(แอบไปดูมาแล้ว) Fast & Furious 6 (2013) : ไม่ซิ่งก็ซี้ แต่ซิ่งนี้...เพื่อเธอว์


ความจริง The Fast and the Furious เกือบจะปิดฉากตัวเองไปแล้วตั้งแต่ภาคสอง แม้ว่าหนังจะทำเงิน แต่การใช้ซีจีสร้างฉากรถซิ่งเกือบทั้งเรื่องจนภาพออกมาเหมือนวิดีโอเกมส์ราคาถูก ก็ทำให้หนังลดเกรดตัวเองลงไปไม่น้อยในสายตาคนดู โชคดีว่าหนังภาคสาม Tokyo Drift ที่มาแบบไม่มีอะไรจะเสีย และแทบไม่เหลือดาราดังอยู่ในเรื่องเลยกลับกลายเป็นความฮิตขึ้นมาแบบเหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะฉากซิ่งรถที่กลับมาเน้น “ของจริง” และทำออกมาได้โดน จนถูกกล่าวขวัญถึงจากคอหนังทางนี้ไปเต็มๆ ส่งให้ จัสติน หลิน ถูกวางตัวบนเก้าอี้ผู้กำกับเรื่อยมาจนถึงภาคล่าสุด

Fast & Furious 6 เปิดเรื่องด้วยประเด็นเกี่ยวกับ เล็ตตี้ (มิเชล รอดริเกซ) คนรักเก่าของ ดอม  (วิน ดีเซล) ตัวละครที่เคยตายไปแล้วในหนังภาคสี่ แต่หนังภาคห้านำกลับมาทิ้งท้ายไว้ว่าเธอยังไม่ตาย และกลายไปเป็นมือขวาของอีกแก๊งอาชญากรหนึ่ง ประจวบเหมาะกับที่เจ้าหน้าที่พิเศษ ฮอบส์ (ดเวย์น จอห์นสัน) ต้องการจะทลายแก๊งที่ว่านี้ลงพอดี จึงได้ใช้ เล็ตตี้ มาสร้างแรงกระตุ้นให้ ดอม และพลพรรคที่วางมือแยกย้ายกันไปแล้ว กลับมาช่วยซิ่งอีกครั้งเพื่อจับวายร้ายตัวฉกาจ แลกกับการลบล้างความผิดทั้งหมดที่ทุกคนเคยก่อไว้ ขณะที่ ดอม เองก็ต้องการหาคำตอบเกี่ยวกับการหายตัวไปของ เล็ตตี้ และพาเธอกลับมาด้วยเช่นกัน  

หนังยาวถึง 2 ชั่วโมงกว่า และมาพร้อมกับการขายฉากแอ็คชั่นในโปรดักชั่นที่ใหญ่โตมากขึ้นกว่าทุกภาค คล้ายๆ จะเป็นการทิ้งทวนของผู้กำกับ จัสติน หลิน ที่เจ้าตัวก็บอกว่าจะกำกับเป็นภาคสุดท้ายแล้ว (ให้คนอื่นมาทำต่อ) ก่อนจะวางมือไปลองทำหนังแนวอื่นดูบ้าง

ซึ่งความ "ใหญ่" ของฉากแอ็คชั่น บวกกับการเดินเรื่องที่รวดเร็ว ก็ยังสามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับคนดูได้ผลอยู่ แต่น่าเสียดายตรงที่ หลังๆ ฉากการไล่ล่าใน Fast & Furious กลับกลายเป็นการไล่ล่าในทางทำลายล้างแบบหนังแอ็คชั่นทั่วๆ ไปเสียเป็นหลัก (ซึ่งภาคนี้ก็ใช้ทั้งรถถังและเครื่องบินเข้ามาช่วยกันสร้างความวินาศสันตโร) ไม่ได้มีการดีไซน์ออกมาเพื่อโชว์ทักษะการซิ่งเทพๆ แบบที่ จัสติน หลิน เคยทำเอาไว้ได้ดีในตอนภาคสามซักเท่าไหร่ จนรู้สึกว่าเสน่ห์ของการเป็นหนังที่ว่าด้วยการ "ซิ่ง" มันเริ่มหดหาย

ส่วนที่ดูเหมือนจะมีบทบาทมากขึ้นและกลายเป็นส่วนที่อุ้มให้หนังดูไม่แห้งแล้งจนเกินไปนัก ก็คืออารมณ์ขันแบบเบาๆ ที่ถูกใส่มาเรียกรอยยิ้มตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะ ไทรีส กิบสัน ดูจะได้ใจคนดูไปมากกว่าใคร นอกจากนั้นพล็อตหนังยังพยายามใส่การซ่อนเงื่อนหักมุมให้แปลกใจกันเล็กๆ กับตัวละครบางตัว ก่อนที่จะไปหาทางลงด้วยการรวบยอดเนื้อหาทั้งหมดให้ไปเชื่อมต่อกับหนังภาคสาม แล้วตบท้ายด้วยการเปิดตัวละครใหม่สำหรับหนังภาค 7 ที่แค่โผล่หน้ามาคนก็ครางฮือกันทั้งโรง!  

คะแนน : สามดาวจ้า

ชอบอ่านรีวิวสั้นๆ ยาวๆ สบายๆ ได้ใจความ ฝากเข้าไปช่วยสงเคราะห์กดไลค์แฟนเพจด้วยจ้า https://www.facebook.com/pages/Filmgaze/377893542331264?ref=hl
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่