เคยเสียใจกับอะไรมากๆแล้วปล่อยวางไม่ได้มั้ยคะ

กระทู้คำถาม
สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราเอง       ไม่เคยสมัครpantip เลย ได้แต่อ่านกระทู้เวลาต้องการหรือมีปัญหาอะไร วันนี้ก็ลองสมัครดู ผิดพลาดอย่างไรขอโทษ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ🙏🏻

    เข้าเรื่องกันเลยนะคะ ตัวเราเคยมีปัญหาทางด้านประสาทมาก่อนหน้านี้ ช่วงนั้นเป็นเพราะเครียดเรื่องเรียนเรื่องงานด้วย แต่ก็ไม่ได้เป็นมากอะไร ไม่ได้ถึงกับเห็นภาพหลอนอะไรแบบนี้ และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นที่โรคเดิมมันเหมือนจะกลับมา ส่วนตัวเราแล้วเป็นคนที่คิดมาก ถึงมากที่สุดเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็เก็บเอามาคิด ละวางหรือปล่อยวางไม่ได้เลย มาครั้งล่าสุดเหตุการณ์นี้คือเกิดเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2559 ที่เราเครียดมากๆคือ เกิดอุบัติเหตุคุณแม่รถคว่ำ บาดเจ็บสาหัสมาก ส่วนตัวเราเป็นลูกผู้หญิงก็เลยจะสนิทกับแม่มาก ซึ่งตอนนั้นใจเสียเลยค่ะตั้งแต่ตอนนั้น ไม่มีสติ เตลิดเปิดเปิงไปหมด ร้องไห้ตลอดทางที่ขับรถไปหาคุณแม่ที่จุดเกิดเหตุ จุดเกิดเหตุห่างจากบ้านประมาณ10กิโลเมตรค่ะ พอไปถึงเห็นภาพคุณแม่แล้วหวีดตรงนั้นเลยค่ะ วิ่งเข้าไปเขย่าคุณแม่เต็มที่ มันไม่มีสติอะไรแล้ว ณ จุดๆนั้น (ขออนุญาติไม่เล่าสภาพจุดเกิดเหตุนะคะ มันยังติดตาจนถึงทุกวันนี้)หลังจากนั้นคุณแม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉิน หมอช่วยกันเต็มที่ แต่หมอรับไม่ไหว (โรงพยาบาลในเขตอำเภอ เครื่องมือแพทย์ยังไม่ครบและหมอก็ยังไม่เชี่ยวชาญมากนัก) หมอเดินออกมาพูดว่าตอนนี้ช่วยอะไรไม่ได้เลย มีสิทธิ์ที่จะรอดน้อยมากเพราะจุดที่กระแทกลงตรงพวงมาลัยรถเต็มๆคือหน้าอกส่งผลต่อหัวใจแล้วก็ปอด ช่วงนั้นทำอะไรไม่ถูกเลย จนคุณพ่อแล้วก็ญาติตามมา เลยตัดสินใจให้หมอส่งตัวไปโรงพยาบาลใหญ่ของจังหวัดซึ่งมีครบแล้วพร้อมช่วยเหลือ ไปถึงคือเห็นคุณแม่ในสภาพคือโดนเจาะใต้หน้าอกทั้งสองข้าง โดนเอาสายแยงเข้าไปในคอ เจาะตรงบริเวญหน้าอกอีก2ที่ ซึ่งตอนนั้นสายระโยงระเยงไปหมดเลยค่ะ เรียกว่าสายพันกันเลยก็ได้ แต่สภาพคุณแม่แย่มาก คุณแม่ดิ้นตลอด กระชากนั่นกระชากนี้ กระชากสายน้ำเกลือขาดเลือดกระเด็นเลยค่ะ ไม่ได้เล่าเเบบเว่อร์ๆนะคะ มันคือเรื่องจริง ถ้าใครไม่เจออาจจะไม่รู้เลย ตอนนั้นสิ่งที่เราทำได้คือกุมมือแม่ไว้แล้วได้แต่พูดว่า" เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หายแล้วนะ" คุณหมอไม่ให้ทานอะไรเลย ด้วยความที่คุณแม่โดนแยงสายหลอดใหญ่ๆเข้าไปในคอเลยไม่สามารถที่จะพูดได้ แต่แม่พยายามจะพูดว่าหิวน้ำ หิวน้ำ แม่พูดแบบนี้ทั้งวันแต่หมอไม่ให้ จำได้ว่าแม่กระชากมือเราหลายครั้งมากว่าให้ถอดสายนี้ ถอดสายนั้น แม่ดิ้นจนสายโน่นนี่หลุด ช่วงเวลานั้นเราเอาแต่ร้องไห้ ไม่เข้มแข็งเลย ไม่มีสติ ตั้งสติไม่ได้ ไม่กินข้าว ไม่กลับบ้าน จนคุณหมอพาคุณแม่ไปเข้าห้องตรวจ พ่อกับญาติๆก็มา หมออกมาพูดว่า ภายนอกไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ภายในมีโอกาสรอดน้อยมาก แม่ปอดแตกไป1ข้าง ซี่โครงหักทิ่มปอด กระบังลมแตก3ซี่ อาการแม่แย่มาก จนเราฟุบล่วงตรงนั้นเลยค่ะ ร้องไห้ตลอดตั้งแต่ที่จุดเกิดเหตุ แต่โชคดีที่ว่าพ่ออยู่ข้างๆแม่ตลอด โชคดีที่คุณน้า คุณอา ไม่ทิ้งกันเวลาแบบนี้ และโชคดีตรงที่ฐานะบ้านเราเป็นฐานะที่พอจะมีกินมีใช้แต่ไม่ได้รวยมาก ค่ารักษาจึงไม่เป็นปัญหาอะไร หมอเลยถามว่าให้ผ่าตัดมั้ย ถ้าผ่าตัดโอกาสรอดก็มี แต่ไม่ถึงกับ100% พ่อก็เลยจัดสินใจให้ผ่าตัด คืนนั้นก็ผ่าตัดประมาญ 2-3ชั่วโมง ตั้งแต่4ทุ่มจนเกือบตี2แต่ถือว่านานมากนะคะ ระหว่างที่รอแม่ผ่าตัดก็คิดมากๆเลยค่ะ คิดจนปวดหัวไปหมด ขอยาพาราหมอกิน2เม็ดก็ยังไม่หาย ยิ่งเวลานานขึ้นๆมันก็ยิ่งคิด เอาจริงๆคือถ้าหัวมันแตกมันคงแตกแล้วล่ะค่ะ เพราะมันรับอะไรไม่ได้ มันมืดไปหมดเลยค่ะ คือข้าวก็ยังไม่ได้กินจนถึงเที่ยงคืนวันนั้น บ้านก็ไม่ได้กลับทุกอย่างมันดูวุ่นวายไปหมด จนแบบคิดแล้วว่าเอ้อ จบกันทุกอย่างในชีวิต จนหลับคาโต๊ะไปแล้วไปฝันว่า เจอผู้หญิงชุดขาวเนี่ยจูงมือเราไปทางห้องดับจิต ในฝันคิดว่าเค้าจะพาไปดูศพแม่แต่แม่น่ะมายืนอยู่ข้างหลัง ก็สะดุ้งขึ้นมาเพราะพ่อเรียกบอกว่าแม่ออกมาแล้ว ก็เดินตามหมอไปจนแว๊บนึงแว๊บเดียวนะคะ เห็นผู้หญิงชุดขาวเดินอยู่ข้างหน้า เดินข้างๆรถเข็นเตียงแม่เลยค่ะ มันแค่แว๊บเดียวเท่านั้นนะคะ ใจกระตุกไปแว๊บนึงเรียกว่าหน้าเสียเลยค่ะ สลัดหัวเลยตอนนั้น ไม่ได้มาเล่าเรื่องผีให้ฟ้งนะคะ แต่คือมันเกิดขึ้นจริง เลยไปถามหมอหมอก็บอกว่าลองนอนซักพักแล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก กินยานอนหลับเลยก็ได้ ปล่อยจิตปล่อยใจให้มันสบายๆ จริงๆแล้วคือเครียดจนเห็นภาพที่มันวนอยู่ในความคิดเราออกมาน่ะค่ะ สรุปคือเครียดมากเกินไปจนเป็นแบบนี้ ผ่านมา3วันแล้วนะคะชีวิตของแม่ที่อยู่ระหว่างสายที่พันกันแล้วก็เครื่องช่วยหายใจ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดหัวใจอะไรก็ไม่รู้ค่ะ อยู่ติดๆกัน3เครื่อง ความที่อยู่ในโรงพยาบาลทั้งวัน วันนึงมันก็จะเจอแต่เสียง ตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน กลิ่นยากลิ่นโรงพยาบาล ต่างๆสารพัด ได้ยินทุกวันจนคุณแม่อาการเริ่มดีขึ้นมาค่ะ อาการที่ดีขึ้นมานี่คือ วันที่6 นะคะ แต่ตั้งแต่เกิดเหตุแม่ก็คือไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่น้ำซักหยดก็ไม่เลยค่ะ ถ้าได้กินบ้างก็คงเป็นน้ำเกลือนั่นแหละมั้งคะ อาการนี้ก็คือดีขึ้นมากเห็นได้ชัดหมอเริ่มถอดสายเจาะออกบ้างบางส่วน แต่หมอกำชับแม่มากๆว่าไม่ให้พูดมาก ไม่ให้ใช้แรงเยอะ เพราะ ปอด,กระบังลม, มันไม่ดีแล้ว มันก็จะเหนื่อยมันก็จะทำให้ทรุดไปอีก แต่วันนั้นมันเป็นลางบอกเหตุจริงๆค่ะ คืนวันที่6 คุณแม่ลุกขึ้นมาคุยได้ น่าแปลกมากๆค่ะ ว่าคนที่ยังมีสายน้ำเกลือระโยงระเยงจะลุกขึ้นมาคุยได้ แต่คุยครั้งนี้คือคุยเยอะมาก ช่วงนี้คือตัวเราเปลี่ยนเวรเฝ้าคุณแม่กับคุณยาย เราเลยลงไปข้างล่างตึก คุณยายก็เล่าให้ฟังค่ะ กลับมาคือคุณแม่พูดเหมือนคนเพ้ออะไรทำนองนี้ พูดถึงเรื่องเงินเรื่องทอง เหมือนเริ่มฝากฝังพูดทำนอง ทรัพย์สมบัติเราดูแลให้ดีนะลูก อย่าให้ใครแย่งไป เนี่ยดูแลของๆแม่นะลูก ดูแลให้ดีอย่าให้ใครมันมายุ่ง ช่วงนั้นคุณพ่อกลับไปบ้านเลยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แม่เริ่มชี้นิ้วกวักเรียก(ใครไม่รู้)ค่ะ เรียกกวักมือให้มาหา คุณแม่เป็นคนกินหมากนะคะ อายุคุณแม่คือ60 แม่พูดว่าเอาหมากมาให้คำนึงชี้เรียกคนกลางอากาศ คุณยายก็บอกให้แม่นอน เพราะว่าเดี๋ยวมันเหนื่อยคุณแม่ก็ยอมนอน แต่ก็ชี้ขึ้นบนเพดานแล้วพูดว่า มาเกาะเพดานอยู่ทำไม ให้ลงมา เหมือนคนเริ่มเพ้อแล้วเริ่มเห็นบรรพรุษตัวเองประมาณนั้นนะคะ แม่พูดไม่หยุดเลนค่ะคุณพยาบาลหน้าห้องเลยเอายานอนหลับหยอดให้ทานแบบละลายน้ำนะคะ วันนั้นคุณแม่เลยได้ทานน้ำครั้งแรกที่ผสมยานอนหลับ คุณแม่ก็หลับค่ะหลับไปเลย จนวันนั้นล่วงเลยมาจนตี2 คุณหมอเริ่มเข้ามาเช็คอาการ น่าตกใจมากคือความดันแม่ไม่มี ความดันไม่ขึ้นเลยหมอหลายคนมาช่วยกันตอนนั้น ใจไม่ดีแล้วค่ะ รู้ว่าแม่อาการไม่ดีแล้วดูเหมือนจะทรุดกว่าเก่าค่ะ เครื่องช่วยทั้งหลายๆก็ดังตึ๊ด ตึ๊ด ตึ๊ด ตลอด จนตี3 ญาติๆกับพ่อก็มา หมอเรียกพ่อไปคุยกับคุณน้า2คนซักพัก เราก็ไม่กล้าถามว่ามีอะไร น้าเลยบอกว่าหมอถามว่าจะให้ปั๊มหัวใจมั้ย แม่ไม่ไหวแล้ว เนี่ยค่ะจุดที่มันร้องไม่ออกเหมือนอะไรมันมากระแทกกลางใจเต็มๆ ตอนนั้นยืนนิ่งไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พ่อตัดสินใจว่าไม่ให้ปั๊ม ค่ะ พ่อไม่ให้ปั๊ม เพราะพ่อกลัวว่าถ้าปั๊มแผลผ่าตัดที่ท้องมันจะพังลงไปอีกแล้วแม่ก็จะทรมานอีก เพราะคุณหมอแจ้งว่าปอดที่ผ่าตัดมาเนี่ยมันไม่แทบจะไม่เห็นผลเลย แล้วก็มีภาวะโรคหัวใจเข้ามาอีกจุดนั้นคุณหมอเรียกเราไปคุย บอกกับเราว่า แม่เป็นโรคแทรกซ้อนขึ้นมาหนักสุดคือเป็นโรคหัวใจ แล้วมันเป็นสิ่งที่ช่วยอะไรไม่ทันแล้ว นอกจากปั๊มหัวใจ หลังจากที่ปล่อยให้แม่นอนแล้ว จำได้ว่าแม่ควานหามือเราแม่พยายามหามือเราเรียกว่า อีคนเล็ก (คือเราเป็นลูกครเล็ก เลยเรียกตามประสาถิ่น) เนียกแบบนี้หลายหนเราก็วิ่งไปจับมือ จับมือแน่นมาก แม่ก็เรียกอยู่แต่เราจนสุดท้ายเค้าก็ค่อยๆหลับ พ่อเลยพูดว่าปล่อยเค้าหลับ เค้าเหนื่อย แต่ช่วงนั้นเราคือนั่งจับมือแม่ตลอด คอยเอาสำลีชุบน้ำเช็ดปากที่ตอนนั้นแห้งจนลอกเป็นสะเก็ด ขอบตาดำคล้ำ หมอมาตรวจอีกทีก็บอกว่าแม่มีไข้ ความดันเริ่มมีขึ้นมาบ้างแล้ว อย่าเพิ่งตกใจวิตกกังวล หมอเลยฉีดยาให้ซักประเดี๋ยวความดันแม่ก็มา ตอนนั้นคือตี4เกือบตี5แล้วค่ะ ทุกอย่างมันดูเงียบเชียบ ญาติกับพ่อนั่งเงียบมากข้างนอก จนเราเดินไปถามหมอว่า แม่อาการทรุดหรือดีขึ้นคะ แต่หมอคงไม่ตอบให้เราชื้นใจขึ้นหรอกค่ะ หมอตอบว่าทรุดลง หมอบอกกับทางญาติๆแล้วว่า แม่ขาดใจแน่ไม่เกิน8โมงเช้า เข้าใจความรู้สึกคนเป็นลูกที่ได้ยินหมอพูดตรงนั้นมั้ยคะ ใจมันแตกเป็นเสี่ยงๆแล้วค่ะ มันปวดยิ่งกว่าใครมาทุบอีกค่ะ อยากจะกรี๊ดออกมาที่สุดเลยค่ะตอนนั้น อยากกรี๊ดออกมาให้สุดเสียง แต่ทำได้แค่เดินแล้วกลับไปนั่งจับมือแม่เหมือนเดิม ญาติๆก็เข้ามาช่วยกันดู เช็ดตัวบ้างอะไรบ้าง ตอนนั้นทุกคนไม่เคยพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทุกอย่างเงียบมีแต่เสียงเครื่องเจ้ากรรมที่ดังอยู่ทั้งวัน แค่นั้น พ่อจับตัวแม่แล้วก็พูดว่าพักนะแม่ เหนื่อยตกระกำรำบากทุกทนมามากแล้ว หลับไปเลย ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น น้าก็คอยกระซิบ"บอกหนทาง" ตลอดเวลา แล้วก็คอยเรียกข้างหูตลอด ตี5แล้วค่ะ อุณภูมิไข้ไม่มีท่อนบนเริ่มเย็น หมอเลยมาดูอาการแล้วรุมช่วยกันประมานเกือบ10 คน ตอนนั้นหัวใจแม่เต้นช้าลงแล้ว หมอช่วยกัน หยอดน้ำสีแดงลงไป หมอเริ่มเขย่าตัวแม่แรง เรียกชื่อเสียงดัง แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมาเพียงแค่ความเงียบแบบเดิม หมอเดินออกมา พยายาลเริ่มพันสายน้ำเกลือถอดสายน้ำเกลือออก หมอเริ่มเอาที่เจาะไว้ออก ค่ะ เงินทองมากมายก็ยื้อชีวิตคนไม่ได้ เหลือเพียงแต่เครื่องวัดหัวใจที่มันเต้นช้าลงทุกครั้ง มันมาพร้อมเสียง ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น อัตราหัวใจก็เริ่มช้าลง ตัวเลขเริ่มนับถอยหลัง 70 65 50 เสียงเครื่องทำงานถี่ขึ้นเรื่อยๆจนถี่ยิบเสียง ตุ๊ดตุ๊ดตุ๊ดตุ๊ดติกันแล้วชีพจรหัวใจก็ไม่ขึ้นมาอีกเลย..  หลังจากนั้นงานศพแม่เราก็ไม่กล้าไป ไม่ใช่เพราะเรากลัวนะแต่มันทำใจไม่ได้ วันนึงกินยาแก้ปวด2เม็ดต่อวัน อยู่แต่บ้านไม่กล้าออกไปใหน ไม่เคยเข้าใปในงานเลย จนวันสุดท้ายเพื่อนก็มาบอกว่า ทำไมไม่ไปวัดเลยไม่ทำให้เค้าตอนนี้แล้วจะไปทำตอนใหน เราก็เลยตัดสินใจไปในงาน เห็นคนเยอะมาก เราเดินไปนิ่งที่สุดเก็บอาการที่สุดค่ะ เราไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราสามารถที่ปล่อยโฮได้กลางงานเลย ณ จุดๆนั้น คนอื่นเค้าจะหาว่าเราแสดง ก็เลยเดินไปไหว้ญาติที่มา แล้วก็เดินไปจุดธูปตรงนี้คือสะอึกแล้วโฮเลยค่ะ มันกลั้นไม่ไหว มันทำใจไม่ได้จริงๆ สติแตกอีกครั้งคือหวีดตรงหน้าศพเลย ปากก็ถามว่าแม่ไปไหน แม่หนีทำไม จนเพื่อนเข้ามาประคอง เอายาดมมาให้แล้วเชื่อมั้ยว่าผู้หญิงชุดขาววนเต็มหัวไปหมดเลยค่ะ เห็นแต่ผู้หญิงชุดขาว พยายามลุกขึ้นมาแล้วหอบหายใจแรงมาก พยายามหายใจแต่มันติดๆขัดๆ จนแบบเฮือกเลยค่ะ เล่าอาการไม่ถูก เหนื่อยมากตรงนั้น มือจิกพื้นแล้วค่ะ มันปวดหัวจี้ดขึ้นมาเลย สรุปก็ต้องกลับบ้านอยู่ไม่ได้ จุดๆนั้นคือขอนั่งคนเดียวที่บ้าน มันก็มีช่วงคิดแว๊บนึงว่าแม่ไม่อยู่แล้วจะอยู่ได้ยังไง แต่ก็สลัดมันออกไปค่ะ คิดไปคิดว่าเรายังมีครอบครัวอีกหลายคนนะ เราต้องดูแล แม่ฝากเอาไว้แล้ว ตั้งแต่นั้นก็เข้าหาหมอตรวจก็ได้ยาประสาทมากินก็หายไป จนมาได้ยินเสียงตู๊ด ตู๊ด ตู๊ดของโรงพยาบาล เสียงเครื่องวัดหัวใจ คือมันปวดหัวแล้วภาพตอนที่แม่สิ้นใจมันก็กลับมาอีก ตอนนี้เป็นปกติแล้วค่ะเพราะเหตุการณ์ร้ายๆมันผ่านไป แต่มันก็จะปวดหัวทุกครั้ง เห็นภาพทุกครั้งเวลาเห็นหรือได้ยินภาพเสียงในอดีตอีกครั้งนึง คุณหมอก็แนะนำมาหลายวิธีแต่มันก็ยังไม่โปร่งใสเท่าไหร่ ตอนนี้สิ่งที่ช่วยได้คือหาอะไรตลกๆดู เที่ยวตามเขา ตามน้ำตกจะสบายใจมากค่ะ ใครเคยมีอาการแบบนี้แล้วมีวิธีแก้แบบใหนกันบ้างคะ มาเล่ามาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณค่ะหัวใจหัวใจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่