Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Moonlight {Barry Jenkins}, 2016

ในตำนานกรีก Chiron เป็นชื่อของเซนทอร์ เขาเชี่ยวชาญในศาสตร์การแพทย์ และยังเป็นอาจารย์ของเทพเจ้ากรีกอีกหลายคน Chiron เป็นลูกของนิมฟ์ที่ชื่อว่า Philyra และ Kronus เทพเจ้ากรีกที่โหดร้าย เขาทั้งคู่พบกันเมื่อตอนที่ Kronus กำลังตามหาลูกชายของเขา Zeus เพื่อจะเอามาทำเป็นอาหาร แต่เมื่อเขาเจอกับนางไม้ที่มีรูปลักษณ์งดงาม ดึงดูดความสนใจของ Kronus แต่ Philyra ก้ได้แปลงกายเป็นม้าสาวเพื่อหลบหนี ไม่วาย Kronus ก็แปลงกายเป็นม้าหนุ่ม และสุดท้ายเธอก็ต้องสมยอมให้กับ Kronus

เมื่อ Chiron กำเนิดมา เขามีรูปร่างเป็นเซนทอร์ คือครึ่งคนครึ่งม้า นั่นเองจึงทำให้แม่ของเขาทนกับความจริงตรงนี้ไม่ได้ และได้ทิ้งเขาไป Chiron เด็กน้อยที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และความรุนแรงของเพศชาย ณ ตอนนั้น เขาไม่เหลือใครเลย ถึงแม้รูปลักษณ์ของเขาจะเหมือนกับ centaur แต่เขาก็ไม่ได้มีเชื้อสายกับ centaur จริงๆ ประกอบกับอุปนิสัยที่เป็นคนสุขุม รอบคอบ ซึ่งต่างจาก centaur นั่นเองจึงทำให้เขาดูเหมือนจะสิ้นไร้ไม้ตอก ต่อมาเขาได้ถูกชุบเลี้ยงโดยเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์คือ Apollo ซึ่งเอาจริงๆ Kronus เป็นลูกของ Apollo ดังนั้น Chiron ก็ถือเป็นหลานของเขา

Apollo เป็นเทพเจ้าแห่งดนตรี การทำนาย และการเยียวยา เขาได้สอนหลายสิ่งให้กับ Chiron และต่อมาเขาเองจึงได้กลายเป็นอาจารย์ของเทพเจ้าหลายคน เช่น Achilles และ Hercules มีตำนานว่า Hercules ได้มาเยี่ยมอาจารย์ของเขา แต่ได้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับเซนทอร์ ระหว่างที่ Hercules ต่อสู้กับเหล่า centaur เขาได้ใช้ธนูที่อาบยาพิษจากไฮดร้าที่ว่ากันว่าจะนำมาซึ่งความเจ็บปวดอย่างที่สุด และธนูได้บังเอิญไปถูกอาจารย์ของเขา นั่นคือ Chiron และด้วยความที่ Chiron เป็นอมตะ และบาดแผลจากไฮดร้าก็ไม่อาจเยียวยาได้ ทำให้บาดแผลนั้นต้องอยู่กับเขาไปตลอดกาล

ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจากบาดแผล Chiron ได้ปรารถนาที่จะตาย แต่ด้วยความที่เขาเป็นบุตรของเทพเจ้า Kronus เขาจึงเป็นอมตะ Hercules รู้สึกผิดเป็นอย่างมากจึงได้ขอต่อรองกับเทพซุส ว่าให้เขาตายแทน Prometheus ที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อมนุษย์จะได้ใช้ไฟ (ตรงนี้ต้องไปอ่านต่อเรื่องของ Prometheus) เทพซุสตอบตกลงและ Chiron ก็ได้ปลดเปลื้องความทรมาน ซุสจึงรับเอาวิญญาณ Chiron บันดาลให้เขากลายเป็นกลุ่มดาวคนยิงธนู

คราวนี้เรากลับมาที่หนังที่ทำให้ Barry Jenkins เป็นที่พูดถึงกันอย่างมากเมื่อปีที่แล้ว สิ่งแรกที่ปะทะกับโสตประสาตของเราเมื่อดู Moonlight ไม่ใช่ภาพหากแต่เป็นเสียงดนตรีเพลง Every Nigger is a Star ของ Boris Gardiner ศิลปินชาวจาไมกา ที่แต่งเพลงนี้ขึ้นเพื่อประกอบหนังในชื่อเดียวกัน กำกับโดย Calvin Lockhart ที่ฉายในราวปี 1974 แม้ผลตอบรับของหนังจะเข้าขั้นล้มเหลว แต่ดนตรีจากหนังเรื่องนี้ก็เป็นที่พูดถึงจวบจนปัจจุบัน หนังเรื่องนี้เองถูกมองว่าเป็น Blaxploitation film เพราะหนังเองก็ถูกสร้างโดยคนดำและให้คนดำดู โดยมีฉากหลังส่วนใหญ่เป็นชุมชนของคนผิวสีที่แร้นแค้น นักวิจารณ์หลายคนมองว่าหนังแนวนี้เป็นการทำให้คนผิวสีมีสิทธิ์มีเสียงมาขึ้น ในทางกลับกันบางท่านก็มองว่าหนังแนวนี้ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพ stereotypes ของคนผิวสี เช่น คนค้ายาเสพติด คนติดยา คนใช้ หรือแม้แต่หญิงดำที่เกรี้ยวกราด (Angry black woman)

ไม่จะเป็นแบบใด Moonlight เองก็มีท่าทีที่ตอกย้ำ stereotypes ของคนผิวสี คนดำขายยา ติดยา และฉากหลังแทบทั้งเรื่องไม่ปรากฎคนขาวเลย (มีเพียงฉากในร้านอาหารตอนท้าย เท่าที่เราสังเกต) นี่เองที่ทำให้ Naomie Harris เองเกือบจะปฏิเสธบทของแม่ที่ติดยา ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอเองเคยประกาศจะไม่รับบทคนติดยาอีกแล้ว แต่ด้วยการอ้อนวอนของผู้กำกับที่บอกว่า พอลลาเป็นเสมือนตัวแทนของแม่ของเขาและ McCraney สุดท้ายเธอจึงยอมรับบทนั้น

กลับมาที่เนื้อหาในเพลง มีท่าทีสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกต่อสถานการณ์เรื่องสิทธิของคนดำในช่วงที่ผ่านมา เอาจริงๆ เรารู้สึกว่าเนื้อเพลงออกจะเป็นการประชดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น และคนร้องก็หวังว่าสักวันจะเกิดสันติสุข เนื้อเพลงมีการพูดถึงสีน้ำเงินและสีแดง ซึ่งแทนด้วยดวงอาทิตย์ ที่ๆ เขาเคยรู้จัก เคยมีทั้งสุขและทุกข์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีแต่ความทุกข์ และเขาหวังว่าสุดท้ายเราจะมีความสุข ได้อยู่ในดินแดนที่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง

ชื่อเพลงเองก็บอกว่าเราคนดำเปรียบเสมือนดวงดาวบนท้องฟ้า ถ้าฟังผ่านๆ มันก็เป็นคำพูดที่ให้กำลังใจ ว่าเราทุกคนก็ยังมีคุณค่า แต่จริงๆ แล้ว ในอีกนัยหนึ่ง ดวงดาวจะปรากฎเฉพาะตอนกลางคืน ซึ่งกลางคืนถ้าเปรียบแล้วก็เหมือนคนดำ และตอนเช้า คือคนผิวขาว หรือความสุขก็คือสำหรับคนผิวขาว และความทุกข์สำหรับคนผิวดำ

ใน Moonlight เองก็ใช้สีนำเงินและสีแดงเป็นองค์ประกอบหลักตลอดทั้งเรื่อง McCraney ให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตของเขา ย้อนไปเมื่อประมาณหกเจ็ดขวบ เขาได้มีโอกาสไปเที่ยวนอกบ้าน บ้านเขาอยู่ที่ลิเบอร์ตี้ซิตี้ ทางตอนเหนือของไมอามี่ รัฐฟลอริด้า รัฐที่มีประชากรคนดำเป็นอันดับสาม ตอนนั้นแม่ของเขามีสามีใหม่ชื่อ Blue ในตอนนั้นเขาตัวเล็กกว่าเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน จึงมักถูกแกล้งรังแก เพราะต่างจากเพื่อน เพราะเขาไม่ค่อยพูด และเพราะว่าเขาไม่ค่อยเล่นกีฬา เขามักถูกเรียกว่า “ตุ๊ด” ก่อนที่เขาจะรู้ความหมายเสียด้วยซ้ำ เขาถูกเอาอิฐปาใส่ปากจนฟันหน้าร่วง ด้วยความที่เขาเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีพ่อ ซึ่งเขาก็ไม่ได้กล่าวถึงว่าพ่อเขาไปไหน Blue สำหรับเขาจึงเสมือนผู้ชายคนแรกในชีวิตของเขาที่สนใจ และเข้าใจเขาอย่างแท้จริง Blue สอนเขาให้ปั่นจักยาน สอนเขาว่ายน้ำ แต่อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้ว่าแฟนใหม่ของแม่คนนี้ ไม่ได้ทำงานสุจริต ซึ่งก็เป็นอาชีพที่เขาทำกันกลาดเกลื่อนในยุคนั้น

หลังจากที่ McCraney กลับมาจากเที่ยว เขารู้บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป เขาถามแม่ของเขาที่กำลังเสพยาเพียงลำพัง ถามว่า Blue อยู่ไหน สิ่งที่ไม่คาดคิด และวันนั้นก็มาถึง คนที่เลือกเดินเส้นทางนี้ก็คงตัดสินใจที่จะเสี่ยงแลกกับชีวิตเพื่อบางสิ่งแล้ว Blue ได้จากเขาไปแล้ว เขาได้เรียนรู้ถึงความไม่จีรังของทุกสิ่ง

ชีวิตในวัยเด็ก พื้นที่ที่เขาได้ปลดปล่อยแรงอัดอั้นภายใน ได้ใช้ชีวิตในวัยเด็กแบบเด็กคนอื่นๆ ก็มีอยู่จำกัด และพื้นที่ของชุมชนที่เขารักและหวงแหนคือ ศูนย์มรดกศิลปะวัฒนธรรมแอฟริกัน พื้นที่ของคนในชุมชนลิเบอร์ตี้ซิตี้ (แน่นอนว่าปรากฎในหนังเรื่องนี้ด้วย) ที่แห่งนี้เด็กๆ หลังจากเลิกเรียน เขาจะมาเต้นรำ ร้องเพลง แสดงละคร McCraney ในปัจจุบัน เขาเป็นอาจารย์สอนเขียนบทละครที่มหาวิทยาลัยเยลก็ยังแวะเวียนมาสอน และให้แรงบันดาลใจกับเด็กๆที่นี่เสมอ

เป็นเรื่องแปลกที่แม่ของผู้กำกับหนัง Jenkins ก็ติดยาเหมือนกัน และสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้มาร่วมกันเขียนบทหนังเรื่องนี้ จากที่ McCraney เขียนข้างไว้เกือบสิบปี ชีวิตของ Jenkins ต่างออกไปตรงที่เขาเล่นกีฬาและเรียนภาพยนตร์

แม่ของ McCraney ได้เข้าไปสถานบำบัดของเขาอายุสิบสามปี แม่สำหรับเขา เธอติดยา แต่เขาก็บอกว่าแม้กระทั่งช่วงที่เธออยากยา เธอยังกำชับให้เขาไปโรงเรียน การศึกษาสำหรับลูกชายของเธอคืออันดับหนึ่งเสมอ ดังนั้นช่วงเวลาที่เขาไม่มีแม่ บ้านก็ว่างเปล่า โรงเรียนก็คือที่เขาจะโดนรังแก เขาจึงผ่านเวลานั้นมาได้อย่างยากลำบาก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
iii. Black

ชื่อตอนที่สามก็บอกแล้วว่าไชรอนเติบโตมาในนามที่เควินมอบให้เขา ไม่ใช่เขาเลือกเอง ซึ่งงเควินเองก็ถูกสังคมตีกรอบมาอีกที คล้ายกับตอนเด็กที่คนเรียกเขาว่าลิตเติ้ล แต่ครอบครัวของยวนก็ไม่เรียกเขาเช่นนั้น เรียกไชรอนแบบที่เขาเป็น ให้พื้นที่การเป็นตัวเอง แต่เมื่อเขาโตขึ้น ผ่านการเติบโตอีกขั้น เขาได้เลือกเส้นทาง ที่ไม่ต่างจากยวน คือเส้นทางส่องสว่าง

ภาพแม่ตวาดเขายังตามหลอกหลอน หนัง introduce เราด้วยภาพสว่าง ฉากที่ลูกน้องไชรอนเล่าถึงสาวที่เจอระหว่างนั่งรถ ภาพลูกน้องที่ใช้สีนำ้เงิน เขาสนใจสาวนั้นจริงๆ ในขณะที่นั่งฝั่งไชรอนมีแสงสีทองบนตัวเขา บอกถึงว่าเขาไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นแม้แต่น้อย คืนนั้นเองแม่โทรมาหาเขา (หน้าจอโทรศัพท์สีน้ำเงิน) ห้องนอนสีทอง แม่คิดถึงเขามาก และหวังว่าลูกจะมาเยี่ยม เธอเข้ารับการรักษาที่สถานบำบัด แต่เราเข้าใจว่าเขาไม่อยากไป เพราะไม่อยากให้แม่เห็นว่าเขาไม่ได้เอาดีอย่างที่แม่อยากให้เป็น

กลางดึกคืนหนึ่ง มีชายปริศนาโทรหาแบลค ภาพตัดไปที่ชายคนนั้นซึ่งต่อมาเราทราบว่าคือเควิน เขาคุยอยู่ในบรรยากาศสีฟ้า เควินกำลังทำในสิ่งที่เขาอยากทำมานานหลายปี ส่วนไชรอนพูดอะไรไม่ออก เขาอยู่ในสีทอง คืนนั้นเขาฝันถึงภาพชายคนนั้น และฝันเปียกซึ่งคล้ายกับตอนที่เขาฝันถึงเควินร่วมรักในสวน (เขาตื่นมาในบรรยากาศสีฟ้า)

ระหว่างทางที่เขาจะไปหาเควิน ก็ได้แวะไปเยี่ยมแม่ด้วยที่สถานบำบัด ผมแม้ที่เริ่มมีสีขาว ผิวหน้าที่เหี่ยวย่น ฟันสีคล้ำบ่งบอกถึงว่าเธอคงสูบบุหรี่มาไม่น้อย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน เขาทั้งคู่ใส่ชุดโทนฟ้า แม่ถามตรงๆ ว่า “ลูกยังทำแบบเดิมอยู่หรือเปล่า”  เขาไม่ตอบ “ลูกเดินทางมาไกล เพื่อมาบอกแม่ว่ายังทำแบบเดิมอยู่เนี่ยนะ” แบลคลุกขึ้น เขาทนสภาวะกดดันของบทสนทนานี้ไม่ไหว เขารู้ว่าคำถามนี้ต้อง แม่ต้องอยากรู้อย่างแน่นอน “ลูกฟังแม่นะ จะไปไหน” “ฟังใคร หา? ฟังแม่เหรอ?” แบลคระเบิดความรู้สึกออกมา

“แม่รู้ว่าว่าแม่มันแย่ แม่ทำชีวิตป่นปี้หมด”
“แต่ลูกอย่ามาทำอะไรแบบแม่เลยนะ”
“แม่รักลูกเหลือเกิน ไชรอน”
“ลูกไม่ต้องรักแม่ก็ได้นะ ตอนลูกต้องการความรัก แม่ไม่เคยให้ลูกได้เลย แม่รู้”
“ดังนั้น แกไม่ต้องรักแม่ก็ได้”
“แต่ แกต้องรู้ว่าแม่รักแกมาก”
“แกได้ยินไม๊”

แบลคเงียบไป มีเพียงน้ำตาที่รินไหลอาบแก้มเจ้าพ่อค้ายา

“ได้ยินครับ” แบลคตอบ
“แม่ขอโทษ”

ทั้งคู่โอบกอดกันภายใต้ร่มไม้ ที่แสงแดดเล็ดลอดลงมาไม่ถึง

แบลคมุ่งหน้าไปพบเควิน ภาพตัดไปที่หมู่เด็กละเล่นกันริมชายทะเล แบลคกำลังไปปลดเปลื้องความทุกข์ที่เขาสะสมมานานแสนนาน

เสียงดนตรีฮิปฮอปแบบ stereotypes ของแอฟริกันอเมริกันดังขึ้น แบลคถึงที่หมายคือร้านอาหารที่ที่เควินทำงานประจำอยู่ เขาอยู่ภายใต้ดวงจันทร์ก็จริง แต่คราวนี้แสงสีส้มจากหลอดไฟส่องสว่างเหลือเกิน

เสียงรถสวนกันที่ฟังเผินๆ คล้ายเสียงเกลียวคลื่นกระทบฝั่ง กระดิ่งดังขึ้นบ่งบอกถึงการมาถึงของผู้มาเยือนแปลกหน้า เสียงดนตรีย้อนยุคในร้านดังขึ้นกลบเสียงรถรานอกร้าน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เราเห็นคนขาวในเรื่อง บรรยากาศในร้าน ม้านสีแดง แสงสีเหลืองทองกลบแสงธรรมชาติจากข้างนอก สองหนุ่มถามไถ่กัน เควินไปทำอาหารพิเศษให้แบลคทาน แน่นอนว่าฉากทำอาหารเป็นสีน้ำเงิน เพราะมันออกมาจากใจเขา สิ่งเดียวที่ส่งตรงมาจากใจในร้านนั้นกลับไม่ใช่คำพูดหลายร้อยคำ แต่มีเพียงอาหารจานนั้น

แสงสีนำ้เงินจากข้างนอกทำได้เพียงแตะต้องบนผิวอย่างเบาบางจนแทบไม่มีผลอะไร เขาพูดกันสัพเพเหระ ไม่เข้าประเด็น จนกระทั่งเควินเอาภาพลูกชายตัวน้อยของเขาให้แบลคดู (ลูกชายใส่ชุดสีแดง) เควินเล่าถึงว่าเขาไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้แบบเดิมอีกแล้ว หลังจากมีลูก
“แกมีปัญหากับเมียหรือเปล่า”
“ไม่ๆ เราโอเค เอาจริงๆ เราต้องรักกันเพื่อลูก”

แบลคยังพูดน้อยเหมือนเดิม เขาไม่ได้ต่างจากเดิมเลย เพียงแค่ภายนอกเท่านั้น “ถ้าปากแกกิน ปากแกก็ต้องพูดด้วยเว้ย” พ่อครัวเร่งเร้าให้แบลคพูดอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง “โอเค เอาตรงๆเลยนะ กูขายยา” แบลคไม่กล้าแม้แต่จะสบตา “อะไรนะ?” เควินไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง แบลคเล่าถึงว่าเขาเข้าสู่เส้นทางนี้หลังจากติดคุก “นี่ไม่ใช่แกเลย ไชรอน” เราสังเกตว่าเควินเรียกชื่อจริงตลอด เพราะเขาอยากได้เพื่อนคนเก่ากลับมา อยากย้อนอดีต “ไม่รู้จักกูดีพอหรอก” แบลคตัดพ้อ “กูเนี่ยนะ ไม่รู้จัก?” เควินตอกกลับ

เสียงกระดิ่งดังขึ้น ทำลายความเงียบงันที่เกิดขึ้น ทำลายบทสนทนาที่ไม่รู้ทิศทางต่อไป เควินลุกไปรับแขก

“แกใส่ฟันเหล้กทำไมว่ะ” เควินพยายามลดระดับความตึงเครียด

“โทรหากูทำไม”
“ก็กูบอกไปแล้วว่า …..”
“เออ เออ เออ”
บนใบหน้าแบลคมีแสงนำ้เงินจากข้างนอกตกกระทบ แบลคต้องการสาเหตุที่แท้จริง ต้องการถ้อยคำที่มาจากใจ
“ก็เขาเปิดเองนั้นอ่ะ” เควินยังเก็บงำความจริงไว้

เควินลุกไปเปิดเพลง
Hello Stranger
It seems so good to see you back again
How long has it been?

ทั้งคู่จ้องหน้ากัน ภาพที่เควินเน้นโทนสว่าง เขายังไม่พูดความจริง เพลงมันก็แค่ข้ออ้าง ภาพที่หน้าแบลคเป็นสีฟ้า หัวใจเขาเรียกร้อง ถ้อยความบางอย่างที่มาจากใจเควิน

เควินได้แต่ยิ้ม ไม่มีถ้อยคำใดจะเอื้อนเอ่ย

แบลคอาสาขับรถไปส่งเควิน แสงไฟสีทองยังคงสาดส่องบดบังแสงจากดวงจันทร์ บทสนทนาหลังจากนั้นก็เป็นไปเพื่อลดความตึงเครียดจนกระทั่ง

“เออ” เสียงเควินดูจริงจังขึ้นมา
“ทำไมจ้องกูแบบนั้นวะ” แบลคจ้องไปที่ตาของเควิน แสงสีน้ำงเินลอดผ่านกระจกมาพอดี
“แค่บังเอิญขับผ่านมาแถวนี้จริงๆเหรอ” เควินถาม
“เออสิวะ” แบลคลดเสียงเบาลง เขาตอบไม่มั่นใจ ก็เพราะว่าไม่ใช่เขาตั้งใจมาหาเควิน แสงสีทองฉายทั่วรถ
“แล้วคืนนี้จะนอนไหน”
แบลคหันมามองเควิน ในใจเขาคงคิดว่า ทำไมถึงถามคำถามนี้ นี่กูป็นอะไรในสายของ หลังจากคำถามที่ไร้หัวใจของเควิน ก็มีแต่เสียงของดนตรี แบลคเร่งเสียงเพลงดังขึ้น เพื่อกลบอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น กล้องถ่ายให้เราเห็นแสงไฟฟ้าอยู่นอกรถ ภายในรถมีเพียงแสงสีส้ม แสดงถึงการใส่หน้ากากพูดคุยกัน

ทั้งคู่ถึงที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นบ้านของเควิน เสียงคลื่นกระทบฝั่ง สายลม กลิ่นของทะเล บรรยากาศที่แบลคไม่ได้พบเจอ เสียงดนตรีคลาสสิคดังขึ้นอีกครั้ง เควินเชื้อเชิญให้แบลคเข้าไปในพื้นที่รโหฐานของเขา สีภายในห้องตกแต่งด้วยสีโทนสว่างออกร้อน เควินเปลี่ยนชุดเป็นสีฟ้า นั่นหมายถึงว่า เขาพร้อมจะเปิดใจเสียที แบลคเวียนหัวนิดหน่อยเพระาวไน์สามแก้ว เขาบอกว่าเครื่องดื่มที่เขาดื่มประจำคือน้ำเปล่า

เป็นใครกันแน่วะ เควินถาม
กูเหรอ
กูก็เป็นกูนี่แหละ ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไร
ไม่ได้จะว่าอะไรนะ แต่เหมือนไม่ได้เจอกันแป๊ปเดียว กูไม่คิดว่าจะได้เจอแบบนี้
แล้วคิดว่ากูจะเป็นยังไง

ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกัน ก็คือตอนไชรอนกำลังถูกตำรวจจับขึ้นรถ เพราะเอาเก้าอี้ฟาดอันธพาล แบลคบอกว่า “โคตรนาน แทบไม่อยากจะนึก” แต่จากใบหน้า เรารับรู้ได้ว่า ความทรงจำนั้นยังติดตาและหลอกหลอนเขาทุกค่ำคืน

“เออ จริงด้วยวะ” เควินรู้สึกสึกผิดกับเหตุการณ์นั้นอย่างมาก
“แล้วละเป็นไงบ้าง” แบลคถามเควินราวกับที่ผ่านมาไม่ได้คุยอะไรกันเลย คือเอาจริงๆ เขาก็ถามคำถามนี้กันไปแล้ว แต่ที่ร้านอาหาร มันเป็นการใส่หน้ากากหากัน แต่ที่แห่งนี้ ที่ที่มีเสียงคลื่น เขาทั้งคู่ต่างพร้อมเปิดใจกัน
กูไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยวะ ก็ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยได้ทำอะไรที่ตัวเองอยากทำ สิ่งที่ทำอยู่ก็คือสิ่งที่คนอื่นเค้าอยากให้กูทำ ไม่เคยได้เป็นอะไรที่เป็นตัวเองเลย
“แล้วตอนนี้ละ” แบลคถาม
ตอนนี้ ก็มีลูกตัวน้อย มีงานนี้ทำ แล้วก็โดนภาคทัณฑ์อีกสิบแปดเดือน
ยิ้มโคตรแย่”
“เออนี่แหละ ชีวิตเว้ย มันก็เป็นชีวิตที่กูไม่เคยมี แต่ตอนนี้ยิ้มโคตรเหนื่อยเลยวะ งานตอนนี้มันก็ได้เงิน ไม่ต้องกังวลแบบเมื่อก่อน”

บทสนทนาเงียบลง เหลือเพียงเสียงคลื่น

ชายหนุ่มที่ดูพูดน้อย ไม่บ่อยที่เขาจะเปิดบทสนทนา “รู้ไม๊ กูเคยกับแค่คนเดียว”
“กูไม่เคยกับคนอื่นอีกเลยหลังจากวันนั้น” แบลคหลีกเลี่ยงยงจะสบตา นี่คงเป็นบทสนทนาที่เขาต้องรวบรวมความกล้ามากที่สุดในชีวิต ชายหนุ่มจ้องหน้ากัน มีเพียงเสียงคลื่นที่เราได้ยินจัดเจนที่สุดอีกครั้ง เควินทำได้เพียงยิ้ม

เขาอิงแอบกันอีกครั้ง เพียงครั้งนี้ อาจไม่ได้ดวงจันทร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเขา มาถึงจุดที่ไม่อาจเปิดเผยได้เหมือนเมื่อก่อน มันต้องอยู่ในที่มิดชิดมากขึ้น ภาพสุดท้ายคือชายตัวเล็กผอมบางตัวเปียกปอน เหม่อมองท้องทะเลไกลสุดสายตา เขาเดียวดายใต้แสงจันทร์ เขาได้ปลดระวางสัมภาระออกจากตัวทั้งหมดแล้วหรือยัง ธุระปะปังทั้งหลายได้ลอยไปกับทะเลแล้วหรือไม่ รอยแผลเป็นทางใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยหนุ่มได้ถูกชโลมแล้วหรือไม่ เขาได้เป็นอิสระหรือยัง เราไม่อาจทราบได้ แต่ภาพสุดท้ายเป็นภาพที่สงบสุขเหลือเกิน เรารู้เพียงว่า

เด็กน้อยคนนี้เล่นน้ำเสร็จแล้ว

ภาพทั้งเรื่องจึงเป็นการพูดถึงเส้นทางชีวิตที่พลิกผัน การต่อสู้ระหว่างการได้เลือก การได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็นหรือการได้อยู่ในจุดที่ต้องการตามแรงปรารถนา กับสภาวะจำยอมหรือการไม่มีสิทธิไม่มีเสียง ผ่านสีที่เปล่งประกายราวกับมีเสียงที่ขับร้องก้องดังตลอดทุกช่วงวัยของตัวละคร สีแดงกับสีฟ้าเมื่อนำมาผสมกันกลายเป็นสีม่วง ซึ่งจริงๆเราก็รู้สึกอย่างนั้น เพราะชีวิตเราก็ไม่อาจเลือกเส้นทางไปได้ทุกครั้ง และหลายครั้งก็ต้องจำยอมภายใต้ระบบกฎเกณฑ์ ชีวิตเราจึงเป็นสีม่วง ในหนังไม่ปรากฎสีม่วงเลย แต่แท้จริงแล้ว สีม่วงก็คือภาพที่เราเห็นซ้อนทับอีกที เป็นการมองในมุมที่กว้างขึ้น ชีวิตเราไม่ได้มีเพียงสีเดียว เพียงช่วงไหนสีใดโดดเด่นขึ้นมาต่างกรรมต่างวาระกัน

เจนกินส์และแมคเครนี่นำเรื่องราวที่สุดแสนจะส่วนตัวของตนมาเล่าให้เกิดเป็นภาพ แต่ยังให้เกิดเสียงสะท้อนก้องดังไปถึงทุกชีวิต เป็นความงดงามของชีวิตมนุษย์ที่แม้จะคนเชื้อชาติ คนละเผ่าพันธ์ุ คนละที่อยู่อาศัย คนละวัฒนธรรม แต่เราก็มีหลายสิ่งที่ตรงกันอย่างน่าเหลือเชื่อ หนังอาจไม่ได้มีท่าทีพูดถึงการเหยียดเพศหรือเหยียดเชื้อชาติชัดเจนในหนัง แต่สำหรับเราภาพที่เราเห็นก้คือผลกระทบจากการเหยียดที่ไม่อาจแสดงให้เห็นด้วยตา

เราจะเห็นวันนั้นหรือไม่นะ Boris Gardiner

ฤาเราจะถูกแสงอาทิตย์แผดเผาไปตลอดกาล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่