สวัสดีค่ะทุกคน นี่ก็เป็นการรีวิวครั้งแรกของเราเลย จริงๆก็ทั้งการเดินทางการจองที่พักและการพูดคุยตกลงกับทัวร์ ด้วยตัวเองครั้งแรกเช่นกัน เลยอยากบอกว่าถ้าขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ด้วยค่ะ
เข้าเรื่องเลยดีก่าาเนอะ! ว่าด้วยเรื่อง ทริปนี้เป็นทริปชะนี(แท้)ล้วนๆ 5 นาง กับการไปพักบนเกาะช้าง (จังหวัด ตราด) เป็นเวลา 3วัน 2 คืน พวกเราขับรถไปกันเองเพราะจากการลองคำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว ประหยัดกว่าจย้าาา และยังสะดวกต่อการเดินทางบนเกาะอีกด้วย แล้วทำไมถึงเลือกที่นี่หน่ะหรอ!? เพื่อนชะนีสาวของเราเลือกเองนี่แหล่ะค่ะ เพราะ... เพราะนางอยากปีนเขา!!!!! พวกเรา4คนที่เหลือก็เป็นคนง่ายๆ ตกลงปลงใจกันภายในเวลาอันรวดเร็ว แล้วรีบไปสืบข้อมูลว่าจะเที่ยวที่ไหน อะไร ยังไง ตามแบบฉบับสาวสวย โหด โฉด(5555) และรีบโทรจอง โอนเงินทันที
จากชื่อกระทู้ เราและเพื่อนๆก็อยากมาแชร์ความรู้สึกและประสบการณ์ครั้งใหม่กับการไปทะเล แถมไปปีนเขาอีก เขาที่ว่านี่ ชื่อว่า
“เขาแหลม”
พูดแล้วก็ใครจะไปคิดหล่ะว่าอุส่าไปเที่ยวทะเลแล้วยังจะได้ไปปีนเขาอีกต่างหาก (ฮื้อออ) งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยยย
ปล. ค่าใช้จ่ายและรายละเอียดต่างๆขอสรุปไว้ข้างล่างนะจ๊ะ
DAY1 – ออกเดินทางกันเฮ้ (24 มี.ค. 60)
ตารางการเดินทางคร่าวๆของพวกเรา
...สำหรับเรา เราคิดว่า ถ้าเพื่อนๆจะไปเที่ยวที่ไหนหลายๆวัน การวางแพลนคร่าวๆก็เป็นเรื่องสำคัญมากอย่างนึง เพราะจะทำให้ในหนึ่งวันเราได้อะไรไม่มากก็น้อย แถมยังเป็นการสืบประวัติของสถานที่นั้นคร่าวๆไปในตัวด้วยจย้าาาา
วันแรกกับการเดินทางของชะนีสาว5ตน พวกเรานัดเจอกัน 7โมงเช้าของวันศุกร์ที่มีเรียน5555 (โดดสิคะรอไร) พอทุกคนมากันครบ ล้อก็หมุนทันที แต่ด้วยความเป็นชะนีล้วน การดู Map ก็เป็นอะไรที่ชวน งง ไปหมด พวกเราขึ้นทางด่วนผิดสายค่าาา แงแง ก็ไปวน ไปงง กันประมาณ1ชั่วโมง เราจึงอยาก
จะฝากบอกเพื่อนๆที่เดินทางเอง ว่าศึกษาทางกันมาก่อนด้วยเด้อ และถ้าไปกันหลายคน ก็ช่วยกันดูทางด้วยจะยิ่งเร็วยิ่งขึ้นค่ะ ทำให้การเดินทางมาถึงท่าเรือของเราใช้เวลาไปประมาณเกือบ 6ชั่วโมง (5555)คือบับ พีคมากกกก
พวกเราเลือกท่าเรือเฟอร์รี่ “Center point” เพราะจากการสืบจากอากู๋ ท่าเรือนี้เรือออกทุก 1 ชั่วโมงและราคาถูกสุด!!!!(><) แต่ความพีคอีกก็คือ คิวยาวม๊ากกกกก เพราะเราถึงท่าเรือประมาณบ่าย2โมง แต่ได้ขึ้นเรือจริงๆเกือบบ่าย3เลยจ้าาาาา
ในที่สุดดดดก็เป็นวันของเรา พวกเรานั่งเรือข้ามเกาะสิริรวมประมาณ 45 นาที เป็นการนั่งที่ นั่งไป ถ่ายรูปไป แปปๆ ถึงเฉยเลย เมื่อ 5 ชะนีได้สัมผัสกับพื้นเกาะช้าง เราก็มุ่งหน้าไปตามแผนแรกที่วางไว้เลย คืออออ
"ปั่นจักรยาน"แผนนี้มาจากการที่เพื่อนของเราเสิร์จเจอว่ามีการส่งเสริมด้านารท่องเที่ยว จึงมีจักรยานให้ยืม(ฟรี!!!!!) ไม่ได้เลยจริงๆ ของฟรีกับผู้หญิง(55555) เราเปิด Map นำทางไปบ้านคุณป้าที่ติดต่อไว้แล้วก่อนมา พอมาถึงศาลเจ้าพ่อเกาะช้างตามที่นัดหมายไว้ เรากลับไม่เจอใครเบย สรุปแว่
ผิดศาลเจ้าจย้าาาา(ชะนีของแท้ คือไม่รู้อะไรเลออ) เพราะคุณป้ารอพวกเราอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่อยู่อีกฝั่งของเกาะเลย พอไปถึง...
คุณป้าได้เตรียมจักรยานไว้ให้พวกเรา ทั้งหมด5คน แต่เราขอเช่าแค่4คันเพราะต้องมีคนถ่ายรูปถ่ายคลิป แต่พอกำลังจะปั่นออกมา คุณป้าก็เซอร์ไพรท์พวกเราว่า
“ค่าจักรยานคันละ 50 บาทนะลูก” (ตึ่งโป้ะ! กันเลยทีเดียวเชียว) ชะนี5ตนหันหน้าเข้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย และหันกลับไปบอกป้าว่า “ค่ะ” (สายป๊อดก็งี้555) จากนั้นเราก็ถามทางคุณป้าว่า บ้านที่สอนทำผ้าบาร์ติกกับพิพิธภัณฑ์นิตยาสารเก่าไปทางไหนคะ ก็เจอเรื่องเซอร์ไพร์ทอีกนั่นแหละค่ะ คือ ทั้ง2ที่นี้ได้ปิดทำการไปแล้วค่ะ(ฮืออออ ชะนีกรีดร้อง) เลยอยากฝากบอกเพื่อนๆที่เล็งโปรแกรมเดียวกันไว้ ว่า ทั้งสองที่นี้ปิดทำการอย่างถาวรไปแล้วเด้อค่ะ จากการสอบถามข้อมูลมาคร่าวๆ บ้านที่สอนทำผ้าบาร์ติกปิดตัวลงเพราะเจ้าของย้ายที่อยู่อาศัยค่ะ และ พิพิธภัณฑ์นิตยาสารเก่าถูกปิดเพราะคุณลุงเขาเสียชีวิต ดังนั้นเป็นหญิงยุคใหม่ ใจต้องนิ่ง ไม่ว่ายังไงถึงจะบ่ายสามบ่ายสี่แล้วก็ตาม เราก็จะเก็บทุกเม็ด ไปต่ออออค่ะพี่สุชาติ...
โดยพวกเราก็รีบหันซ้ายหันขวาก่อนเลย เพราะตรงข้ามบ้านคุณป้าที่ให้ยืมจักรยาน มีศาลเจ้าเก่าแก่อยู่ “ศาลเจ้าแม่ทับทิม” ลักษณะศาลเจ้าเป็นสีแดง สไตล์คนจีน พวกเราจึงไม่รอช้า เข้าไปกราบไหว้ สำหรับเรา สิ่งที่อยากจะขอก็คือ ขอให้ทริปนี้ผ่านไปอย่างสวัสดิภาพ
จากนั้นพวกเราก็เดินไปบ้านข้างๆกันนั้น เป็นบ้านของคุณป้าแดงที่เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ พวกเราเข้าไปทักทายและพูดคุยกับป้าแดงเล็กน้อย ถึงประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเก่าแก่ และสถานที่ต่างๆละแวกนี้ ป้าแดงเล่าว่า สมัยก่อนที่นี่เป็นท่าเทียบเรือ คนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่คนจีน เพราะมาทำการค้าขายกัน ซึ่งจะนำเรือสำเภามาหลบลมอยู่แถวนี้ สะพานสีแดงๆนี้ก็ถูกทำขึ้นมาใหม่ ทับอันเก่าที่ชื่อว่า ”คึกฤทธิ์” เป็นสะพาน “ก๋ง” รวมถึงศาลเจ้าแม่ทับทิมนี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยชาวบ้านที่เริ่มมีฐานะ แต่ศาลนี้ยังคงใช้ฐานปูนเดิม
จากนั้น เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปต่อกันที่
“น้ำตกคลองนนทรี”ตามแผนที่ที่ได้มาจากคุณป้า ปั่นไปตามทางถนนเส้นหลัก เข้าตรอกซอกซอย จนกระทั่งพบกับเนินลูกใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างพวกเรากับน้ำตกไว้5555แม่เจ้า มันเหนื่อยใจจริงๆค่ะเพื่อนๆ กับการปั่นมานานๆแล้วเจอกับเนินเขาลูกใหญ่ๆ(5555)
แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ เย้ จนมาถึงน้ำตกคลองนนทรีที่ใฝ่ฝัน ทันใดนั้นเอง
ไหนหรือคะน้ำตก? น้ำตกคืออะไร นก ไม่เข้าใจ?5555555 ชะนีสาวพบกะความนกอีกครั้ง กริบเลยค่ะเพื่อนๆ พวกเราคาดว่า น่าจะเป็นเพราะเรามาช่วงน่าร้อน น่าแล้งพอดี ปลอบใจตัวเองให้กับคุณเนินเขาลูกนั้น ที่จะต้องกลับไปเจอเค้าอีกครั้ง...
เพื่อเป็นการปลอบใจกันและกัน พวกเราก็ยังไม่หยุดค่ะ ไปต่อค่ะพี่สุชาติ
พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยังโรงทำน้ำปลาเก่า ที่ได้ปิดตัวไปแล้ว ปั่นไปไม่นาน เราก็มาถึง...
อยากบอกความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจเลยว่า พอเริ่มผ่านเข้าทางเข้าของที่นี่ คล้ายๆอุโมงค์ ความรู้สึกแรกที่ตีเข้ามาเลยคือ ความน่ากลัวเล็กๆ ความขลัง ความเก่าของสถานที่นี้ อาจเป็นเพราะมีไม้เก่าๆ มีกระชังปลาที่เหลือเป็นซากปลักหักพังถูกทิ้งไว้ พวกเราปั่นเข้าไปเลื่อยๆ จนสุดสะพาน ถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศกันสักพัก ก็มีใครไม่รู้ค่ะ เป็นผู้ชายวัยกลางๆขับมอเตอร์ไซค์เข้ามารออยู่ตรงปากทางออก แล้วมองพวกเราเขม็งเลย ซึ่งบอกตรงๆ ตอนนั้นเราแอบกลัวเหมือนกัน คิดไปถึงว่าเค้าจะทำอะไรพวกเรารึเปล่า พวกเราเลยตกลง ว่ากลับกันเถอะ พอปั่นจักรยานเข้าไปใกล้เขาคนนั้นขึ้นเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปเฉยเลย พวกเราเลยคิดว่า ไม่เขามาดูว่าเด็กๆพวกนี้จะทำอะไร ก็เป็นห่วงว่าจะตกน้ำนี่แหล่ะ55555
ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสไปกัน ก็อยากให้ระวังๆกันด้วยเน้อ โดยเฉพาะถ้าเรามีแต่ผู้หญิง ก็ยิ่งควรเพิ่มความระมัดระวังและเช็คสถานที่ต่างๆไว้เลยว่าสมควรแก่การไปหรือไม่ พวกเรามีความผิดพลาดก็ตรงที่ไม่ค่อยมีใครเช็คว่าสถานที่ไหนควรไปไม่ไปนี่แหล่ะค้าบบบบ
รูปแถมหลังปั่นจักรยานเสร็จ ...
เมื่อเสร็จภารกิจจากการปั่นจักรยานของเหล่าชะนี พวกเราก็นำจักรยานทั้ง4คันไปคืนคุณป้าพร้อมชำระเงิน(ยังคงสงสัย555)
จากนั้นชะนีสาว5คนก็มุ่งหน้าไปสู่ที่พักคร้าบบบบบป๋มม เนื่องด้วยตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า แถมฟ้าร้องอีกต่างหาก พอเปิด Map ปุ๊บ ลมแทบจับ ที่พักอยู่ไกลมากกกกกก ระหว่างเดินทางไม่ต้องพูดถึงค่ะ ทางโหดสุดๆ เขาแต่ละลูก ชันมาก โค้งก็หักสุดๆ พวกเราต้องขับจากฝั่งตะวันตกของเกาะไปยังตะวันออก แถมถนนยังมืดสนิทเพราะด้วยเวลาที่ล่วงเข้าไปทุ่ม สองทุ่มแล้ว เพื่อจะไปยังที่พัก
นามว่า
KLKL Hostel เป็นโฮสเทล ชิคๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ราคาก็ ไม่แพง (ฮี่ๆ) พอไปถึงและเช็คอิน เราค่อนข้างประทับใจมาก พวกเราแยกกันนอน 3 กับ 2 คน ห้องที่นี่มีทั้งพัดลมและแอร์ แต่!!!ชะนีอย่างเราก็เลือกพัดลมค่ะ เหตุผลก็อย่างที่รู้กัน เราอยากรับลมธรรมชาติ (หรอวะ!?) โดยที่นี่ยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้แขกได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ, สนามวอลเล่ย์บอล และบาร์นั่งดื่มชิวๆ
แล้ววันแรกของเหล่าชะนีก็ไปจบที่อาหารท้องถิ่น ...
"ชายสี่ หมี่เกี๊ยว" (หรอออ? ท้องถิ่นยังไง5555)พอดีมันกินง่ายและง่วงสุดๆไปเยย
และไม่ลืมของหวาน เพราะ กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่นะคะคูณณณณณณ (เป็นคติประจำใจของกลุ่มหน่ะค่ะอิอิ)
ไปค่ะ ...
"โรตีแบบ Full option"
---- ผ่านไปกับวันแรก เย้!!!! ----
[CR] รีวิว“เกาะช้าง” ดำน้ำไม่พอ ปีน“เขา”ก็ได้
จากชื่อกระทู้ เราและเพื่อนๆก็อยากมาแชร์ความรู้สึกและประสบการณ์ครั้งใหม่กับการไปทะเล แถมไปปีนเขาอีก เขาที่ว่านี่ ชื่อว่า
พูดแล้วก็ใครจะไปคิดหล่ะว่าอุส่าไปเที่ยวทะเลแล้วยังจะได้ไปปีนเขาอีกต่างหาก (ฮื้อออ) งั้นเรามาเข้าเรื่องกันเลยยย
ปล. ค่าใช้จ่ายและรายละเอียดต่างๆขอสรุปไว้ข้างล่างนะจ๊ะ
วันแรกกับการเดินทางของชะนีสาว5ตน พวกเรานัดเจอกัน 7โมงเช้าของวันศุกร์ที่มีเรียน5555 (โดดสิคะรอไร) พอทุกคนมากันครบ ล้อก็หมุนทันที แต่ด้วยความเป็นชะนีล้วน การดู Map ก็เป็นอะไรที่ชวน งง ไปหมด พวกเราขึ้นทางด่วนผิดสายค่าาา แงแง ก็ไปวน ไปงง กันประมาณ1ชั่วโมง เราจึงอยาก
จะฝากบอกเพื่อนๆที่เดินทางเอง ว่าศึกษาทางกันมาก่อนด้วยเด้อ และถ้าไปกันหลายคน ก็ช่วยกันดูทางด้วยจะยิ่งเร็วยิ่งขึ้นค่ะ ทำให้การเดินทางมาถึงท่าเรือของเราใช้เวลาไปประมาณเกือบ 6ชั่วโมง (5555)คือบับ พีคมากกกก
พวกเราเลือกท่าเรือเฟอร์รี่ “Center point” เพราะจากการสืบจากอากู๋ ท่าเรือนี้เรือออกทุก 1 ชั่วโมงและราคาถูกสุด!!!!(><) แต่ความพีคอีกก็คือ คิวยาวม๊ากกกกก เพราะเราถึงท่าเรือประมาณบ่าย2โมง แต่ได้ขึ้นเรือจริงๆเกือบบ่าย3เลยจ้าาาาา
ในที่สุดดดดก็เป็นวันของเรา พวกเรานั่งเรือข้ามเกาะสิริรวมประมาณ 45 นาที เป็นการนั่งที่ นั่งไป ถ่ายรูปไป แปปๆ ถึงเฉยเลย เมื่อ 5 ชะนีได้สัมผัสกับพื้นเกาะช้าง เราก็มุ่งหน้าไปตามแผนแรกที่วางไว้เลย คืออออ "ปั่นจักรยาน"แผนนี้มาจากการที่เพื่อนของเราเสิร์จเจอว่ามีการส่งเสริมด้านารท่องเที่ยว จึงมีจักรยานให้ยืม(ฟรี!!!!!) ไม่ได้เลยจริงๆ ของฟรีกับผู้หญิง(55555) เราเปิด Map นำทางไปบ้านคุณป้าที่ติดต่อไว้แล้วก่อนมา พอมาถึงศาลเจ้าพ่อเกาะช้างตามที่นัดหมายไว้ เรากลับไม่เจอใครเบย สรุปแว่ ผิดศาลเจ้าจย้าาาา(ชะนีของแท้ คือไม่รู้อะไรเลออ) เพราะคุณป้ารอพวกเราอยู่ที่ศาลเจ้าแม่ทับทิมที่อยู่อีกฝั่งของเกาะเลย พอไปถึง...
คุณป้าได้เตรียมจักรยานไว้ให้พวกเรา ทั้งหมด5คน แต่เราขอเช่าแค่4คันเพราะต้องมีคนถ่ายรูปถ่ายคลิป แต่พอกำลังจะปั่นออกมา คุณป้าก็เซอร์ไพรท์พวกเราว่า “ค่าจักรยานคันละ 50 บาทนะลูก” (ตึ่งโป้ะ! กันเลยทีเดียวเชียว) ชะนี5ตนหันหน้าเข้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย และหันกลับไปบอกป้าว่า “ค่ะ” (สายป๊อดก็งี้555) จากนั้นเราก็ถามทางคุณป้าว่า บ้านที่สอนทำผ้าบาร์ติกกับพิพิธภัณฑ์นิตยาสารเก่าไปทางไหนคะ ก็เจอเรื่องเซอร์ไพร์ทอีกนั่นแหละค่ะ คือ ทั้ง2ที่นี้ได้ปิดทำการไปแล้วค่ะ(ฮืออออ ชะนีกรีดร้อง) เลยอยากฝากบอกเพื่อนๆที่เล็งโปรแกรมเดียวกันไว้ ว่า ทั้งสองที่นี้ปิดทำการอย่างถาวรไปแล้วเด้อค่ะ จากการสอบถามข้อมูลมาคร่าวๆ บ้านที่สอนทำผ้าบาร์ติกปิดตัวลงเพราะเจ้าของย้ายที่อยู่อาศัยค่ะ และ พิพิธภัณฑ์นิตยาสารเก่าถูกปิดเพราะคุณลุงเขาเสียชีวิต ดังนั้นเป็นหญิงยุคใหม่ ใจต้องนิ่ง ไม่ว่ายังไงถึงจะบ่ายสามบ่ายสี่แล้วก็ตาม เราก็จะเก็บทุกเม็ด ไปต่ออออค่ะพี่สุชาติ...
โดยพวกเราก็รีบหันซ้ายหันขวาก่อนเลย เพราะตรงข้ามบ้านคุณป้าที่ให้ยืมจักรยาน มีศาลเจ้าเก่าแก่อยู่ “ศาลเจ้าแม่ทับทิม” ลักษณะศาลเจ้าเป็นสีแดง สไตล์คนจีน พวกเราจึงไม่รอช้า เข้าไปกราบไหว้ สำหรับเรา สิ่งที่อยากจะขอก็คือ ขอให้ทริปนี้ผ่านไปอย่างสวัสดิภาพ
จากนั้นพวกเราก็เดินไปบ้านข้างๆกันนั้น เป็นบ้านของคุณป้าแดงที่เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ พวกเราเข้าไปทักทายและพูดคุยกับป้าแดงเล็กน้อย ถึงประวัติความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเก่าแก่ และสถานที่ต่างๆละแวกนี้ ป้าแดงเล่าว่า สมัยก่อนที่นี่เป็นท่าเทียบเรือ คนส่วนใหญ่ล้วนมีแต่คนจีน เพราะมาทำการค้าขายกัน ซึ่งจะนำเรือสำเภามาหลบลมอยู่แถวนี้ สะพานสีแดงๆนี้ก็ถูกทำขึ้นมาใหม่ ทับอันเก่าที่ชื่อว่า ”คึกฤทธิ์” เป็นสะพาน “ก๋ง” รวมถึงศาลเจ้าแม่ทับทิมนี้ ก็ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยชาวบ้านที่เริ่มมีฐานะ แต่ศาลนี้ยังคงใช้ฐานปูนเดิม
จากนั้น เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราไปต่อกันที่
“น้ำตกคลองนนทรี”ตามแผนที่ที่ได้มาจากคุณป้า ปั่นไปตามทางถนนเส้นหลัก เข้าตรอกซอกซอย จนกระทั่งพบกับเนินลูกใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างพวกเรากับน้ำตกไว้5555แม่เจ้า มันเหนื่อยใจจริงๆค่ะเพื่อนๆ กับการปั่นมานานๆแล้วเจอกับเนินเขาลูกใหญ่ๆ(5555)
แต่พวกเราก็ผ่านมันมาได้ เย้ จนมาถึงน้ำตกคลองนนทรีที่ใฝ่ฝัน ทันใดนั้นเอง
ไหนหรือคะน้ำตก? น้ำตกคืออะไร นก ไม่เข้าใจ?5555555 ชะนีสาวพบกะความนกอีกครั้ง กริบเลยค่ะเพื่อนๆ พวกเราคาดว่า น่าจะเป็นเพราะเรามาช่วงน่าร้อน น่าแล้งพอดี ปลอบใจตัวเองให้กับคุณเนินเขาลูกนั้น ที่จะต้องกลับไปเจอเค้าอีกครั้ง...
เพื่อเป็นการปลอบใจกันและกัน พวกเราก็ยังไม่หยุดค่ะ ไปต่อค่ะพี่สุชาติ
พวกเรามุ่งหน้าต่อไปยังโรงทำน้ำปลาเก่า ที่ได้ปิดตัวไปแล้ว ปั่นไปไม่นาน เราก็มาถึง...
อยากบอกความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจเลยว่า พอเริ่มผ่านเข้าทางเข้าของที่นี่ คล้ายๆอุโมงค์ ความรู้สึกแรกที่ตีเข้ามาเลยคือ ความน่ากลัวเล็กๆ ความขลัง ความเก่าของสถานที่นี้ อาจเป็นเพราะมีไม้เก่าๆ มีกระชังปลาที่เหลือเป็นซากปลักหักพังถูกทิ้งไว้ พวกเราปั่นเข้าไปเลื่อยๆ จนสุดสะพาน ถ่ายรูปและซึมซับบรรยากาศกันสักพัก ก็มีใครไม่รู้ค่ะ เป็นผู้ชายวัยกลางๆขับมอเตอร์ไซค์เข้ามารออยู่ตรงปากทางออก แล้วมองพวกเราเขม็งเลย ซึ่งบอกตรงๆ ตอนนั้นเราแอบกลัวเหมือนกัน คิดไปถึงว่าเค้าจะทำอะไรพวกเรารึเปล่า พวกเราเลยตกลง ว่ากลับกันเถอะ พอปั่นจักรยานเข้าไปใกล้เขาคนนั้นขึ้นเรื่อยๆ ชายคนนั้นก็สตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปเฉยเลย พวกเราเลยคิดว่า ไม่เขามาดูว่าเด็กๆพวกนี้จะทำอะไร ก็เป็นห่วงว่าจะตกน้ำนี่แหล่ะ55555
ถ้าเพื่อนๆมีโอกาสไปกัน ก็อยากให้ระวังๆกันด้วยเน้อ โดยเฉพาะถ้าเรามีแต่ผู้หญิง ก็ยิ่งควรเพิ่มความระมัดระวังและเช็คสถานที่ต่างๆไว้เลยว่าสมควรแก่การไปหรือไม่ พวกเรามีความผิดพลาดก็ตรงที่ไม่ค่อยมีใครเช็คว่าสถานที่ไหนควรไปไม่ไปนี่แหล่ะค้าบบบบ
รูปแถมหลังปั่นจักรยานเสร็จ ...
เมื่อเสร็จภารกิจจากการปั่นจักรยานของเหล่าชะนี พวกเราก็นำจักรยานทั้ง4คันไปคืนคุณป้าพร้อมชำระเงิน(ยังคงสงสัย555)
จากนั้นชะนีสาว5คนก็มุ่งหน้าไปสู่ที่พักคร้าบบบบบป๋มม เนื่องด้วยตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า แถมฟ้าร้องอีกต่างหาก พอเปิด Map ปุ๊บ ลมแทบจับ ที่พักอยู่ไกลมากกกกกก ระหว่างเดินทางไม่ต้องพูดถึงค่ะ ทางโหดสุดๆ เขาแต่ละลูก ชันมาก โค้งก็หักสุดๆ พวกเราต้องขับจากฝั่งตะวันตกของเกาะไปยังตะวันออก แถมถนนยังมืดสนิทเพราะด้วยเวลาที่ล่วงเข้าไปทุ่ม สองทุ่มแล้ว เพื่อจะไปยังที่พัก
นามว่า KLKL Hostel เป็นโฮสเทล ชิคๆ ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ราคาก็ ไม่แพง (ฮี่ๆ) พอไปถึงและเช็คอิน เราค่อนข้างประทับใจมาก พวกเราแยกกันนอน 3 กับ 2 คน ห้องที่นี่มีทั้งพัดลมและแอร์ แต่!!!ชะนีอย่างเราก็เลือกพัดลมค่ะ เหตุผลก็อย่างที่รู้กัน เราอยากรับลมธรรมชาติ (หรอวะ!?) โดยที่นี่ยังมีพื้นที่ส่วนกลางให้แขกได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ, สนามวอลเล่ย์บอล และบาร์นั่งดื่มชิวๆ
แล้ววันแรกของเหล่าชะนีก็ไปจบที่อาหารท้องถิ่น ... "ชายสี่ หมี่เกี๊ยว" (หรอออ? ท้องถิ่นยังไง5555)พอดีมันกินง่ายและง่วงสุดๆไปเยย
และไม่ลืมของหวาน เพราะ กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่นะคะคูณณณณณณ (เป็นคติประจำใจของกลุ่มหน่ะค่ะอิอิ)
ไปค่ะ ... "โรตีแบบ Full option"
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น