ต้อนรับการมาเยือนไทย ประวัติวง I See Stars และเรื่องราวต่างๆของพวกเขาครับ

I See Stars นับได้ว่าเป็นวงที่อายุน้อยที่สุดในค่าย Sumerian Records ที่นับได้ว่าเป็นสายหล่อเพียงไม่กี่วงที่อยู่ในบ้านที่ว่านั้น
ด้วยแนวเพลงPost-hardcore ฟังง่ายๆที่มีเสียงคลีนโดดเด่น ผสานกับเสียงสครีมที่ออกลูกบ้าทั้งในเพลงและการแสดงสดผ่านนักร้องทั้งสองคน
ผสานกับเสียง Electronic ที่เข้ามาเพิ่มสีสันให้เพลงดูแตกต่าง ณ ยุคบุกเบิกแนวทาง Electronicoreนี้

ด้วยผลงานทั้งStudioอัลบัม 5ชุด 2 EP และ 3 Remixอัลบัม และการเดินทางกว่า 11ปี ช่วยยืนยันให้พวกเขา
เป็นเบอร์ต้นๆของค่าย Sumerian Records และหัวหอกของวงการดนตรีRock นอกกระแสได้อย่างแน่ชัด

ถ้าหากจะนับ วงที่เติบโตด้วยกันมาด้วยเวลากว่า20ปี จนเป็นดั่งครอบครัวและสายเลือด คงจะมีไม่กี่วงจริงๆ
ขอย้อนเรื่องราวไปยังปี2006
พวกเขาทั้ง 4 คือเด็กกลุ่มๆหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนประถม โดยสมาชิกในตอนแรกได้แก่
Andrew Oliver นักร้องนำ
Devin Oliver มือกลอง
Brent Allen กีตาร์
Jeff Valentine เบส
โดยแรกเริ่มเดิมที พวกเขาได้ใช้ชื่อว่า Someone brought it to the table ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น I See Starsในเวลาต่อมา
ก่อนจะหาสมาชิกอีกสองคนมาเสริมทัพ
Zach Johnson นักร้องนำ ,คีย์บอร์ด,ซินธิไซเซอร์ และ Jimmy Gregerson มือกีตาร์ มาช่วยอีก2คน
และหลังจากที่เสริมทักจนแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่รอช้าที่จะออก EP Green Light Go! และ EP I See Stars ที่พวกเขา แต่งเพลง ผลิตและจำหน่ายกันด้วยตัวเองทุกขั้นตอน
ก่อนที่EP สองชิ้นที่ว่านี่จะไปเข้าตา Sumerian Records

3-D คือStudio Album ที่เปิดตัวกับ Sumerian Records โดยอัลบัมที่ว่านี้ ได้บันทึกเสียงที่ Chango Gridlock Studios
ผ่านCameron Mizell Producer ที่ฮอทที่สุดคนหนึ่งในวงการ
และอัลบัมแรกของพวกเขานั้น่งขึ้นสู่อันดับที่176 ใน Billboard 200. และอันดับที่ 5ใน US Heat

โดยหลังจากที่ อัลบัมแรกเสร็จสิ้น Zachก็ได้ขอพักบทบาทสมาชิกเพื่อกลับไปเรียนต่อ High Schoolให้จบก่อน โดยช่วงนั้นทางวงได้ดึงเอา
Chris Moore สมาชิกผิวสีที่พึ่งออกจาก We Came as Romansมาแทนชั่วคราวก่อน

โดยอัลบัมนี้ได้ปล่อย Singleออกมาถึง 3 Single ได้แก่ What This Means to Me,3-D และThe Common Hours

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ 3-D (ฟังSteam Album จากSumerian Records Youtube Channel ได้ที่นี่ https://goo.gl/xJzxFY)
•Andrew Oliver มือกลองได้ฝากเสียงร้องไว้ในเพลง The Common Hours
เพลง Sing This ได้ Bizzy Bone แห่งคณะ Hip Hop Bone Thugs-n-Harmony มาFeaturing
•ช่วงที่ทำอัลบัมนี้ สมาชิกของวงยังไม่มีใครบรรลุนิติภาวะกันสักกคน โดยJimmy Gregersonมือกีตาร์คือสมาชิกที่อายุเยอะที่สุดในวงที่มีอายุเพียง 19ปี!
• I Am Jack's Smirking Revenge มาจากชื่อสมมุติ ผู้บอกเล่าเรื่องราว หรือตัวละครนำในเรื่อง Fight Club.
•The Big Bad Wolf บอกถึงเรื่องราวของนิทาน หนูน้อยหมวกแดง
•Save the Cheerleader, Save the World ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Series Heros Season แรก
•Where the Sidewalk Ends มีชื่อมาจากหนังสือโคลงกลอน ส่งเสริมจินตนาการ ของ Shel Silverstein
•Comfortably Confused ได้ถูกนำไปใช้ในเกมส์ Power Gig: Rise of the SixString
•What This Means to Me กำกับโดย Robby Starbuck 1ในผู้กำกับMV ขั้นเทพอีกคนของวงการซึ่งในขณะที่กำลังเขียนเรื่องราวของพวกเขา ยอดวิวตอนนี้สูงถึง5ล้านวิว
และเพลงนี้อยู่ในอัลบัม Atticus: IV Compilation

แน่นอนว่าหลังจากออกอัลบัมชุดที่1 และเป็นวงที่แตกต่างที่สุดในค่าย Sumerian Records ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อต่างๆ
จนกระทั่งผลงานไปเข้าหู ค่าย Fearless Recordsที่จะหาวงหน้าใหม่มาCover ใน Project Punk Goes Classic Rock
โดย I See Starsได้นำเพลง Your Love ของ The Outfield ที่รุ่งเรืองที่สุดในยุค 80's-90's มาทำใหม่ในแบบของพวกเขา
รับฟังได้ ณที่นี่ โดย Your Love เป็นเพลงเดียวที่ร่วมทำกับ Chris Moore (ฟัง Yourlove ได้ที่นี่ https://goo.gl/J880j2)

และในเวลาไม่นาน Zach Johnson ก็ได้สะสางเรื่องเรียนจนได้กลับเข้ามาในวงอีกรอบ โดยช่วงที่Zachกลับมาอยู่ในช่วงเทศกาล Vans Warped Tour 2010พอดี
และด้วยลีลา และลูกบ้าของZachทำให้หลายคนติดใจการแสดงและฝีมือของพวกเขา

The End of the World Party คืออัลบัมเต็มชุดที่2หลังจากZachได้กลับมาร่วมวงอีกครั้ง
โดยพวกเขายังคงเชื่อมือCameron Mizell และได้บันทึกเสียงกันที่Chango Gridlock Studios
เช่นเดิม

ด้วยแนวเพลงที่ปรุงแต่งมาให้ฟังง่ายและ ติดหูมากกว่าชุด 3-D รวมไปถึงไส่ความโจ๊ะ ลื่นหูในแบบ Pop punkเข้าไป โดยเฉพาะไลน์กลองของ
Andrew Oliver ที่พัมนาขึ้นแบบก้าวกระโดดกว่าชุดแรกอย่างมากทำให้อัลบัมนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 144 ในBillboard 200 และขึ้นไปอยู่อันดับที่1 ของTop Heatseekers[

โดยอัลบัมนี้ได้ปล่อย Singleออกมาถึง 3 Single ได้แก่ The End of the World Party,Wonderland และGlow

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ The End of the World Party (ฟังSteam Album จากSumerian Records Youtube Channel ได้ที่นี่ https://goo.gl/ON9coL)
•ชุดนี้เป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของ2 Producerขั้นเทพ Cameron MizellและJoey Sturgis โดย Joeyได้เข้ามา Masteringทำให้Soundในอัลบัมคมชัดมากยิ่งขึ้น
•The Common Hours II คือการนำเพลง Not Today Bish ในEP Green Light Go มาทำใหม่อีกรอบ
•ความเห็นส่วนตัวคิดว่าชุดคือ Masterpiece ของ I See Stars !

ในเวลาปีเดียวกันกับที่ออกอัลบัม The End of the World Party ทางวงก็ได้ออกเล่นคอนเสิร์ตนอก อเมริกาครั้งแรก
โดยพวกเขาได้เล่นในเทศกาล Soundwave 2011 tour ณ Australia

และในเวลาไม่ถึงปีหลังจากที่ออกอัลบัม The End of the World Partyทางวงก็ได้ประกาศจะเข้า Studioเพื่อผลิตอัลบัมชุดที่3 ที่มีชื่อว่า Digital Renegade

Digital Renegade คืออัลบัมเต็มชุดที่3 ที่ออกหลังจากชุดที่2เพียงเวลา1ปี1เดือน
โดยอัลบัมชุดนี้มีความดิบและดาร์คที่สุด พวกเขาไส่ความเป็น Metalcoreเข้าไป ผสมกับเสียง คีย์บอร์ด,ซินธิไซเซอร หม่นๆหลอนๆ
และได้เปลี่ยนมือจาก Cameron Mizellเป็นJoey Sturgis มาเป็น Producer
อัลบัมนี้พุ่งขึ้นถึง อันดับ 45 ใน the Billboard 200 และอันดับที่10Billboard Alternative Albums

โดยอัลบัมนี้ได้ปล่อย Singleออกแค่ 2 Single ได้แก่ Filth Friends Unite และNZT48
เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับ Digital Renegade (ฟังSteam Album จากSumerian Records Youtube Channel ได้ที่นี่ https://goo.gl/Ab0ITt)
•Joey Sturgis คือผู้ที่Producedอัลบัมนี้และยัง Mix และ Masteringทุกเพลงในอัลบัมอีกด้วย
ทางวงได้ปล่อย Single พิเศษ This Isn't a Game Boy ที่เป็น B-Sideของอัลบัม Digital Renegade ก่อนที่จะนำไปบรรจุในอัลบัม Remix Renegades Forever
•แขกรับเชิญในอัลบัมนี้ได้แก่ Danny Worsnop จาก Asking Alexandriaที่มาช่วยคำรามในเพลง Endless Sky
•นอกจาก Danny Worsnopยังได้ Cassadee Pope อดีตนักร้องนำHey Monday ที่นอกจากเธอจะได้ร่วมงานกับ I See Starsแล้วในปลายปีเดียวกันนั้น ยังชนะ
The Voice ในSeasonที่3 นับว่าเป็นปีทองของเธอเลยจริงๆ
•Andrew Oliverได้ฝากเสียงร้องนำครั้งแรกในเพลง iBelieve และเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆอีกด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่