ขอเกริ่นก่อนว่าทริปนี้เป็นครั้งแรกเลยครับที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกคนเดียว เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่เป็นมือใหม่อยากจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง จะไปเป็นคู่ ไปเป็นกลุ่ม หรือไปเดี่ยวแบบผมก็ได้ หรือคนที่มีแผนที่อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบง่ายๆพวกที่เป็นสถานที่แลนด์มาร์คในกรุงโตเกียว และเพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับคนที่คิดจะไปลองไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ ให้กล้าที่จะแบกเป้ออกไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดน
ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปบาหลีกับเกาหลีมาแล้วแต่เป็นการไปกลับครอบครัวและไปกับทัวด้วย แต่ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะความบ้า อยากผจญภัย อยากพาตัวเองไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆที่น้อยคนนักจะกล้าทำ บวกกับผมอยากจะไปดูบอลคู่ทีมชาติญี่ปุ่น VS ทีมชาติไทย ในรายการฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอชีย และมันก็เป็นความไฝ่ฝันของตัวผมเองมานานมากแล้วที่อยากจะไปเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิต ทริปนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามฝันสักที
ถ้าถามว่าทำไมไม่ชวนเพื่อนไปล่ะ ชวนแล้วครับแต่โดนเพื่อนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า
"ดูบอลอยู่บ้านดีกว่าไหมดูฟรีด้วยไปดูโน้นเสียตั้งหลายหมื่น" นั้นนนน!! ตอบแบบไม่ให้ความหวังกันเลย ไร้เหยื่อใยสุดๆ (วันที่ผมไปก็ถ่ายรูปโพสลง Social ไอ้เพื่อนคนที่ผมชวน พอมันเห็นรูปที่ผมโพสเช็คอินลง Social เท่านั้นแหละ มันรีบไลน์มาถามข้อมูล ค่าใช้จ่ายนู้นนี้นั้นประมาณว่าสนใจอยากจะมาเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนกันคนแรก!! ฮ่าๆๆๆ ได้แต่คิดในใจ
"ตอนตูชวนทำไมไม่อยากจะมาฟร่ะ!!" ) ในเมื่อเพื่อนไม่ยอมมาด้วย แต่ผมฝันอยากจะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมานานล่ะ ถ้ามัวแต่รอคนอื่น ความฝันของตัวเองก็ไม่ได้ทำสักที เลยตัดสินใจไปคนเดียวมันซะเลย เพราะชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน (เพลงพี่ตูนมา) ฮ่าาาๆๆ
ผมเริ่มวางแผนเก็บเงินข้ามปีเลยครับตั้งแต่ทีมชาติไทยจับฉลากฟตุบอลโลกรอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้ายอยู่กลุ่มเดียวกับทีมชาติญี่ปุ่น ศึกษาไปนิดๆหน่อยๆ จนถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จัดการจองตั๋วเครื่องบินกับที่พัก ถึงได้เริ่มศึกษาอย่างจริงๆจัง ทั้งหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว วิธีเดินทาง ตั๋วรถไฟแบบเหมา ของถูกในโตเกียว หรือของฝาก เป็นต้น
ทริปนี้ผมเลือกบินกับการบินไทยครับ จองทางเว็บไซด์ Expedia.com พร้อมที่พักเลยครับ ได้ตั๋วไป-กลับมาในราคา 19,XXX บาท รวมภาษีสนามบิน ยอมรับว่าค่าตั๋วค่อนข้างแพงครับ ถามว่าทำไมยอมจ่ายแพง จริงๆแล้วผมพยายามหาตั๋วโปรของหลายๆสายการบินแล้วครับ แต่หาไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ตั๋วโปรจะมีข้อแม้ว่าต้องบินอย่างน้อย 2 คนบ้าง 4 คนบ้าง มีคำถามอีก ทำไมไม่ซื้อตั๋วสายการบิน Low cost ล่ะ ผมก็ลองดูแล้วราคาแล้วมันห่างกันไม่เยอะเท่าไหร่ ไป-กลับประมาณ 15,XXX บาท ไหนจะบวกค่าโหลดกระเป๋าอีกก็เกือบเท่ากันแล้ว ไหนจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง แต่บ้านผมอยู่ใกล้สุวรรณภูมิมาก ไม่ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องไกล ก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วของการบินไทยไป อีกอย่างช่วงที่ผมไปมันเป็นช่วงซากุระบานด้วยแหละครับ ตั๋วเลยค่อนข้างแพงทุกสายการบิน ส่วนที่พักผมเลือกนอนเป็นแบบเรียวกังครับ คืนล่ะประมาณ 2,000 บาท ตอนแรกก็คิดว่าจะนอนโรงแรมแคปซูลดีไหม เพราะราคาถูกมาก แค่ราคาคืนล่ะหลักร้อยเอง แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัย เราไปตัวคนเดียวด้วย ไปนอนกับคนอื่นเยอะๆ กลัวของเราจะหาย เลยเลือกที่พักแบบห้องส่วนตัวดีกว่า สรุปค่าตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักราคารวมอยู่ที่ 29,XXX บาท ถ้าใครเคยเจอตั๋วโปรเครื่องบินแบบเดินทางคนเดียวหรือมีข้อมูลโรงแรมแคปซูลที่ดีๆก็แนะนำผมหรือเพื่อนๆในพันทิปได้นะครับ จะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่วางแผนจะไปญี่ปุ่นและผมที่เกิดบ้าอยากไปคนเดียวอีก
ส่วนเรื่องการเดินทางในโตเกียวผมเลือกซื้อตั๋วรถไฟผมซื้อแบบแพ็คเกจครับ เป็นแพ็คเกจ Skylinerไป-กลับ+Subway 72ชม. ซื้อได้จาก H.I.S ครับ ซื้อได้ที่ไทยก่อนวันเดินทางได้เลยครับ เราจะได้ตั๋วรถไฟ2แบบ
1.Skyliner ซึ่งเป็นรถไฟด่วนวิ่งจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียวครับ
2.Subway ที่ใช้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆในเมืองโตเกียว สามารถใช้ได้ 72ชม. นับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้
*ปล. ตั๋วที่ได้จาก H.I.S จะเป็นคูปองใช้ขึ้นรถไฟไม่ได้ ต้องเอาไปแลกที่เคาท์เตอร์ SKyliner ที่สนามบินนาริตะก่อนครับถึงจะได้ตั๋วของจริงมา
ข้อมูลตั๋วรถไฟ
เอาล่ะตั๋วเครื่องบินพร้อม ตั๋วรถไฟพร้อม ที่พักพร้อม ใจพร้อม ข้อมูลแน่นปึก สะพายเป้ แบกล้องออกเดินทางได้
26/3/17
วันออกเดินทางผมไปถึงสนามบินตอนตี 5 ครึ่ง เพื่อขึ้นเครื่องไฟลท์ 7.35น. ผมเผื่อเวลาค่อนข้างเยอะครับ เพราะขึ้นเครื่องไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกกลัวมีไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทัน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ผ่านฉลุยไปนั่งรอที่ Gate ชิวๆเป็นชม.ครับกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง
มีเรื่องเกือบซวยตั้งแต่ยังไม่ทันได้เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น!! ผมนั่งเครื่องจากสุวรรณภูมิมาใกล้ถึงสนามบินนาริตะได้ประมาณ 5 ชม. ผมก็เลยเตรียมตัวเปลี่ยนซิมเน็ตที่ไว้สำหรับใช้ในประเทศญี่ปุ่นใส่ในโทรศัพท์ ผมก็หยิบเข็มเย็บผ้าที่เตรียมมากดลงไปในรูข้างๆเครื่องไอโฟนเพื่อดันเอารางใส่ซิมออกมา พอรางใส่ซิมถูดดันออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย ผมก็ใช้นิ้วดึงออกมา แต่รางใส่ซิมมันดิ้นได้ราวกับมีชีวิต!! กระเด็นหลุดมือผมไปทั้งซิมทั้งราง ซวยแล้วๆๆๆ รีบก้มหาด่วน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตายแน่ๆๆๆ ยังไม่ทันลงไปสูดอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีเรื่องให้เครียดซะแล้ว เครื่องบินก็ลดระดับความสูงลงทำให้มีแรงกดอากาศมาก ทำให้หูอื้อไปอีก ปวดหูแทบแตก โอ๊ยแย่แน่ๆ หาซิมไม่เจอไม่เป็นไร กลับไทยไปยังไปขอซิมใหม่ได้ แต่ถ้าหารางใส่ซิมไม่เจอเราจะเอาซิมเน็ตใส่โทรศัพท์ยังไง ไม่มีเน็ตใช้ดูแผนที่หลงอยู่ในญีุ่่ปุ่นแน่นอน
พอเครื่อง Landing ลงจอดเรียบร้อย ผมก็จัดาการปูพรมหาใต้เบาะผมทันที ก้มๆเงยๆก็สังเกตุเห็นพวกผู้โดยสารที่กำลังทยอยเดินออกจากเครื่องเดินผ่านที่นั่งผมแล้วมองประมาณว่า
"ไอ้นี่มันหาไรวะ" หรือบางทีอาจะมีคนคิดในใจ
"ขอให้พาสปอร์ตมันหาย"(ก็มองโลกในแง่ร้ายเกิน) ฮ่าาาา หาอยู่ไม่นานก็เจอซิมโทรศัพท์ก่อน มันหล่นอยู่ใต้เบาะที่ผมนั่งนั้นแหละ แต่มันไปหล่นอยู่ในซอกตรงผนังห้องโดยสารเครื่องบิน แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรอดตาย จากนั้นผมเริ่มหาในกระเป๋าเป้ เพราะจังหวะที่มันกระเด็นหล่นผมเห็นแว่บๆว่ามีชิ้นหนึ่งตกลงไปในกระเป๋าเป้ ผมก็รื้อเอาทุกอย่างในเป้ออกมาให้เหลือเป้เปล่าๆ ควานหา 3-4 รอบ สุดท้ายเจอ!! เห้ออออ โล่งงงงงงง
จากนั้นผมก็เดินออกมาจากเครื่อง มานั่งใส่ซิมเน็ตเข้าไปในโทรศัพท์ แล้วเขียนใบตม.กับใบศุลกากรเพื่อใช้เข้าปรเทศญี่ปุ่น(ตอนอยู่บนเครื่องไม่ยอมเขียน) แล้วก็รีบเดินไปเข้าตม. แต่แถวยาวมาก หน้าจะมีไฟลท์ลงเยอะตอนนั้น ผมยืนรอต่อแถวนานมากตั้งแต่ด่านตรวจโรค เจ้าหน้าที่เค้าก็ค่อยๆทยอยปล่อยผู้โดยสารให้ค่อยๆผ่านด่านตรวจโรคไปด่านตม.ต่อเรื่อยๆ
ผ่านด่านตรวจโรคมาได้ก็ไปเจอด่านตม. แถวยาวกว่าด่านตรวจโรคอีก ขอบอกก่อนนะครับว่าผมมีความรู้ภาษาอังกฤษปานกลาง(ค่อนไปทางน้อย) ฮ่าาาๆ แต่ก็เตรียมคำตอบมา แล้วก็เอกสารต่างๆมาพร้อม พอถึงคิวก็เดินเข้าไปแบบมั่นๆ ยืนพาสปอร์ตให้ แล้วเจ้าหน้าที่เค้าก็ให้ผมถ่ายรูป สแกนนิ้ว แล้วก็ปั้มพาสปอร์ตแล้วก็ให้ผ่านไปเลยสบายๆ ไม่ถามไรเลยครับ หลังจากนั้นผมก็เดินไปเอากระเป๋าเดินทางที่สายพาน ภาพที่ผมเห็นตั้งแต่เดินมาไกลๆคือสายพานกระเป๋าหยุดวิ่งไปแล้วครับ แต่ใกล้ๆสายพานผมเห็นกระเป๋าเดินทางผมวางอยู่ใบเดียว ผมคงเป็นคนสุดท้ายของเที่ยวบินที่มารับกระเป๋าแน่ๆ และข้างๆกระเป๋ามีแอร์ฯสาวชาวญี่ปุ่นยืนเฝ้ากระเป๋าเดินทางผมอยู่ ผมก็เดินเข้าไปแอร์ฯสาวชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็ถาม
"ผมว่ากระเป๋าผมใช่มั๊ย" ผมก็ตอบว่า
"ใช่" แล้วก็ขอบคุณแอร์ฯสาวคนนั้นไป ที่อุตส่าห์ยืนเฝ้ากระเป๋าให้จนผมมา กลายเป็นความประทับใจแรกในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ในสนามบินเลย
ได้กระเป๋าแล้วก็ลากกระเป๋าไปเข้าด่านศุลกากรต่อ ซึ่งผมก็ศึกษาข้อมูลมาจากในพันทิปมาก่อนว่าด่านตม.ที่ญี่ปุ่นไม่โหดเท่าด่านศุลกากร ส่วนใหญ่จะโดนเข้าห้องเย็นก็ด่านนี้แหละ พอเดินเข้าไปผมก็ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ ก็เปิดดูจังหวะนี้ผมตั้งท่ารอตอบคำถามแล้วครับ ฮ่าาๆๆ เปิดดูผ่านๆไม่นานก็ส่งคืนผมแล้วก็ทำมือประมาณว่าไปๆได้และไป ผมนี้อึ้งแ*ด เลยครับ ยืนนิ่งอยู่ 2 วิ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถามหน่อยหรอ ก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วรีบลากกระเป๋าเดินทางหนีออกมาเลย พร้อมพูดในใจกับตัวเอง
"จะไปยืนรอให้เค้าถามหรือไง" สรุปผมสามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นมาได้โดยไม่มีใครถงใครถามผมเลยสักคำ ทั้งๆที่มาครั้งแรก มาคนเดียว แล้วพาสปอร์ตก็ขาวเพราะพึ่งไปทำเล่มใหม่มา
เดี๋ยวมาต่อครับ
บินเดี่ยว! เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก กิน ช็อป ดูบอล ชมฟูจิซัง
ขอเกริ่นก่อนว่าทริปนี้เป็นครั้งแรกเลยครับที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกคนเดียว เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่เป็นมือใหม่อยากจะไปเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเอง จะไปเป็นคู่ ไปเป็นกลุ่ม หรือไปเดี่ยวแบบผมก็ได้ หรือคนที่มีแผนที่อยากจะไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบง่ายๆพวกที่เป็นสถานที่แลนด์มาร์คในกรุงโตเกียว และเพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับคนที่คิดจะไปลองไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียว แต่ยังกล้าๆกลัวๆอยู่ ให้กล้าที่จะแบกเป้ออกไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆในต่างแดน
ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ผมก็เคยไปบาหลีกับเกาหลีมาแล้วแต่เป็นการไปกลับครอบครัวและไปกับทัวด้วย แต่ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะความบ้า อยากผจญภัย อยากพาตัวเองไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆที่น้อยคนนักจะกล้าทำ บวกกับผมอยากจะไปดูบอลคู่ทีมชาติญี่ปุ่น VS ทีมชาติไทย ในรายการฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอชีย และมันก็เป็นความไฝ่ฝันของตัวผมเองมานานมากแล้วที่อยากจะไปเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่นสักครั้งในชีวิต ทริปนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามฝันสักที
ถ้าถามว่าทำไมไม่ชวนเพื่อนไปล่ะ ชวนแล้วครับแต่โดนเพื่อนปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า "ดูบอลอยู่บ้านดีกว่าไหมดูฟรีด้วยไปดูโน้นเสียตั้งหลายหมื่น" นั้นนนน!! ตอบแบบไม่ให้ความหวังกันเลย ไร้เหยื่อใยสุดๆ (วันที่ผมไปก็ถ่ายรูปโพสลง Social ไอ้เพื่อนคนที่ผมชวน พอมันเห็นรูปที่ผมโพสเช็คอินลง Social เท่านั้นแหละ มันรีบไลน์มาถามข้อมูล ค่าใช้จ่ายนู้นนี้นั้นประมาณว่าสนใจอยากจะมาเที่ยวญี่ปุ่นเหมือนกันคนแรก!! ฮ่าๆๆๆ ได้แต่คิดในใจ "ตอนตูชวนทำไมไม่อยากจะมาฟร่ะ!!" ) ในเมื่อเพื่อนไม่ยอมมาด้วย แต่ผมฝันอยากจะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมานานล่ะ ถ้ามัวแต่รอคนอื่น ความฝันของตัวเองก็ไม่ได้ทำสักที เลยตัดสินใจไปคนเดียวมันซะเลย เพราะชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน (เพลงพี่ตูนมา) ฮ่าาาๆๆ
ผมเริ่มวางแผนเก็บเงินข้ามปีเลยครับตั้งแต่ทีมชาติไทยจับฉลากฟตุบอลโลกรอบคัดเลือกรอบ 12 ทีมสุดท้ายอยู่กลุ่มเดียวกับทีมชาติญี่ปุ่น ศึกษาไปนิดๆหน่อยๆ จนถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จัดการจองตั๋วเครื่องบินกับที่พัก ถึงได้เริ่มศึกษาอย่างจริงๆจัง ทั้งหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว วิธีเดินทาง ตั๋วรถไฟแบบเหมา ของถูกในโตเกียว หรือของฝาก เป็นต้น
ทริปนี้ผมเลือกบินกับการบินไทยครับ จองทางเว็บไซด์ Expedia.com พร้อมที่พักเลยครับ ได้ตั๋วไป-กลับมาในราคา 19,XXX บาท รวมภาษีสนามบิน ยอมรับว่าค่าตั๋วค่อนข้างแพงครับ ถามว่าทำไมยอมจ่ายแพง จริงๆแล้วผมพยายามหาตั๋วโปรของหลายๆสายการบินแล้วครับ แต่หาไม่ได้เลย ส่วนใหญ่ตั๋วโปรจะมีข้อแม้ว่าต้องบินอย่างน้อย 2 คนบ้าง 4 คนบ้าง มีคำถามอีก ทำไมไม่ซื้อตั๋วสายการบิน Low cost ล่ะ ผมก็ลองดูแล้วราคาแล้วมันห่างกันไม่เยอะเท่าไหร่ ไป-กลับประมาณ 15,XXX บาท ไหนจะบวกค่าโหลดกระเป๋าอีกก็เกือบเท่ากันแล้ว ไหนจะต้องไปขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง แต่บ้านผมอยู่ใกล้สุวรรณภูมิมาก ไม่ต้องเดินทางไปขึ้นเครื่องไกล ก็เลยตัดสินใจซื้อตั๋วของการบินไทยไป อีกอย่างช่วงที่ผมไปมันเป็นช่วงซากุระบานด้วยแหละครับ ตั๋วเลยค่อนข้างแพงทุกสายการบิน ส่วนที่พักผมเลือกนอนเป็นแบบเรียวกังครับ คืนล่ะประมาณ 2,000 บาท ตอนแรกก็คิดว่าจะนอนโรงแรมแคปซูลดีไหม เพราะราคาถูกมาก แค่ราคาคืนล่ะหลักร้อยเอง แต่ห่วงเรื่องความปลอดภัย เราไปตัวคนเดียวด้วย ไปนอนกับคนอื่นเยอะๆ กลัวของเราจะหาย เลยเลือกที่พักแบบห้องส่วนตัวดีกว่า สรุปค่าตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักราคารวมอยู่ที่ 29,XXX บาท ถ้าใครเคยเจอตั๋วโปรเครื่องบินแบบเดินทางคนเดียวหรือมีข้อมูลโรงแรมแคปซูลที่ดีๆก็แนะนำผมหรือเพื่อนๆในพันทิปได้นะครับ จะได้เป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่วางแผนจะไปญี่ปุ่นและผมที่เกิดบ้าอยากไปคนเดียวอีก
ส่วนเรื่องการเดินทางในโตเกียวผมเลือกซื้อตั๋วรถไฟผมซื้อแบบแพ็คเกจครับ เป็นแพ็คเกจ Skylinerไป-กลับ+Subway 72ชม. ซื้อได้จาก H.I.S ครับ ซื้อได้ที่ไทยก่อนวันเดินทางได้เลยครับ เราจะได้ตั๋วรถไฟ2แบบ
1.Skyliner ซึ่งเป็นรถไฟด่วนวิ่งจากสนามบินเข้าสู่ตัวเมืองโตเกียวครับ
2.Subway ที่ใช้เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆในเมืองโตเกียว สามารถใช้ได้ 72ชม. นับตั้งแต่วันที่เริ่มใช้
*ปล. ตั๋วที่ได้จาก H.I.S จะเป็นคูปองใช้ขึ้นรถไฟไม่ได้ ต้องเอาไปแลกที่เคาท์เตอร์ SKyliner ที่สนามบินนาริตะก่อนครับถึงจะได้ตั๋วของจริงมา
ข้อมูลตั๋วรถไฟ
เอาล่ะตั๋วเครื่องบินพร้อม ตั๋วรถไฟพร้อม ที่พักพร้อม ใจพร้อม ข้อมูลแน่นปึก สะพายเป้ แบกล้องออกเดินทางได้
26/3/17
วันออกเดินทางผมไปถึงสนามบินตอนตี 5 ครึ่ง เพื่อขึ้นเครื่องไฟลท์ 7.35น. ผมเผื่อเวลาค่อนข้างเยอะครับ เพราะขึ้นเครื่องไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกกลัวมีไรผิดพลาดจะได้แก้ไขได้ทัน แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ ผ่านฉลุยไปนั่งรอที่ Gate ชิวๆเป็นชม.ครับกว่าจะได้ขึ้นเครื่อง
มีเรื่องเกือบซวยตั้งแต่ยังไม่ทันได้เหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น!! ผมนั่งเครื่องจากสุวรรณภูมิมาใกล้ถึงสนามบินนาริตะได้ประมาณ 5 ชม. ผมก็เลยเตรียมตัวเปลี่ยนซิมเน็ตที่ไว้สำหรับใช้ในประเทศญี่ปุ่นใส่ในโทรศัพท์ ผมก็หยิบเข็มเย็บผ้าที่เตรียมมากดลงไปในรูข้างๆเครื่องไอโฟนเพื่อดันเอารางใส่ซิมออกมา พอรางใส่ซิมถูดดันออกมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย ผมก็ใช้นิ้วดึงออกมา แต่รางใส่ซิมมันดิ้นได้ราวกับมีชีวิต!! กระเด็นหลุดมือผมไปทั้งซิมทั้งราง ซวยแล้วๆๆๆ รีบก้มหาด่วน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ตายแน่ๆๆๆ ยังไม่ทันลงไปสูดอากาศที่ประเทศญี่ปุ่นก็มีเรื่องให้เครียดซะแล้ว เครื่องบินก็ลดระดับความสูงลงทำให้มีแรงกดอากาศมาก ทำให้หูอื้อไปอีก ปวดหูแทบแตก โอ๊ยแย่แน่ๆ หาซิมไม่เจอไม่เป็นไร กลับไทยไปยังไปขอซิมใหม่ได้ แต่ถ้าหารางใส่ซิมไม่เจอเราจะเอาซิมเน็ตใส่โทรศัพท์ยังไง ไม่มีเน็ตใช้ดูแผนที่หลงอยู่ในญีุ่่ปุ่นแน่นอน
พอเครื่อง Landing ลงจอดเรียบร้อย ผมก็จัดาการปูพรมหาใต้เบาะผมทันที ก้มๆเงยๆก็สังเกตุเห็นพวกผู้โดยสารที่กำลังทยอยเดินออกจากเครื่องเดินผ่านที่นั่งผมแล้วมองประมาณว่า"ไอ้นี่มันหาไรวะ" หรือบางทีอาจะมีคนคิดในใจ "ขอให้พาสปอร์ตมันหาย"(ก็มองโลกในแง่ร้ายเกิน) ฮ่าาาา หาอยู่ไม่นานก็เจอซิมโทรศัพท์ก่อน มันหล่นอยู่ใต้เบาะที่ผมนั่งนั้นแหละ แต่มันไปหล่นอยู่ในซอกตรงผนังห้องโดยสารเครื่องบิน แต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมรอดตาย จากนั้นผมเริ่มหาในกระเป๋าเป้ เพราะจังหวะที่มันกระเด็นหล่นผมเห็นแว่บๆว่ามีชิ้นหนึ่งตกลงไปในกระเป๋าเป้ ผมก็รื้อเอาทุกอย่างในเป้ออกมาให้เหลือเป้เปล่าๆ ควานหา 3-4 รอบ สุดท้ายเจอ!! เห้ออออ โล่งงงงงงง
จากนั้นผมก็เดินออกมาจากเครื่อง มานั่งใส่ซิมเน็ตเข้าไปในโทรศัพท์ แล้วเขียนใบตม.กับใบศุลกากรเพื่อใช้เข้าปรเทศญี่ปุ่น(ตอนอยู่บนเครื่องไม่ยอมเขียน) แล้วก็รีบเดินไปเข้าตม. แต่แถวยาวมาก หน้าจะมีไฟลท์ลงเยอะตอนนั้น ผมยืนรอต่อแถวนานมากตั้งแต่ด่านตรวจโรค เจ้าหน้าที่เค้าก็ค่อยๆทยอยปล่อยผู้โดยสารให้ค่อยๆผ่านด่านตรวจโรคไปด่านตม.ต่อเรื่อยๆ
ผ่านด่านตรวจโรคมาได้ก็ไปเจอด่านตม. แถวยาวกว่าด่านตรวจโรคอีก ขอบอกก่อนนะครับว่าผมมีความรู้ภาษาอังกฤษปานกลาง(ค่อนไปทางน้อย) ฮ่าาาๆ แต่ก็เตรียมคำตอบมา แล้วก็เอกสารต่างๆมาพร้อม พอถึงคิวก็เดินเข้าไปแบบมั่นๆ ยืนพาสปอร์ตให้ แล้วเจ้าหน้าที่เค้าก็ให้ผมถ่ายรูป สแกนนิ้ว แล้วก็ปั้มพาสปอร์ตแล้วก็ให้ผ่านไปเลยสบายๆ ไม่ถามไรเลยครับ หลังจากนั้นผมก็เดินไปเอากระเป๋าเดินทางที่สายพาน ภาพที่ผมเห็นตั้งแต่เดินมาไกลๆคือสายพานกระเป๋าหยุดวิ่งไปแล้วครับ แต่ใกล้ๆสายพานผมเห็นกระเป๋าเดินทางผมวางอยู่ใบเดียว ผมคงเป็นคนสุดท้ายของเที่ยวบินที่มารับกระเป๋าแน่ๆ และข้างๆกระเป๋ามีแอร์ฯสาวชาวญี่ปุ่นยืนเฝ้ากระเป๋าเดินทางผมอยู่ ผมก็เดินเข้าไปแอร์ฯสาวชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็ถาม"ผมว่ากระเป๋าผมใช่มั๊ย" ผมก็ตอบว่า"ใช่" แล้วก็ขอบคุณแอร์ฯสาวคนนั้นไป ที่อุตส่าห์ยืนเฝ้ากระเป๋าให้จนผมมา กลายเป็นความประทับใจแรกในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ในสนามบินเลย
ได้กระเป๋าแล้วก็ลากกระเป๋าไปเข้าด่านศุลกากรต่อ ซึ่งผมก็ศึกษาข้อมูลมาจากในพันทิปมาก่อนว่าด่านตม.ที่ญี่ปุ่นไม่โหดเท่าด่านศุลกากร ส่วนใหญ่จะโดนเข้าห้องเย็นก็ด่านนี้แหละ พอเดินเข้าไปผมก็ยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่ ก็เปิดดูจังหวะนี้ผมตั้งท่ารอตอบคำถามแล้วครับ ฮ่าาๆๆ เปิดดูผ่านๆไม่นานก็ส่งคืนผมแล้วก็ทำมือประมาณว่าไปๆได้และไป ผมนี้อึ้งแ*ด เลยครับ ยืนนิ่งอยู่ 2 วิ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ถามหน่อยหรอ ก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วรีบลากกระเป๋าเดินทางหนีออกมาเลย พร้อมพูดในใจกับตัวเอง "จะไปยืนรอให้เค้าถามหรือไง" สรุปผมสามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นมาได้โดยไม่มีใครถงใครถามผมเลยสักคำ ทั้งๆที่มาครั้งแรก มาคนเดียว แล้วพาสปอร์ตก็ขาวเพราะพึ่งไปทำเล่มใหม่มา
เดี๋ยวมาต่อครับ