ย้อนไปเมื่อ พศ.2544 ตอนนั้นเราเข้าเรียนชั้นม.1 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต และทุกๆปีจะมีการเข้าค่ายลูกเสือ-เนตรนารีช่วงปลายปี
โรงเรียนของเราจะไปเข้าค่ายตรงนี้ทุกปี สมัยแม่เราเรียนที่โรงเรียนนี้ก็เข้าค่ายที่นี่เหมือนกัน วันที่จะต้องเตรียมของเพื่อจะเดินทางไปเข้าค่าย แม่ก็จะเป็นคนเตรียมของให้และไม่มีอาหารประเภทหมูเลย และคำพูดของแม่จะย้ำตลอดว่าห้ามพูดอะไรไม่ดีเจออะไรห้ามทักและที่ตรงนั้นเป็นที่ของอิสลามอย่าเอาหมูเข้าไปกินนะ เจอแสงไฟในทะเลก็ห้ามทักเพราะไม่ใช่ไฟเรือ มันเป็นผีอย่าร้องทักเดี๋ยวจะเข้าตัว (ผีชินเป็นผีทะเลค่ะทางใต้เรียกว่าแบบนี้ตามคำเล่าของคนแก่จะบอกว่าเป็นผีที่มีดวงไฟกลมโตสีส้มห้ามทัก)
จนวันที่ต้องไปเข้าค่ายมาถึง เรานั่งรถโรงเรียนไปลงที่แยกท่าเรือค่ะเพื่อตั้งแถวและเดินทางไกลเข้าไปยังจุดหมายและผ่านฐานต่างๆไปตามทางเรื่อยๆ ระยะก็ไกลพอสมควรค่ะ เราก็ทำกิจกรรมตามฐานไปเรื่อยๆ จนถึงฐานสุดท้ายที่จะต้องเข้าไปตามทางเข้าหาดวีรสัตรีอนุสรณ์ ตรงนั้นจะมีโรงเรียนเด็กพิเศษด้วย สิ่งแวดล้อมตามทางเข้า ริมทางจำไม่ได้ว่ามีไฟไหมเพราะไม่ได้สังเกตุแต่มีแต่ต้นมะพร้าวสูงใหญ่เต็มสองข้างทาง เราก็เดินไปเรื่อยๆจนเจอทะเลค่ะ
บรรยากาศโดยรอบคือ เป็นทะเลใหญ่แต่เป็นลักษณะคล้ายๆป่าโกงกางขึ้นอยู่ในทะเลด้วยเป็นต้นใหญ่ๆ แบบประปราย ทะเลมีแต่โคลน ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำค่ะ และตรงนั้นจะมีโรงเรียน และลานกว้างสำหรับทำกิจกรรม
พอประชุมเลิกกองเสร็จก็มาจัดแจงสร้างเต้นท์กันค่ะ พอสร้างเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเข้าฐานทั่วไปจนถึงเวลาทานอาหารและเข้านอน และมีการแบ่งเวรยามเพื่อเฝ้าเต้นท์ของตัวเอง คืนนั้นเราได้เข้าเวรช่วงเที่ยงคืน-ตี2ค่ะ พอถึงเวลาเข้าเวรเราก็ลุกมาแต่งตัวใส่ชุดเนตรนารีและนั่งอยู่หน้าเต้นท์ เราก็มองอะไรเพลินๆเรื่อยเปื่อย จนไปสะดุดแสงไฟหลังต้นไม้สีส้มกลมโตมาก แต่แม่ก็เตือนไว้แล้ว จึงไม่คิดอะไรจนเรามองไปยังต้นโกงกางที่อยู่ในทะเล คืนนั้นเป็นคืนที่ดวงจันทร์กลมโตและส่องสว่างมากค่ะ เรามองไปที่กิ่งไม้ที่มีแสงจันทร์สาดลงมา เรามองเห็นเป็นเงาๆ เหมือนคนอยู่บนกิ่งไม้ เราจึงขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดเราจึงมองเพ่งไปอีกครั้ง ครั้งนี้เราเห็นชัดมากค่ะในเงาของเขาเหมือนเขาหันหน้ามองมาทางเราเป็นผู้หญิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ แต่มองหน้าไม่เห็น เห็นเป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงนั่งห้อยขาและแกว่งขา และตรงข้างๆผู้หญิงก็ยังมีอีกเงาที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดียวกันและเอามือค้ำลำต้นไว้โดยมีผู้หญิงนั่งอยู่ระหว่างใต้แขนเขาและต้นไม้ ตอนนั้นเหมือนสติเราหลุดค่ะ เราจำได้ว่าเราก้าวขาออกแล้วจะวิ่งทันที เพื่อนสนิทเราคว้าตัวเราไว้แล้วกอดค่ะ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราตัวชาไปทั้งตัวและหูอื้อแทบจะไม่ได้ยินเสียงใครพูดอะไร จนมีอาจารย์วิ่งเข้ามาและลากเราไปยังหน้าเต้นท์ โดยมีอาจารย์อีกคนตามมาสมทบและท่องคาถาอะไรซักอย่าง หลังจากนั้นก็เอากำปั้นทุบลงบนหัวเราแรงๆ 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ทุบลงไป เราเหมือนมีอะไรหลุดออกไปทุกครั้งที่ทุบหัวเราจนทุบครั้งที่ 3 เราร่วงลงไปนอนกองกับพื้นเลยค่ะ เหมือนคนไม่มีแรง
จนกระทั่งเราเข้าไปนอนในเต้นท์เราคิดว่ามันคงจะจบแล้ว ระหว่างนอนจะมีเพื่อนนอนจับมือเราไว้ทั้ง 2 ข้างค่ะ แต่ระหว่างที่เราหลับแต่มันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เราเห็นชาย-หญิง 2 คนยืนอยู่ที่ปลายเท้าใส่ชุดเหมือนคนอิสลามผู้หญิงใส่ผ้าถุงและผ้าคลุมหัวผู้ชายใส่ผ้าโสล่งเสื้อกระดุมหน้าและมีหมวกแต่สภาพของชุดนั้นเก่ามากๆผู้หญิงนั้นร้องไห้สะอื้นพูดภาษาที่เราไม่รู้จัก ส่วนตัวคิดว่าเป็นภาษายาวีค่ะ แต่เหมือนเราจะเข้าใจเขาในตอนนั้นเหมือนเขาพูดมาว่ากว่าจะตามหาเจอรอมานานแล้วกลับไปอยู่กับเขาเถิดนะ ในความรู้สีกของเราคิดว่าเขาจะสื่อแบบนี้ ณ.เวลานั้นเพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า เรากรีดร้องเสียงหลงร้องไห้โวยวายหลับตาเรียกไม่ตื่นเพื่อนตัวอ้วนมากค่ะตบหน้าเรา ทั้งเรียกไปด้วยและตบไปด้วย ตอนนั้นได้ยินเสียงลางๆค่ะแต่ลืมตาไม่ขึ้น ตบจนบวมกว่าจะตื่น(บวมจริงๆค่ะเช้ามาบวมไปข้างนึงจริงๆ) พอเราตื่นขึ้นมาตอนนั้นกลัวมากค่ะร้องไห้ตลอดเวลา อาจารย์ก็เลยพาเราใส่พระของอาจารย์อีกคนแล้วพาไปนอนในห้องพระของโรงเรียนโดยมีอาจารย์นอนเป็นเพื่อนจนเช้า
เหตุการณ์นี้ดังมากในวันที่ไปเข้าค่ายและได้มีการยกเลิกเข้าเวรยามกลางคืนทั้งหมดทันที เรานอนห้องพระอีกคืนเพราะความกลัว และอาจารย์คนที่เดินมาหาตอนที่เพื่อนยืนกอดเราไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนีคืนนั้นมาเล่าทีหลังว่า วันที่แกเดินมาหาเราแกมองเห็นเราเป็นคนอื่นตาขวางและดุมาก เลยไปตามอาจารย์อีกคนมา วันที่แม่มารับเราจึงเล่าให้แม่ฟัง อาจารย์ที่ปรึกษาและอีกหลายๆคนจึงบอกว่าให้ไปหาพระ วันที่กลับบ้านเรากับแม่จึงไปซื้อชุดแบบของอิสลามไปยังสุเหร่าเพื่อนๆเชื่อมั้ยค่ะว่าเรายังไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรเขาซักคำ โต๊ะอิหม่ามเอ่ยขึ้นมาว่าพาใครมาด้วย ชายหญิงสองคนนั้นชวนเขามาหรอ หนูเลยบอกว่าป่าวค่ะแล้วรีบเล่าให้ฟัง โต๊ะอีหม่ามบอกว่าดวงเราไม่ดีที่เห็นนั้นเป็นพ่อแม่เก่าของเรา เขาจะเอากลับไปอยู่ด้วยเขารอมานาน โต๊ะอีหม่ามหันไปบอกกับแม่ว่าเด็กคนนี้อายุ 15 ปีมันก็ตาย ตอนนั้นแม่เราร้องไห้ออกมาเลยค่ะเราก็กลัวมาก โต๊ะอีหม่ามได้เอาน้ำมนต์ขึ้นมาเขียนๆลงในใบพลูสดให้เราเคี้ยวแล้วกลืน เราก็เคี้ยวค่ะ แต่ปากของเราไหม้หมดเลยทำให้กินข้าวไม่ได้อยู่หลายวัน แต่เรากับแม่ก็ยังไม่หายข้องใจ จึงไปหาพระที่วัดกันอีกหลังจากวันนั้น 3 วัน เหตุการณ์เหมือนเดิมค่ะ ก้าวเข้าไปในศาลาวัดหลวงพ่อท่านก็เอ่ยปากอีกพาใครมาด้วยละโยม เราร้องไห้เลยค่ะด้วยความกลัว พระก็พูดเหมือนโต๊ะอีหม่ามค่ะว่านั่นคือพ่อแม่เขา เราจะมีอายุแค่ 15 ปี ก็เลยทำสังฆทานกับหลวงพ่อ ทำบังสกุลเป็น บังสกุลตาย ที่สุดท้ายที่จะพึ่งคือพระจีนค่ะ (ที่ภูเก็ตจะมีการทรงเจ้าค่ะแบบตอนเทศกาลกินเจ) มีพ่อพี่ที่เคารพเขาลงพระอยู่เราเลยแวะไปหาเขาหลังจากกลับจากที่วัด เราจอดลงก้าวลงจากรถยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านค่ะ สาบานเลยจริงๆ พ่อของพี่เขานั่งกินข้าวอยู่ จู่ๆก็ลงพระทันทีพี่ๆในบ้านเขาก็งงว่าทำไมจึงหาชุดของพระท่านมาให้ใส่ แล้วเขาก็ทักมาอีกว่านั่นคือพ่อแม่เขายังไงก็แล้วแต่ เด็กคนนี้ 15 ปีก็จะต้องตาย เรากลัวมากค่ะตอนนั้น เพราะ 3 ครั้งแล้วที่โดนทัก พระท่านบอกว่าให้ทำพิธียกเราให้เป็นลูกของพระจีน แล้วทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์แบบจีน และมีการเผาตุ๊กตากระดาษไปให้สองคนนั้นแทน โดยการที่ให้แม่บอกว่านี่คือลูกของเธอ ส่วนนี่ลูกของฉันให้ขาดจากกันนับต่อจากนี้ พระก็ทำพิธีให้ค่ะ ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ายกให้เป็นลูกพระจีนคืออะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป2ปี เราอายุ 14 ค่ะ ช่วงนั้นเราเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากค่ะ ทั้งจมน้ำ และรถชน แต่ละครั้งรอดมาอย่างหวุดหวิดแทบทั้งสิ้น จนกระทั่งช่วงกินเจเราไปนั่งกินข้าวอยู่หน้าศาลเจ้าค่ะ เราได้ยินเสียงกลองโลก้อ (กลองที่ใช้ตีในพิธีกินเจ) ลั่นดังขึ้นตอนนั้นเราเหมือนวูบไปค่ะ รู้สึกตัวอีกทีคือไปตื่นอยู่หน้าโต๊ะพระบนศาลเจ้า เราเพิ่งจะมารู้ ณ ตอนนั้นว่าการที่ยกให้เป็นลูกของพระจีนคือ การที่ต้องมาเป็นม้าทรงรับใช้เจ้า เพื่อแลกกับการต่ออายุขัย (มาถึงจุดนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่างมงาย โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังนะคะ) แต่พอเรายอมรับการเป็นม้าทรงรับใช้ เราก็มีอายุถึงจนทุกวันนี้ค่ะ 29 ปีแล้ว เหตุการณ์วันนั้นทำให้เรากลัวมาก และทำให้ชีวิตเราพลิกผันมาเป็นม้าทรงแบบไม่เต็มใจนักในตอนนั้นเพราะเรากลัวประทัดมาก แต่ปัจจุบันเราศรัทธามากค่ะ เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์มันจะเกี่ยวโยงกันไหมแต่เราสบายใจขึ้นค่ะ เรื่องแบบนี้คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
คนในรูปที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นคือเราเองค่ะ
ตรงนี้จะเป็นบริเวณทางด้านหน้าทะเลนะคะที่เราไปเข้าค่าย เราหาจากในเน็ตได้แค่นี้เพราะตอนนี้เราอาศัยอยู่ที่กทมค่ะ
เพิ่มเติมค่ะเพิ่งหารูปเจอจากในเน็ตหาดนี้เค้าเรียกว่าหาดท่าหลานะคะ
ทางเข้าหาดคะ
หาดท่าหลาตอนกลางวันค่ะ
บรรยากาศยามเย็นตอนตะวันกำลังจะพ้นขอบฟ้าที่หาดท่าหลา
เจอดีตอนเข้าค่ายเนตรนารีทีป่าคลอกจังหวัดภูเก็ต
โรงเรียนของเราจะไปเข้าค่ายตรงนี้ทุกปี สมัยแม่เราเรียนที่โรงเรียนนี้ก็เข้าค่ายที่นี่เหมือนกัน วันที่จะต้องเตรียมของเพื่อจะเดินทางไปเข้าค่าย แม่ก็จะเป็นคนเตรียมของให้และไม่มีอาหารประเภทหมูเลย และคำพูดของแม่จะย้ำตลอดว่าห้ามพูดอะไรไม่ดีเจออะไรห้ามทักและที่ตรงนั้นเป็นที่ของอิสลามอย่าเอาหมูเข้าไปกินนะ เจอแสงไฟในทะเลก็ห้ามทักเพราะไม่ใช่ไฟเรือ มันเป็นผีอย่าร้องทักเดี๋ยวจะเข้าตัว (ผีชินเป็นผีทะเลค่ะทางใต้เรียกว่าแบบนี้ตามคำเล่าของคนแก่จะบอกว่าเป็นผีที่มีดวงไฟกลมโตสีส้มห้ามทัก)
จนวันที่ต้องไปเข้าค่ายมาถึง เรานั่งรถโรงเรียนไปลงที่แยกท่าเรือค่ะเพื่อตั้งแถวและเดินทางไกลเข้าไปยังจุดหมายและผ่านฐานต่างๆไปตามทางเรื่อยๆ ระยะก็ไกลพอสมควรค่ะ เราก็ทำกิจกรรมตามฐานไปเรื่อยๆ จนถึงฐานสุดท้ายที่จะต้องเข้าไปตามทางเข้าหาดวีรสัตรีอนุสรณ์ ตรงนั้นจะมีโรงเรียนเด็กพิเศษด้วย สิ่งแวดล้อมตามทางเข้า ริมทางจำไม่ได้ว่ามีไฟไหมเพราะไม่ได้สังเกตุแต่มีแต่ต้นมะพร้าวสูงใหญ่เต็มสองข้างทาง เราก็เดินไปเรื่อยๆจนเจอทะเลค่ะ
บรรยากาศโดยรอบคือ เป็นทะเลใหญ่แต่เป็นลักษณะคล้ายๆป่าโกงกางขึ้นอยู่ในทะเลด้วยเป็นต้นใหญ่ๆ แบบประปราย ทะเลมีแต่โคลน ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำค่ะ และตรงนั้นจะมีโรงเรียน และลานกว้างสำหรับทำกิจกรรม
พอประชุมเลิกกองเสร็จก็มาจัดแจงสร้างเต้นท์กันค่ะ พอสร้างเสร็จก็ไปทำกิจกรรมเข้าฐานทั่วไปจนถึงเวลาทานอาหารและเข้านอน และมีการแบ่งเวรยามเพื่อเฝ้าเต้นท์ของตัวเอง คืนนั้นเราได้เข้าเวรช่วงเที่ยงคืน-ตี2ค่ะ พอถึงเวลาเข้าเวรเราก็ลุกมาแต่งตัวใส่ชุดเนตรนารีและนั่งอยู่หน้าเต้นท์ เราก็มองอะไรเพลินๆเรื่อยเปื่อย จนไปสะดุดแสงไฟหลังต้นไม้สีส้มกลมโตมาก แต่แม่ก็เตือนไว้แล้ว จึงไม่คิดอะไรจนเรามองไปยังต้นโกงกางที่อยู่ในทะเล คืนนั้นเป็นคืนที่ดวงจันทร์กลมโตและส่องสว่างมากค่ะ เรามองไปที่กิ่งไม้ที่มีแสงจันทร์สาดลงมา เรามองเห็นเป็นเงาๆ เหมือนคนอยู่บนกิ่งไม้ เราจึงขยี้ตาเพราะคิดว่าตาฝาดเราจึงมองเพ่งไปอีกครั้ง ครั้งนี้เราเห็นชัดมากค่ะในเงาของเขาเหมือนเขาหันหน้ามองมาทางเราเป็นผู้หญิงนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งไม้ แต่มองหน้าไม่เห็น เห็นเป็นผู้หญิงใส่ผ้าถุงนั่งห้อยขาและแกว่งขา และตรงข้างๆผู้หญิงก็ยังมีอีกเงาที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งเดียวกันและเอามือค้ำลำต้นไว้โดยมีผู้หญิงนั่งอยู่ระหว่างใต้แขนเขาและต้นไม้ ตอนนั้นเหมือนสติเราหลุดค่ะ เราจำได้ว่าเราก้าวขาออกแล้วจะวิ่งทันที เพื่อนสนิทเราคว้าตัวเราไว้แล้วกอดค่ะ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าเราตัวชาไปทั้งตัวและหูอื้อแทบจะไม่ได้ยินเสียงใครพูดอะไร จนมีอาจารย์วิ่งเข้ามาและลากเราไปยังหน้าเต้นท์ โดยมีอาจารย์อีกคนตามมาสมทบและท่องคาถาอะไรซักอย่าง หลังจากนั้นก็เอากำปั้นทุบลงบนหัวเราแรงๆ 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ทุบลงไป เราเหมือนมีอะไรหลุดออกไปทุกครั้งที่ทุบหัวเราจนทุบครั้งที่ 3 เราร่วงลงไปนอนกองกับพื้นเลยค่ะ เหมือนคนไม่มีแรง
จนกระทั่งเราเข้าไปนอนในเต้นท์เราคิดว่ามันคงจะจบแล้ว ระหว่างนอนจะมีเพื่อนนอนจับมือเราไว้ทั้ง 2 ข้างค่ะ แต่ระหว่างที่เราหลับแต่มันเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น เราเห็นชาย-หญิง 2 คนยืนอยู่ที่ปลายเท้าใส่ชุดเหมือนคนอิสลามผู้หญิงใส่ผ้าถุงและผ้าคลุมหัวผู้ชายใส่ผ้าโสล่งเสื้อกระดุมหน้าและมีหมวกแต่สภาพของชุดนั้นเก่ามากๆผู้หญิงนั้นร้องไห้สะอื้นพูดภาษาที่เราไม่รู้จัก ส่วนตัวคิดว่าเป็นภาษายาวีค่ะ แต่เหมือนเราจะเข้าใจเขาในตอนนั้นเหมือนเขาพูดมาว่ากว่าจะตามหาเจอรอมานานแล้วกลับไปอยู่กับเขาเถิดนะ ในความรู้สีกของเราคิดว่าเขาจะสื่อแบบนี้ ณ.เวลานั้นเพื่อนมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า เรากรีดร้องเสียงหลงร้องไห้โวยวายหลับตาเรียกไม่ตื่นเพื่อนตัวอ้วนมากค่ะตบหน้าเรา ทั้งเรียกไปด้วยและตบไปด้วย ตอนนั้นได้ยินเสียงลางๆค่ะแต่ลืมตาไม่ขึ้น ตบจนบวมกว่าจะตื่น(บวมจริงๆค่ะเช้ามาบวมไปข้างนึงจริงๆ) พอเราตื่นขึ้นมาตอนนั้นกลัวมากค่ะร้องไห้ตลอดเวลา อาจารย์ก็เลยพาเราใส่พระของอาจารย์อีกคนแล้วพาไปนอนในห้องพระของโรงเรียนโดยมีอาจารย์นอนเป็นเพื่อนจนเช้า
เหตุการณ์นี้ดังมากในวันที่ไปเข้าค่ายและได้มีการยกเลิกเข้าเวรยามกลางคืนทั้งหมดทันที เรานอนห้องพระอีกคืนเพราะความกลัว และอาจารย์คนที่เดินมาหาตอนที่เพื่อนยืนกอดเราไว้เพื่อไม่ให้วิ่งหนีคืนนั้นมาเล่าทีหลังว่า วันที่แกเดินมาหาเราแกมองเห็นเราเป็นคนอื่นตาขวางและดุมาก เลยไปตามอาจารย์อีกคนมา วันที่แม่มารับเราจึงเล่าให้แม่ฟัง อาจารย์ที่ปรึกษาและอีกหลายๆคนจึงบอกว่าให้ไปหาพระ วันที่กลับบ้านเรากับแม่จึงไปซื้อชุดแบบของอิสลามไปยังสุเหร่าเพื่อนๆเชื่อมั้ยค่ะว่าเรายังไม่ได้เอ่ยปากบอกอะไรเขาซักคำ โต๊ะอิหม่ามเอ่ยขึ้นมาว่าพาใครมาด้วย ชายหญิงสองคนนั้นชวนเขามาหรอ หนูเลยบอกว่าป่าวค่ะแล้วรีบเล่าให้ฟัง โต๊ะอีหม่ามบอกว่าดวงเราไม่ดีที่เห็นนั้นเป็นพ่อแม่เก่าของเรา เขาจะเอากลับไปอยู่ด้วยเขารอมานาน โต๊ะอีหม่ามหันไปบอกกับแม่ว่าเด็กคนนี้อายุ 15 ปีมันก็ตาย ตอนนั้นแม่เราร้องไห้ออกมาเลยค่ะเราก็กลัวมาก โต๊ะอีหม่ามได้เอาน้ำมนต์ขึ้นมาเขียนๆลงในใบพลูสดให้เราเคี้ยวแล้วกลืน เราก็เคี้ยวค่ะ แต่ปากของเราไหม้หมดเลยทำให้กินข้าวไม่ได้อยู่หลายวัน แต่เรากับแม่ก็ยังไม่หายข้องใจ จึงไปหาพระที่วัดกันอีกหลังจากวันนั้น 3 วัน เหตุการณ์เหมือนเดิมค่ะ ก้าวเข้าไปในศาลาวัดหลวงพ่อท่านก็เอ่ยปากอีกพาใครมาด้วยละโยม เราร้องไห้เลยค่ะด้วยความกลัว พระก็พูดเหมือนโต๊ะอีหม่ามค่ะว่านั่นคือพ่อแม่เขา เราจะมีอายุแค่ 15 ปี ก็เลยทำสังฆทานกับหลวงพ่อ ทำบังสกุลเป็น บังสกุลตาย ที่สุดท้ายที่จะพึ่งคือพระจีนค่ะ (ที่ภูเก็ตจะมีการทรงเจ้าค่ะแบบตอนเทศกาลกินเจ) มีพ่อพี่ที่เคารพเขาลงพระอยู่เราเลยแวะไปหาเขาหลังจากกลับจากที่วัด เราจอดลงก้าวลงจากรถยังไม่ทันก้าวเข้าบ้านค่ะ สาบานเลยจริงๆ พ่อของพี่เขานั่งกินข้าวอยู่ จู่ๆก็ลงพระทันทีพี่ๆในบ้านเขาก็งงว่าทำไมจึงหาชุดของพระท่านมาให้ใส่ แล้วเขาก็ทักมาอีกว่านั่นคือพ่อแม่เขายังไงก็แล้วแต่ เด็กคนนี้ 15 ปีก็จะต้องตาย เรากลัวมากค่ะตอนนั้น เพราะ 3 ครั้งแล้วที่โดนทัก พระท่านบอกว่าให้ทำพิธียกเราให้เป็นลูกของพระจีน แล้วทำพิธีสะเดาะห์เคราะห์แบบจีน และมีการเผาตุ๊กตากระดาษไปให้สองคนนั้นแทน โดยการที่ให้แม่บอกว่านี่คือลูกของเธอ ส่วนนี่ลูกของฉันให้ขาดจากกันนับต่อจากนี้ พระก็ทำพิธีให้ค่ะ ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ายกให้เป็นลูกพระจีนคืออะไร จนกระทั่งเวลาผ่านไป2ปี เราอายุ 14 ค่ะ ช่วงนั้นเราเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากค่ะ ทั้งจมน้ำ และรถชน แต่ละครั้งรอดมาอย่างหวุดหวิดแทบทั้งสิ้น จนกระทั่งช่วงกินเจเราไปนั่งกินข้าวอยู่หน้าศาลเจ้าค่ะ เราได้ยินเสียงกลองโลก้อ (กลองที่ใช้ตีในพิธีกินเจ) ลั่นดังขึ้นตอนนั้นเราเหมือนวูบไปค่ะ รู้สึกตัวอีกทีคือไปตื่นอยู่หน้าโต๊ะพระบนศาลเจ้า เราเพิ่งจะมารู้ ณ ตอนนั้นว่าการที่ยกให้เป็นลูกของพระจีนคือ การที่ต้องมาเป็นม้าทรงรับใช้เจ้า เพื่อแลกกับการต่ออายุขัย (มาถึงจุดนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่างมงาย โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังนะคะ) แต่พอเรายอมรับการเป็นม้าทรงรับใช้ เราก็มีอายุถึงจนทุกวันนี้ค่ะ 29 ปีแล้ว เหตุการณ์วันนั้นทำให้เรากลัวมาก และทำให้ชีวิตเราพลิกผันมาเป็นม้าทรงแบบไม่เต็มใจนักในตอนนั้นเพราะเรากลัวประทัดมาก แต่ปัจจุบันเราศรัทธามากค่ะ เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์มันจะเกี่ยวโยงกันไหมแต่เราสบายใจขึ้นค่ะ เรื่องแบบนี้คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
คนในรูปที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นคือเราเองค่ะ
ตรงนี้จะเป็นบริเวณทางด้านหน้าทะเลนะคะที่เราไปเข้าค่าย เราหาจากในเน็ตได้แค่นี้เพราะตอนนี้เราอาศัยอยู่ที่กทมค่ะ
เพิ่มเติมค่ะเพิ่งหารูปเจอจากในเน็ตหาดนี้เค้าเรียกว่าหาดท่าหลานะคะ
ทางเข้าหาดคะ
หาดท่าหลาตอนกลางวันค่ะ
บรรยากาศยามเย็นตอนตะวันกำลังจะพ้นขอบฟ้าที่หาดท่าหลา