญชีใช้ชื่อร่วมกันเพื่อเป็นเงินเก็บไว้ซื้อบ้าน เวลามีโบนัสก็จะเอามาเข้าบัญชีนี้ ซึ่งตอนนั้นเงินเดือนผมไม่ได้สูงมากมายอะไร ผมไม่สามารถให้เงินเธอได้ (เธอก็มีรายได้จากการทำงานประจำ และเธอไม่เคยต้องออกค่าใช้จ่ายใดๆในระหว่างที่อยู่ด้วยกัน) ที่ทำได้ก็คือเก็บเงินไว้ในชื่อร่วมกัน ซึ่งพอผ่านไปได้ 2 ปีกว่า ก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ซึ่งมีแต่เงินของผมที่เป็นคนเติมลงไป ตอนนั้นเรามีแผนที่อยากจะมีลุก แต่เธอเป็นคนมีลุกยากด้วยเพราะเคยผ่าซีสขนาดใหญ่ 2 ลูก (ตอนนั้นเรายังเป็นแค่แฟนกัน การผ่าซีสดังกล่าวทำให้เธอกลุ้มใจมาก เพราะกลัวว่าจะทำให้มีลูกยาก หากผมเลิกกับเธอแล้วก็จะไม่มีใครมาคบกับเธออีก ผมอยากให้เธอสบายใจจึงได้บอกว่างั้นเราก็แต่งงานกัน) เราจึงตัดสินใจไปทำอิ๊กซี่ (คล้ายๆวิธีการทำเด็กหลอดแก้ว) ผมเองก็เป็นออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเกือบ 4 แสนบาท ยังดีที่ลูกยอมมาจากการทำอีกซี่เพียงครั้งเดียว
การที่ผมไม่เคยให้เงินเธอเลย แม้จะเก็บเงินไว้ในบัญชีที่ใช้ชื่อร่วมกัน เมื่อแม่เธอรู้ (รู้ตอนที่เริ่มมีปัยหากันและเธอเล่าทุกอย่างให้แม่เธอฟัง) ก็กลายเป็นเกลียดผมขึ้นมาทันที จากแต่ก่อนที่ผมแทบจะเป็นลูกเขยที่ดีมาก กลายเป็นคนชั่วทันทีที่แม่เธอรู้ว่าไม่ได้ให้เงินลูกเธอ แม้ผมจะพยายามอธิบายว่าผมไม่ได้มีเงินเดือนเยอะไปกว่าเธอเลย ผมต้องเก็บเงินซื้อบ้าน ผมอยากกู้ให้น้อยที่สุด ผมไม่อยากเสียดอกเบี้ย แต่แม่เธอก็ไม่ฟังและตำหนิผมตลอดว่าไม่ให้เงินลุกเธอเลย ผมเองก็ถามกลับไปว่า แล้วที่ผมดูแลทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ มันคืออะไร แม่ของเธอตอบกลับมาว่า มันเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำอยู่แล้ว ผมถามต่อว่า เงินเดือนทุกบาทผมไม่เคยได้ใช้ คนที่ไม่ได้อะไรคือผม แม่เค้าตอบมาว่า ทำไมผมจะไม่ได้ ผมได้แต่ผมก็ให้แม่ผมไปไง ผมก็ได้แต่อืมมมมมม แล้วการให้เงินแม่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำมั้ยเล่า ผมเคยถามแม่ของเธอไปว่า สินสอด ทองหมั้น ผมก็ให้เธอหมด (พ่อแม่เธอไม่ได้คืนสินสอด ทองหมั้นมาเพื่อให้ตั้งตัวเหมือนที่คนอื่นเค้าทำกัน) นั่นไม่ได้เรียกว่าให้เหรอ แม่ของเธอโมโหกลับมา แล้วบอกว่าอย่ามาบอกว่าให้ เพราะถ้าผมไปแต่งกับคนอื่นผมก็ต้องให้คนอื่นเหมือนกัน
ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจแยกทางกับเธอ ผมได้ปรึกษาทนาย และเป็นอุทาหรณ์มากๆๆว่า ทนายนั้นก่อนที่เราจะจ่ายเงิน อะไรๆก็จะง่ายไปหมด สู้ได้ ทำได้ มันง่ายไปหมด ตอนที่ปัญหามันมาถึงจุดแตกหัก ผมกังวลเรื่องลุกมาก ผมรักลุกมากๆ ผมเป็นห่วงเธอหมดหัวใจ แต่ผมรู้ว่ายิ่งยื้อความสัมพันธ์ที่ความรักมันล่มสลาย เพราะความเกลียดชังระหว่าง อดีตภรรยากับแม่ผม ผมกับแม่ของอดีตภรรยา มันจะเป็นผลร้ายต่อลุกในอนาคต ผมตัดสินใจง่ายขึ้น เมื่อทนายบอกว่าเราสามารถขอ สิทธิ์รับรองบุตร และขอใช้อำนาจปกครองร่วมให้ศาลแบ่งเวลาในการดูแลลุกได้ แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีอไรง่ายอย่างที่ทนายบอกเลย ทุกอย่างยากลำบากและทรมาณมากๆ (ซึ่งจะเขียนในตอนท้ายอีกที)
หลังจากที่ผมได้บอกแยกทางกับเธอ ขณะนั้นลูกอายุได้ 3 เดือน ผมกลับรู้สึกผิดมากๆๆ ผมพยายามโทรไปคุยกับแม่ของอดีตภรรยา แม่ของอดีตภรรยาบอกว่าผมสามารถไปเยี่ยมลุกได้ (ผมไม่รู้ว่าเป็นกับดัก) ผมก็ไปเยี่ยมด้วยความดีใจ ว่าเราแยกทางกันแต่สามารถที่จะตกลงในการดูแลลูกร่วมกันได้ แต่พอไปถึง ก็เจอเหตุการณ์รีดไถทันที คำถามแรกที่แม่เธอถามผมก็คือ เธอจะจ่ายค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่ ผมก็บอกไปว่าผมจะให้ 1 หมื่นต่อเดือน แม่เธอสวนกลับมาทันทีว่า พอเหรอ ฉันจะจ้างเนสเซอรี่ ผมก็ถามกลับว่าแล้ว คุณแม่ต้องการเท่าไหร่ แม่เธอก็ตอบมาทันทีว่าเอา 2 หมื่น ผมก็ตกลงตามนั้น แต่หลังจากนั้นสถาณการณ์กลับยิ่งเลวร้าย เมื่อผมไปเยี่ยมลูก แต่แม่เค้ากลับบอกว่าผมต้องช่วยซื้อบ้านใหม่เพื่อให้อดีตและลูกมีบ้านอยู่ ผมตอบกลับไปว่าก็บ้านใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ผมไม่เคยห้ามไม่ให้เค้าไปอยู่ แต่มันติดที่อดีตภรรยาไม่ยอมอยู่กับแม่ผม แม่เค้าสวนกลับมาทันทีว่า บ้านหลังนั้นมันบ้านอัปมงคล อดีตผมไม่อยากไปอยู่ผมต้องช่วยเค้าซื้อบ้านใหม่ เค้าต้องการเงิน 4 แสนบาท นอกจากนั้นเค้าจะขอค่าเลี้ยงดู 4 หมื่นต่อเดือน หากไม่ให้ก็ไม่ต้องมาเยี่ยมลูก วันนั้นผมรู้ทันทีแล้วว่า ผมเจอเรื่องน้ำเน่าเข้าให้แล้ว ไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะต้องเจออะไรเลวๆแบบนี้เลย การรีดไถ โดยเอาเด็กมาเป็นตัวประกัน ผมเริ่มทำการอัดเสียง เพราะคิดว่าต้องไปขอพึ่งพาศาลให้ท่านช่วยแล้ว และจำเป็นที่จะต้องบันทึกการกระทำอันเลวร้ายนี้ไว้
ผมพยายามไปเจรจาและบอกกับอดีตภรรยาว่า ไม่สามารถจ่ายให้ได้ 4 หมื่นบาทต่อเดือน เนื่องจากผมตัดสินใจไม่ย้ายงาน (ตอนนั้นมีบริษัทหนึ่งได้ติดต่อมาให้ไปทำงานด้วย และให้เงินเดือนที่สูงจากเดิมเยอะมาก) ผมรักที่ทำงานและเจ้านายผมมากชีวิตดีขึ้นมาเพราะที่ทำงานแห่งนี้ (อดีตภรรยาทำงานที่เดียวกัน) ผมแจกแจงรายจ่ายให้เธอฟังว่า หากอยุ่ที่เดิมผมต้องจ่ายค่าผ่อนบ้าน (บ้านที่ผมซื้อเพื่อสร้างครอบครัว แต่ภรรยายื่นคำขาดว่าต้องไม่ให้แม่ผมอยู่) ต้องให้แม่ และเผื่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งผมขอจ่ายให้เค้าเดือนล่ะ 2 หมื่น อดีตภรรยาตอบปฎิเสธ และด่าทอผมดดยเธอบอกว่า เงินของลุกผมเอาไปแบ่งให้แม่ผมได้ยังไง เมื่อผมฟังแบบนั้นผมเสียใจกับตัวเองมากๆที่ครั้งหนึ่ง ผมไปเลือกเธอมาเป็นคู่ชีวิต จิตใจเธอทำไมต่ำเช่นนี้ การให้เงินแม่กลายเป็นสิ่งเลวร้าย เธอคิดได้ยังไง นอกจากนั้นเธอยังบอกว่า 2 หมื่นไม่พอ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟของบ้านที่เธอกลับไปอยู่กับพ่อแม่เธออีก ผมก็เอ๊ะ ค่าน้ำค่าไฟบ้านคุณ ผมยังต้องออกอีกเหรอ (ตลอดการใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน ผมจะเธอว่า คุณ เสมอ) ผมถามกลับไปแค่นั้นเธอกลับโมโหใส่ผม แล้วหาว่าผมเห็นแก่ตัว พร้อมกับลุกเดินหนี้กลับไปทำงานที่แผนกของเธอ พอตกค่ำวันนั้น แม่เธอโทรมาต่อว่าผม เรื่องการที่ผมไม่ยอมจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ที่บ้านเธอ เค้าตำหนิผมว่า ลุกผมต้องอยู่ในห้องแอร์ ต้องบลาๆๆ และสุดท้ายก็ยื่นคำขาดมาว่า ผมต้องจ่ายมาก่อน 4 แสนบาท ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาเจอลูก
คืนนั้นผมได้แต่ร้องไห้ ผมทำอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส ลูกก็เป็นของเค้า 100% แถมลูกก็อยู่ในบ้านเค้า จะบุกเข้าไปก็โดนข้อหาบุกรุก มันเจ็บใจมากๆๆๆ ทำไม ผมต้องเจอคนที่มันชั่วร้ายขนาดนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เธอไม่เคยต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายอะไรเลย ผมดูแลทุกอย่าง จริงอยู่ที่ผมผิดที่ไม่ได้ให้เงินอดีตภรรยาเลย แต่ผมต้องเก็บเงินเพื่อไว้ซื้อบ้าน ลูกผมก็เป็นคนออกค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตั้งแต่การทำอิ๊กซี่ การเข้าโรงพยาบาล ทั้งตรวจครรถ์ และการคลอด ผมจ่ายคนเดียว จ่ายด้วยเพราะรู้ว่าเป็นหน้าที่ของเรา ทั้งๆที่เงินเดือนของผมมากกว่าเค้าไม่ได้มากเลยในตอนนั้น
คืนนั้นเป็นช่วงปลาย กค 58 ผมปรึกษาเจ้านายว่าควรทำอย่างไรดี เจ้านายสงสารผมมาก และบอกว่าการย้ายงานน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ ผมจึงตัดสินใจย้ายงานในช่วงกลาง สค และรอที่จะไปศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ในปลายเดือน สค เพื่อขอสิทธิ์รับรองบุตร (ยื่นเรื่องเมื่อต้น มิย แต่กว่าจะถึงเวลานัดแรกก็ ปลาย สค) เมื่อถึงวันนั้น อดีตภรรยามาพร้อมกับ พ่อ แม่ ของเค้า และพาลูกมาด้วย เมื่อเจอกัน (ยังไม่ถึงเวลาเข้าศาล) แม่เค้าเข้ามาเจรจาก่อน และถามคำถามแรกเลยว่า ผมจะจ่ายให้เท่าไหร่ ผมก็รู้แล้วว่า เค้าน่าจะรู้ว่าเมื่อมาถึงศาล ผมน่าจะไ้ดสิทธิ์รับรองบุตรไม่ยาก ผมก็ต่อรองจนมาจบที่ 3 หมื่นต่อเดือน หลังจากนั้นก็ไปทำบันทึกกันในศาล ทั้งนี้คดีคือการขอสิทธิ์รับรองบุตร ศาลท่านตัดสินให้ได้สิทธิ์ดังกล่าว ส่วนเรื่องค่าเลี้ยงที่บันทึกไว้ก็เป็นแค่การบันทึกไม่ใช่คำสั่งศาล
พื้นที่หมดแล้ว ขอต่อที่กระทู้ถัดไปนะครับ