
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*บทความนี้เปิดเผยถึงเนื้อเรื่อง
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ขนาดไหน ไม่ว่าคุณไม่ได้ดูหนังบ่อย หรือพูดได้ว่าความรู้ข่าวสารด้านภาพยนตร์เท่ากับศูนย์เพียงใด อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ยังไงคุณก็ต้องรู้จักหนังที่เรียกกันติดปากว่า Fast and Furious ที่ตอนนี้ถือเป็นหนังแห่งสยามประเทศที่ใคร ๆก็รู้จัก
จุดเริ่มต้นจากหนังแอ็คชั่นทุนสร้างปานกลางที่เล่าเรื่องกลุ่มนักแข่งรถภูธรที่ทำเรื่องผิดกฎหมายใน The Fast and the Furious ที่ฮิตเกินคาดในปี 2001 สู่ภาคต่ออย่าง 2 Fast 2 Furious (2003) ที่เสียงตอบรับลดลงทั้งคำวิจารณ์และรายได้ ต่อมาด้วยหนังภาค Spin-off อย่าง The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006) พร้อมกับการเข้ามาของชายที่ชื่อ จัสติน ลิน โดยภาคนี้แม้จะทำรายได้น้อยกว่าเดิม แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ถึงความสนุกที่มากขึ้น จนยังรักษาฐานแฟนคลับไว้อย่างเหนียวแน่น
จนสตูดิโอยูนิเวอร์แซลตัดสินใจลองเสี่ยงดูอีกครั้งด้วยการให้ จัสติน ลิน ทำต่อใน Fast & Furious (2009) ภาคต่อที่รวมทุกนักแสดงในภาคก่อนกลับมาอีกครั้งและทำรายได้เป็นที่น่าพอใจจนสตูดิโอมั่นใจว่าแฟรนไชส์นี้ยังมีลมหายใจไปต่อ จนจุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นการพลิกแนวหนังจากหนังแอ็คชั่นแข่งรถ ไปเป็นหนังแอ็คชั่นจารกรรมที่ขายฉากแอ็คชั่นหลังพวงมาลัยฉากใหญ่โตและบ้าพลังใน Fast Five (2011) ที่เกิดจากความคิดของผู้กำกับ จัสติน ลิน จนถูกใจเหล่าคอหนังแอ็คชั่นและหนังตลาด จนทำรายได้สูงจนสตูดิโอต้องเข็นภาคต่อออกมาอีก กลายเป็น Fast & Furious 6 (2013), Furious 7 (2015) จนมาถึงภาคล่าสุดกับ The Fate of the Furious (2017)
โดยหนังภาคนี้เป็นเรื่องราวที่ต่อจากภาคก่อน เมื่อทุกคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เมื่อหญิงสาวลึกลับนามว่า ไชเฟอร์ เข้ามาล่อลวง ดอมินิก โทเรตโต้ สู่โลกอาชญากรรมอีกครั้งโดยที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงได้กลายเป็นคนทรยศครอบครัว เดือดร้อนถึงรัฐบาลที่ต้องขอความช่วยเหลือสมาชิกครอบครัวที่เหลือรวมถึง ฮ็อปป์ ที่ต้องเข้าคุกจากการกระทำของโดมินิก และวายร้ายคู่อริอย่าง เดดคาร์ด ชอว์ ที่ต้องออกร่วมมือกัน เพื่อหยุดยั้งโดมินิกและชิปเปอร์ในแผนการทำลายล้าง
การทำการบ้านมาดีของ เอฟ. แกร์รี่ เกรย์
หลังจากที่ เจมส์ วาน (ผู้กำกับภาค Furious 7) โบกมือลาขอไปกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ดีซีอย่าง Aquaman สตูดิโอยูนิเวอร์แซลจึงต้องเริ่มหาผู้กำกับคนใหม่ที่เข้าทาง ซึ่งคำตอบก็มาลงที่ เอฟ. แกร์รี่ เกรย์ ผู้กำกับผิวสีที่มีผลงานน่าจดจำอย่าง The Italian Job (2003) และกำลังมือขึ้นสุด ๆ จากการทำหนังดราม่าชีวประวัติวงแก๊งส์เตอร์ฮิปฮอป N.W.A. ที่ได้เสียงวิจารณ์ในแง่บวกกับการเล่าเรื่องดราม่าผสมอาชญากรรมที่ทรงพลัง ผสมไปด้วยเพลงฮิปฮอปอันหลากหลายที่เป็นส่วนช่วยในการเล่าเรื่องอย่าง Straight Outta Compton (2015)
ซึ่งดูเหมือนเกรย์รู้ดีว่าจุดแข็งของแฟรนไชส์นี้คืออะไร ประกอบกับการเตรียมตัวในการกำกับฉากแอ็คชั่นต่าง ๆ ทั้งหมดเกรย์นำเสนอออกมาได้อย่างลื่นไหล เท่านั้นยังไม่พอ เกรย์ยังดึงอารมณ์เก่า ๆ ของหนังภาคแรก ๆ ให้กลับมาอีก ด้วยการเปิดเรื่องด้วยฉากแข่งรถอันดุเดือด เพราะเท่าที่จำได้ เราไม่ได้เห็นฉากแข่งรถฉากใหญ่แบบนี้ในสองภาคก่อนเลย (เพราะหนังเปลี่ยนรูปแบบไปโดยสิ้นเชิง) ซึ่งทำให้เป็นการหวนคืนสู่อารมณ์เก่า ๆให้กลับมาอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงฉากเดียวก็ตาม
บทภาพยนตร์ที่สุดท้ายก็แถ... (แต่แถได้อร่อย)
เนื่องจากความเปลี่ยนรูปแบบโทนหนังตั้งแต่ภาค 5 เป็นต้นไป ทำให้เรื่องราวในแต่ละภาคนั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า ผู้ร้ายจะเข้ามาชิงของสิ่งนี้เพื่อยึดโลก, การแก้แค้นให้กับน้องชายที่นอนโคม่าเพราะพวกพระเอก เส้นเรื่องของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ขยับไปสู่เรื่องราวการก่อการร้ายที่ใหญ่โตระดับโลกไปแล้ว (ราวกับว่าพวกเขาเป็นพวก Avengers ยังไงอย่างนั้น)
ซึ่งยังไงหนังภาคนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้ แต่สิ่งที่ผู้เขียนบทอย่าง คริส มอร์แกน (มือเขียนบทประจำแฟรนไชส์ที่เขียนบทมาตั้งแต่ภาค 3) หยิบมาเล่น หรือแถต่อไปได้ ให้มีความน่าสนใจมากกว่าแค่เหล่าตัวเอกได้ซิ่งรถไปสู้กับเหล่าวายร้ายให้วินาศสันตะโรกันไปข้างหนึ่ง คือการหยิบประเด็นความภักดีของครอบครัวมาเล่นเสียเอง ด้วยการให้ดอมินิกแปรพักตร์จากครอบครัวด้วยเหตุผลบางประการ จุดที่ดีคือเหตุผลที่ว่ากลับเป็นเหตุผลที่เราคล้อยตาม และคงคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นเรา ก็คงไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้การแถครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้โดยดุษณี
ประกอบกับหนังก็เอาจิ๊กซอว์มาประกอบกันใหม่ได้ดี เพราะหนังภาคนี้นั้นเปรียบเหมือนการเริ่มใหม่ (Restart) เรื่องราวอีกครั้ง หลังการหายไปของ พอล วอล์คเกอร์ ในบท ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ ทำให้เกิดการหยิบตัวละครที่มีมาปูพื้นใหม่ สร้างเรื่องราวให้ตัวละครที่เคยร้าย กลับกลายเป็นดีได้อย่างหน้าหนาโดยที่ไม่ต้องคำนึงเหตุผลอะไรให้มากความ เสมือนว่าโลกใน Fast and Furious อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครหน้าจะเคยฆ่าคนในครอบครัวอย่างไร ไม่ว่าใครจะเคยสร้างความบรรลัยให้กับโลกมากเท่าไหน หรือแม้แต่จะเคยลงไปนอนหลุมมาแล้ว ก็สามารถกลับมาเดินลอยหน้าลอยตาและร่วมมือปราบเหล่าวายร้ายตัวใหม่ด้วยกันอย่างไม่ขัดเขิน ...
ทั้งหมดนี้เกิดจากการแถไถไปเรื่อยอย่างเข้าใจคิด เข้าใจหาเรื่องของคนเขียนบท ประกอบกับการไม่ถือสาหาความในเรื่องเหตุผลกับหนังเรื่องนี้ของคนดูอีกแล้ว ก็ทำให้หนังก็ไปต่อในแบบของมัน.
ฉากแอ็คชั่นที่เป็นจุดขาย
อย่างที่รู้กันว่าฉากแอ็คชั่นช่วงไคลแมกซ์ของหนังแฟรนไชส์นี้ ถือเป็นจุดขายที่หลายคนรอคอยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซิ่งรถไล่ล่ากันในเหมืองใต้ดิน, ซิ่งรถลากตู้เซฟยักษ์ไปทั่วเมืองริโอ, ฉากไล่ล่าบนรันเวย์สนามบิน (ที่ยาวที่สุดในโลก) หรือ ไล่ล่าในเมืองอันวินาศสันตะโร มาถึงภาคล่าสุดในฉากไล่ล่าบนธารน้ำแข็งที่มีเรือดำน้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ที่ภาคนี้จะเน้นความอลังการงานสร้างในความใหญ่โต และสถานการณ์การถูกไล่ล่าด้วยรถและเรือดำน้ำขนาดยักษ์
ซึ่งฉากนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้นตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ ที่ต้องบอกว่าในเรื่องความราบรื่นนั้นทำได้ลงตัว ไม่ยาวเกินไป (เช่น เหมือนฉากรันเวย์ที่ยาวที่สุดโลกที่ยืดเยื้อเหลือเกิน ใน Fast 6) หรือเน้นความวินาศแบบบ้านเมืองถล่มเละเทะแบบใน Furious 7 ทำให้ไคลแมกซ์ใน Fast 8 ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับไคลแมกซ์ใน Fast Five (ที่โดยส่วนตัวจัดให้เป็นไคลแมกซ์ที่ชอบที่สุดในแฟรนไชส์) กล่าวคือมีการร้อยเรียงลำดับสถานการณ์จากค่อยไปมากสุด โดยระหว่างทางก็ใส่ฉากแอ็คชั่นเท่ ๆของเหล่าตัวละครในทีม แต่จุดที่ไม่ค่อยชอบนัก คือจุดสุดท้ายที่ใส่ความเก่งกาจเกินเหตุ แบบที่เดาง่ายมาก ๆ ว่ายังไงตอนนี้ตัวละครเอาชนะได้ด้วยพลังระดับยอดมนุษย์ (หลังพวงมาลัยรถ) เพราะหากเป็นภาคก่อน (ขอยกกรณีภาค Fast Five) ตัวละครยังมีการจนมุมและให้คนดูได้ลุ้นว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรบ้าง แล้วค่อยโชว์พลังอภินิหารลากตู้เซฟด้วยรถคันเดียว แต่ภาคนี้แค่เห็นหน้าดอมแล้วรู้เลยว่ามันเป็นจุดจบแผนของวายร้ายหน้าสวยแล้วล่ะ
จนมาถึงฉากจบอันเป็นเอกลักษณ์ตามสูตร ที่ว่าด้วยครอบครัวที่มีสมาชิกมาเพิ่ม (สังเกตกันมั้ยว่าตัวละคร Little Nobody ที่ สก็อตต์ อีสต์วูด เล่นนั้นโดดเด่นขนาดไหน) (และยังสงสัยกันอยู่มั้ยว่าจะมีบทบาทในภาคต่อไปหรือเปล่า) หรือจะเป็นตัวละคร เดดคาร์ด ชอว์ (ที่เสมือนว่าความเลวทรามที่เคยทำไว้ในภาคก่อนได้ถูกล้างไปจนหมดสิ้นแล้วในภาคนี้) ที่คงไม่ต้องบอกกันอีกแล้วว่าภาคต่อไปจะอยู่ฝั่งไหน
ทำให้นี่เป็นการเปิดศักราชใหม่ของแก็งค์ดอมและครอบครัว ที่เชื่อขนมกินได้เลยว่าไปต่อได้อีกไม่ต่ำกว่า 2 ภาค ในโลกบิดเบี้ยวที่ทฤษฏีแรงโน้มถ่วงเป็นเรื่องสมมติ
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
รีวิว The Fate of the Furious: ไปต่อค่ะ.. พี่โดมินิกและพวกพ้อง
By มาร์ตี้ แม็คฟราย
*บทความนี้เปิดเผยถึงเนื้อเรื่อง
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ขนาดไหน ไม่ว่าคุณไม่ได้ดูหนังบ่อย หรือพูดได้ว่าความรู้ข่าวสารด้านภาพยนตร์เท่ากับศูนย์เพียงใด อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ยังไงคุณก็ต้องรู้จักหนังที่เรียกกันติดปากว่า Fast and Furious ที่ตอนนี้ถือเป็นหนังแห่งสยามประเทศที่ใคร ๆก็รู้จัก
จุดเริ่มต้นจากหนังแอ็คชั่นทุนสร้างปานกลางที่เล่าเรื่องกลุ่มนักแข่งรถภูธรที่ทำเรื่องผิดกฎหมายใน The Fast and the Furious ที่ฮิตเกินคาดในปี 2001 สู่ภาคต่ออย่าง 2 Fast 2 Furious (2003) ที่เสียงตอบรับลดลงทั้งคำวิจารณ์และรายได้ ต่อมาด้วยหนังภาค Spin-off อย่าง The Fast and the Furious: Tokyo Drift (2006) พร้อมกับการเข้ามาของชายที่ชื่อ จัสติน ลิน โดยภาคนี้แม้จะทำรายได้น้อยกว่าเดิม แต่ได้รับเสียงวิจารณ์ถึงความสนุกที่มากขึ้น จนยังรักษาฐานแฟนคลับไว้อย่างเหนียวแน่น
จนสตูดิโอยูนิเวอร์แซลตัดสินใจลองเสี่ยงดูอีกครั้งด้วยการให้ จัสติน ลิน ทำต่อใน Fast & Furious (2009) ภาคต่อที่รวมทุกนักแสดงในภาคก่อนกลับมาอีกครั้งและทำรายได้เป็นที่น่าพอใจจนสตูดิโอมั่นใจว่าแฟรนไชส์นี้ยังมีลมหายใจไปต่อ จนจุดเปลี่ยนสำคัญที่เป็นการพลิกแนวหนังจากหนังแอ็คชั่นแข่งรถ ไปเป็นหนังแอ็คชั่นจารกรรมที่ขายฉากแอ็คชั่นหลังพวงมาลัยฉากใหญ่โตและบ้าพลังใน Fast Five (2011) ที่เกิดจากความคิดของผู้กำกับ จัสติน ลิน จนถูกใจเหล่าคอหนังแอ็คชั่นและหนังตลาด จนทำรายได้สูงจนสตูดิโอต้องเข็นภาคต่อออกมาอีก กลายเป็น Fast & Furious 6 (2013), Furious 7 (2015) จนมาถึงภาคล่าสุดกับ The Fate of the Furious (2017)
โดยหนังภาคนี้เป็นเรื่องราวที่ต่อจากภาคก่อน เมื่อทุกคนแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเอง แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป เมื่อหญิงสาวลึกลับนามว่า ไชเฟอร์ เข้ามาล่อลวง ดอมินิก โทเรตโต้ สู่โลกอาชญากรรมอีกครั้งโดยที่ไม่มีทางเลือก เขาจึงได้กลายเป็นคนทรยศครอบครัว เดือดร้อนถึงรัฐบาลที่ต้องขอความช่วยเหลือสมาชิกครอบครัวที่เหลือรวมถึง ฮ็อปป์ ที่ต้องเข้าคุกจากการกระทำของโดมินิก และวายร้ายคู่อริอย่าง เดดคาร์ด ชอว์ ที่ต้องออกร่วมมือกัน เพื่อหยุดยั้งโดมินิกและชิปเปอร์ในแผนการทำลายล้าง
การทำการบ้านมาดีของ เอฟ. แกร์รี่ เกรย์
หลังจากที่ เจมส์ วาน (ผู้กำกับภาค Furious 7) โบกมือลาขอไปกำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ดีซีอย่าง Aquaman สตูดิโอยูนิเวอร์แซลจึงต้องเริ่มหาผู้กำกับคนใหม่ที่เข้าทาง ซึ่งคำตอบก็มาลงที่ เอฟ. แกร์รี่ เกรย์ ผู้กำกับผิวสีที่มีผลงานน่าจดจำอย่าง The Italian Job (2003) และกำลังมือขึ้นสุด ๆ จากการทำหนังดราม่าชีวประวัติวงแก๊งส์เตอร์ฮิปฮอป N.W.A. ที่ได้เสียงวิจารณ์ในแง่บวกกับการเล่าเรื่องดราม่าผสมอาชญากรรมที่ทรงพลัง ผสมไปด้วยเพลงฮิปฮอปอันหลากหลายที่เป็นส่วนช่วยในการเล่าเรื่องอย่าง Straight Outta Compton (2015)
ซึ่งดูเหมือนเกรย์รู้ดีว่าจุดแข็งของแฟรนไชส์นี้คืออะไร ประกอบกับการเตรียมตัวในการกำกับฉากแอ็คชั่นต่าง ๆ ทั้งหมดเกรย์นำเสนอออกมาได้อย่างลื่นไหล เท่านั้นยังไม่พอ เกรย์ยังดึงอารมณ์เก่า ๆ ของหนังภาคแรก ๆ ให้กลับมาอีก ด้วยการเปิดเรื่องด้วยฉากแข่งรถอันดุเดือด เพราะเท่าที่จำได้ เราไม่ได้เห็นฉากแข่งรถฉากใหญ่แบบนี้ในสองภาคก่อนเลย (เพราะหนังเปลี่ยนรูปแบบไปโดยสิ้นเชิง) ซึ่งทำให้เป็นการหวนคืนสู่อารมณ์เก่า ๆให้กลับมาอีกครั้ง แม้จะเป็นเพียงฉากเดียวก็ตาม
บทภาพยนตร์ที่สุดท้ายก็แถ... (แต่แถได้อร่อย)
เนื่องจากความเปลี่ยนรูปแบบโทนหนังตั้งแต่ภาค 5 เป็นต้นไป ทำให้เรื่องราวในแต่ละภาคนั้นไม่ได้มีอะไรไปมากกว่า ผู้ร้ายจะเข้ามาชิงของสิ่งนี้เพื่อยึดโลก, การแก้แค้นให้กับน้องชายที่นอนโคม่าเพราะพวกพระเอก เส้นเรื่องของแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ขยับไปสู่เรื่องราวการก่อการร้ายที่ใหญ่โตระดับโลกไปแล้ว (ราวกับว่าพวกเขาเป็นพวก Avengers ยังไงอย่างนั้น)
ซึ่งยังไงหนังภาคนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องแบบนี้ แต่สิ่งที่ผู้เขียนบทอย่าง คริส มอร์แกน (มือเขียนบทประจำแฟรนไชส์ที่เขียนบทมาตั้งแต่ภาค 3) หยิบมาเล่น หรือแถต่อไปได้ ให้มีความน่าสนใจมากกว่าแค่เหล่าตัวเอกได้ซิ่งรถไปสู้กับเหล่าวายร้ายให้วินาศสันตะโรกันไปข้างหนึ่ง คือการหยิบประเด็นความภักดีของครอบครัวมาเล่นเสียเอง ด้วยการให้ดอมินิกแปรพักตร์จากครอบครัวด้วยเหตุผลบางประการ จุดที่ดีคือเหตุผลที่ว่ากลับเป็นเหตุผลที่เราคล้อยตาม และคงคิดเหมือนกันว่าถ้าเป็นเรา ก็คงไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทำให้การแถครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับได้โดยดุษณี
ประกอบกับหนังก็เอาจิ๊กซอว์มาประกอบกันใหม่ได้ดี เพราะหนังภาคนี้นั้นเปรียบเหมือนการเริ่มใหม่ (Restart) เรื่องราวอีกครั้ง หลังการหายไปของ พอล วอล์คเกอร์ ในบท ไบรอัน โอ’คอนเนอร์ ทำให้เกิดการหยิบตัวละครที่มีมาปูพื้นใหม่ สร้างเรื่องราวให้ตัวละครที่เคยร้าย กลับกลายเป็นดีได้อย่างหน้าหนาโดยที่ไม่ต้องคำนึงเหตุผลอะไรให้มากความ เสมือนว่าโลกใน Fast and Furious อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าใครหน้าจะเคยฆ่าคนในครอบครัวอย่างไร ไม่ว่าใครจะเคยสร้างความบรรลัยให้กับโลกมากเท่าไหน หรือแม้แต่จะเคยลงไปนอนหลุมมาแล้ว ก็สามารถกลับมาเดินลอยหน้าลอยตาและร่วมมือปราบเหล่าวายร้ายตัวใหม่ด้วยกันอย่างไม่ขัดเขิน ...
ทั้งหมดนี้เกิดจากการแถไถไปเรื่อยอย่างเข้าใจคิด เข้าใจหาเรื่องของคนเขียนบท ประกอบกับการไม่ถือสาหาความในเรื่องเหตุผลกับหนังเรื่องนี้ของคนดูอีกแล้ว ก็ทำให้หนังก็ไปต่อในแบบของมัน.
ฉากแอ็คชั่นที่เป็นจุดขาย
อย่างที่รู้กันว่าฉากแอ็คชั่นช่วงไคลแมกซ์ของหนังแฟรนไชส์นี้ ถือเป็นจุดขายที่หลายคนรอคอยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซิ่งรถไล่ล่ากันในเหมืองใต้ดิน, ซิ่งรถลากตู้เซฟยักษ์ไปทั่วเมืองริโอ, ฉากไล่ล่าบนรันเวย์สนามบิน (ที่ยาวที่สุดในโลก) หรือ ไล่ล่าในเมืองอันวินาศสันตะโร มาถึงภาคล่าสุดในฉากไล่ล่าบนธารน้ำแข็งที่มีเรือดำน้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ธารน้ำแข็ง ที่ภาคนี้จะเน้นความอลังการงานสร้างในความใหญ่โต และสถานการณ์การถูกไล่ล่าด้วยรถและเรือดำน้ำขนาดยักษ์
ซึ่งฉากนั้นก็ถือว่าทำออกมาได้สนุก ตื่นเต้นตามมาตรฐานของแฟรนไชส์ ที่ต้องบอกว่าในเรื่องความราบรื่นนั้นทำได้ลงตัว ไม่ยาวเกินไป (เช่น เหมือนฉากรันเวย์ที่ยาวที่สุดโลกที่ยืดเยื้อเหลือเกิน ใน Fast 6) หรือเน้นความวินาศแบบบ้านเมืองถล่มเละเทะแบบใน Furious 7 ทำให้ไคลแมกซ์ใน Fast 8 ให้อารมณ์คล้าย ๆ กับไคลแมกซ์ใน Fast Five (ที่โดยส่วนตัวจัดให้เป็นไคลแมกซ์ที่ชอบที่สุดในแฟรนไชส์) กล่าวคือมีการร้อยเรียงลำดับสถานการณ์จากค่อยไปมากสุด โดยระหว่างทางก็ใส่ฉากแอ็คชั่นเท่ ๆของเหล่าตัวละครในทีม แต่จุดที่ไม่ค่อยชอบนัก คือจุดสุดท้ายที่ใส่ความเก่งกาจเกินเหตุ แบบที่เดาง่ายมาก ๆ ว่ายังไงตอนนี้ตัวละครเอาชนะได้ด้วยพลังระดับยอดมนุษย์ (หลังพวงมาลัยรถ) เพราะหากเป็นภาคก่อน (ขอยกกรณีภาค Fast Five) ตัวละครยังมีการจนมุมและให้คนดูได้ลุ้นว่าจะเอาตัวรอดอย่างไรบ้าง แล้วค่อยโชว์พลังอภินิหารลากตู้เซฟด้วยรถคันเดียว แต่ภาคนี้แค่เห็นหน้าดอมแล้วรู้เลยว่ามันเป็นจุดจบแผนของวายร้ายหน้าสวยแล้วล่ะ
จนมาถึงฉากจบอันเป็นเอกลักษณ์ตามสูตร ที่ว่าด้วยครอบครัวที่มีสมาชิกมาเพิ่ม (สังเกตกันมั้ยว่าตัวละคร Little Nobody ที่ สก็อตต์ อีสต์วูด เล่นนั้นโดดเด่นขนาดไหน) (และยังสงสัยกันอยู่มั้ยว่าจะมีบทบาทในภาคต่อไปหรือเปล่า) หรือจะเป็นตัวละคร เดดคาร์ด ชอว์ (ที่เสมือนว่าความเลวทรามที่เคยทำไว้ในภาคก่อนได้ถูกล้างไปจนหมดสิ้นแล้วในภาคนี้) ที่คงไม่ต้องบอกกันอีกแล้วว่าภาคต่อไปจะอยู่ฝั่งไหน
ทำให้นี่เป็นการเปิดศักราชใหม่ของแก็งค์ดอมและครอบครัว ที่เชื่อขนมกินได้เลยว่าไปต่อได้อีกไม่ต่ำกว่า 2 ภาค ในโลกบิดเบี้ยวที่ทฤษฏีแรงโน้มถ่วงเป็นเรื่องสมมติ
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ