การปรากฏตัวของ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทยชาวเยอรมัน ที่สนามธูปะเตมีย์ พร้อมชมเกมระหว่าง แอร์ฟอร์ซ ยูไนเต็ด กับ กระบี่ เอฟซี สร้างความตื่นตัวในโลกโซเชี่ยล เพราะเขา คือ กุนซือขวัญใจแฟนบอล “ช้างศึก” ระหว่างปี 2011 - 2013
หลังจากย้ายออกจากประเทศไทย เขาได้ไปคุมทีมชาติจาไมก้า ชาติในแถบแคริบเบียน ที่ผู้คนคลั่งไคล้กรีฑามากกว่าฟุตบอล ทว่าเขาก็อาจหาญพาทัพ “เร็กเก้บอยซ์” เข้าชิงคอนคาเคฟ โกลด์ คัพ หรือ ศึกชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาเหนือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปพบกับ สหรัฐอเมริกา เจ้าภาพ แม้ต้องอกหักในรอบชิงชนะเลิศ แต่มันก็กลายเป็นข่าวใหญ่ สร้างชื่อให้เขาอีกครั้ง
ทีมงานโฟร์โฟร์ทู ไทยแลนด์ ได้โอกาสไปสัมภาษณ์พูดคุยกับอดีตยอดกุนซือขวัญใจแฟนบอลไทย พอหอมปากหอมคอให้สาวกได้หายคิดถึง
FFT TH : สวัสดีครับ “วินนี่”
วินฟรีด เชเฟอร์ : ฮัลโหล เป็นยังไงบ้างล่ะ!
FFT TH : เป็นอย่างไรบ้างกับชีวิตช่วงที่ผ่านมา
วินฟรีด เชเฟอร์ : ผมโอเค ตอนนี้ก็มาพักร้อน และก็เดี๋ยวจะเตรียมกลับไปที่เยอรมัน
FFT TH : เล่าให้ฟังถึงชีวิตที่จาไมก้าหน่อย
วินฟรีด เชเฟอร์ : โดยทั่วไปจาไมก้า ไม่ได้เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมคลั่งไคล้ฟุตบอลขนาดนั้นอยู่แล้ว พวกเขามุ่งเน้นเรื่องกรีฑาเสียมากกว่า แต่เราก็คว้าแชมป์แคริบเบียน คัพ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผู้คน โดยที่ใช้ผู้เล่นที่ค้าแข้งต่างแดนเพียง 2 รายเท่านั้น ความที่ผมไปอังกฤษบ่อยๆ เพื่อไปชมนักเตะที่นั่น ผมเนี่ยแหละเป็นคนเรียก เวส มอร์แกน (กองหลังของเลสเตอร์ ซิตี้) เข้ามาติดทีมชาติจาไมก้า ผมถามเขาว่า คุณอยากเล่นให้จาไมก้าไหม? เขาบอกว่า อยากซิ ทำไมจะไม่ล่ะโค้ช? จากนั้นเขาก็มาเล่นให้จาไมก้า เพราะเดิมทีเขาถือพาสปอร์ตอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นนักเตะชื่อดังเหมือนทุกวันนี้เลย เขาได้มาเล่นเจอกับผู้เล่นชั้นนำจากอาร์เจนติน่า อย่างเมสซี่, ปารากวัย และอุรุกวัย
FFT TH : คุณต้องบินข้ามทวีปไปดูบอลถึงอังกฤษบ่อยๆ เลยเหรอ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : อืม บางทีผมก็ต้องออกค่าใช้จ่ายบินไปดูฟอร์มเองถึงอังกฤษ คือ มันจำเป็นนะ ในฐานะโค้ชทีมชาติ คุณไม่สามารถดูฟุตบอลแค่บนหน้าจอโทรทัศน์ได้ ตอนอยู่ไทยก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ จริงๆ ตอนอยู่จาไมก้าลำบากกว่านิดหน่อย เพราะแต่ละเมืองห่างกันมาก มันไม่ง่ายเลย แต่มันเป็นสไตล์ของผม ในโทรทัศน์ คุณดูได้แค่จอเล็กๆ แต่ในสนามคุณดูได้กว้างกว่า ถ้าคุณจะดูฟอร์มแบ็คซ้าย แล้วบอลไปข้างหน้า มันก็เห็นแค่กองหน้า แต่เราไม่รู้ว่าตอนนั้นแบ็คซ้ายทำอะไรอยู่ สำคัญที่สุดจริงๆ แล้ว คือ นักเตะจะรู้สึกฮึกเหิมว่า เฮ้ย! เอาล่ะ โค้ชทีมชาติของฉัน เข้ามาดูอยู่ในสนามนะ จริงๆ มันไม่ใช่กับเฉพาะนักเตะคนที่ติดทีมชาติอยู่แล้ว แต่รวมถึงทุกๆ คนในสนาม พวกเขาจะรู้สึกภูมิใจ … หลังจบเกม ผมก็จะเข้าไปหาพวกเขาในห้องแต่งตัว ไปให้กำลังใจพวกเขา ไปบอกว่าเขาเล่นดีนะ ทำได้ดีแล้ว หรือว่าควรปรับปรุงแก้ไขตอนไหน มันเหมือนกันตอนสมัยผมเป็นนักเตะนั่นแหละ
FFT TH : แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ได้สัญญาใหม่กับจาไมก้า
วินฟรีด เชเฟอร์ : กับจาไมก้า ผมก็ประสบความสำเร็จทีเดียว ได้เข้าชิงฟุตบอลโกลด์ คัพ พบกับสหรัฐอเมริกาแบบสุดเซอร์ไพรส์ ผมมีความสุขดีกับจาไมก้า ปัญหาเดียว คือ พวกเขาไม่ได้มีเงินสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ มากขนาดนั้น เพราะอย่างที่บอกว่า พวกเขาไม่ได้มีฟุตบอลคัลเจอร์ (Football Culture) เมื่อสิ้นสุดสัญญาเมื่อปลายปีก่อน ทางสมาคมฯ ก็ได้ยื่นสัญญาฉบับใหม่มา แต่ผมปฏิเสธไป
FFT TH : ทำไมล่ะ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ผมอยากทำทีมฟุตบอลที่ดูมีแรงกระหาย มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตมากกว่า และผมก็อยากทำทีมเล็กๆ ให้แข็งแกร่งขึ้นมา
FFT TH : ตอนนี้มีทีมไทยติดต่อรึยัง?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ยัง ผมมาพักร้อนเฉยๆ
FFT TH : แล้วคิดถึงบอลไทยไหม?
วินฟรีด เชเฟอร์ : คิดถึงซิ… ผมมีแต่ความรู้สึกดีๆ ให้กับฟุตบอลไทย และผมก็ได้ดูฟุตบอลทีมชาติบ้าง แต่แค่นัดเดียวน่ะนะ คือ เกมที่ไทยไปเล่นกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพราะผู้เล่นทีมชาติยูเออี ชุดนั้นมีหลายคนที่ผมดันขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ อย่าง อูมัร อับดุลเราะห์มาน ที่ตอนนี้กลายเป็นสุดยอดนักเตะเอเชียไปแล้ว และก็อีกหลายๆ คนเช่นกัน เหมือนกับตอนผมอยู่ไทยนั่นแหละ คุณจำได้ไหมที่ผมดึงนักเตะอายุ 18 ปี 4 คนไปคิงส์ คัพ ที่เชียงใหม่ (ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, วีระวุฒิ กาเหย็ม, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์) ตอนนั้น คนก็ต่อต้าน โอ้! เอาเด็กๆ มาทำไมเยอะแยะ แล้วดูตอนนี้ซิ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไม่ได้ดูเกม แต่ผมก็ติดตามข่าวสารอยู่ และก็ได้ยินว่า ที่ไทยกำลังมีลีกเยาวชนจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ
FFT TH : หมายถึงแตกต่างจากตอนคุณเป็นโค้ช?
วินฟรีด เชเฟอร์ : นั่นแหละ ที่ผมได้ยินมา คือ ตอนนี้ทีมชาติไทย ได้มีเวลาเตรียมทีมนานๆ มีไปเก็บตัวที่กาตาร์ แต่ตอนผมอยู่อยากจะขอเก็บตัวเพิ่มอีกสักวันยังลำบาก แต่ตอนนี้ทีมชาติไทยมีการเตรียมทีมที่ดีกว่าเดิม ได้เก็บตัวอยู่ที่กาตาร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกับทีมชาติไทยมากๆ
FFT TH : ถามตรงๆ คุณคิดว่าคุณยังเป็นโค้ชทีมชาติในปัจจุบันจะมีผลงานที่ดีกว่าเมื่อก่อนรึเปล่า?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ถ้าผมได้เป็นโค้ชทีมชาติไทยตอนนี้น่ะเหรอ? ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะผลงานที่ผ่านมา เราก็ทำได้ดี เป็นแชมป์ซูซูกิ คัพ 2 สมัย แต่ผมคิดว่า ถ้าผมเป็นโค้ชต่อแล้วได้การสนับสนุนที่ดีแบบทุกวันนี้ มันก็คงจะทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เราเคยเดินทางไปเล่นต่างประเทศโดยที่นักเตะไม่มีพาสปอร์ตกันตั้งหลายคน
FFT TH : ยังคิดทำฟุตบอลต่อไหม? อายุ 67 ปีแล้วเนี่ย...
วินฟรีด เชเฟอร์ : ทำซิ! จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ก็เพิ่งเลิกไม่นานมานี้, เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กว่าจะเลิกก็อายุ 72 ปี, หลุยซ์ อราโกเญซ ก็พาสเปนคว้าแชมป์ยูโร เมื่อตอนอายุเกือบ 70 ปี แถมเป็นสเปนชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ผมเองก็ยังมีไฟมีแรงกระหายที่จะทำฟุตบอลอยู่ การเป็นโค้ช มันไม่ขึ้นอยู่กับอายุ ยิ่งอายุมากยิ่งมีประสบการณ์ ประสบการณ์มันเป็นอะไรที่ซื้อไม่ได้ด้วยราคาแค่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯหรอกนะ... โค้ชอายุน้อยบางคนเก่งมากนะ แต่พอเจอปัญหาอะไรต่างๆ นาๆ เข้าที่นอกเหนือจากฟุตบอล พวกเขาอาจจัดการไม่ได้ พวกเขาไม่มีกุญแจที่จะปลดล็อคปัญหาเหล่านั้น
FFT TH : สุดท้าย...แผนการณ์ชีวิตคุณเป็นยังไงต่อ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : กลับเยอรมันก่อน และก็หาทีมทำต่อ ผมก็มองหาทีมอยู่ อาจเป็นที่สหรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็มีทีมจากเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ติดต่อมา 2 ทีม รวมถึงทีมจากแอฟริกา แต่อย่างที่บอกว่าผมต้องการทำทีมเล็กๆ ให้แข็งแกร่งขึ้นมา พวกเขาต้องเป็นทีมที่มีความทะเยอทะยาน เพราะผมก็ยังมีไฟอยู่
“อย่างที่บอกว่า ผมเป็นฟุตบอลแมน ผมอยู่บนโลกนี้ไม่ได้หรอก หากปราศจากฟุตบอล”
FFT TH : โอเค ขอบคุณมากสำหรับเวลามีค่าของคุณ ไว้พบกันใหม่นะ
วินฟรีด เชเฟอร์ : ด้วยความยินดีมากๆ แล้วมื้อนี้คุณจะเลี้ยงกาแฟผมใช่ไหม (ฮ่าๆ)
แหล่งข่าว : www.fourfourtwo.com
EXCLUSIVE วินฟรีด เชเฟอร์ : ถ้าผมได้กลับมาเป็นโค้ชทีมชาติไทยตอนนี้น่ะเหรอ?
หลังจากย้ายออกจากประเทศไทย เขาได้ไปคุมทีมชาติจาไมก้า ชาติในแถบแคริบเบียน ที่ผู้คนคลั่งไคล้กรีฑามากกว่าฟุตบอล ทว่าเขาก็อาจหาญพาทัพ “เร็กเก้บอยซ์” เข้าชิงคอนคาเคฟ โกลด์ คัพ หรือ ศึกชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาเหนือ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไปพบกับ สหรัฐอเมริกา เจ้าภาพ แม้ต้องอกหักในรอบชิงชนะเลิศ แต่มันก็กลายเป็นข่าวใหญ่ สร้างชื่อให้เขาอีกครั้ง
ทีมงานโฟร์โฟร์ทู ไทยแลนด์ ได้โอกาสไปสัมภาษณ์พูดคุยกับอดีตยอดกุนซือขวัญใจแฟนบอลไทย พอหอมปากหอมคอให้สาวกได้หายคิดถึง
FFT TH : สวัสดีครับ “วินนี่”
วินฟรีด เชเฟอร์ : ฮัลโหล เป็นยังไงบ้างล่ะ!
FFT TH : เป็นอย่างไรบ้างกับชีวิตช่วงที่ผ่านมา
วินฟรีด เชเฟอร์ : ผมโอเค ตอนนี้ก็มาพักร้อน และก็เดี๋ยวจะเตรียมกลับไปที่เยอรมัน
FFT TH : เล่าให้ฟังถึงชีวิตที่จาไมก้าหน่อย
วินฟรีด เชเฟอร์ : โดยทั่วไปจาไมก้า ไม่ได้เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมคลั่งไคล้ฟุตบอลขนาดนั้นอยู่แล้ว พวกเขามุ่งเน้นเรื่องกรีฑาเสียมากกว่า แต่เราก็คว้าแชมป์แคริบเบียน คัพ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้ผู้คน โดยที่ใช้ผู้เล่นที่ค้าแข้งต่างแดนเพียง 2 รายเท่านั้น ความที่ผมไปอังกฤษบ่อยๆ เพื่อไปชมนักเตะที่นั่น ผมเนี่ยแหละเป็นคนเรียก เวส มอร์แกน (กองหลังของเลสเตอร์ ซิตี้) เข้ามาติดทีมชาติจาไมก้า ผมถามเขาว่า คุณอยากเล่นให้จาไมก้าไหม? เขาบอกว่า อยากซิ ทำไมจะไม่ล่ะโค้ช? จากนั้นเขาก็มาเล่นให้จาไมก้า เพราะเดิมทีเขาถือพาสปอร์ตอังกฤษอย่างเดียวเท่านั้น ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นนักเตะชื่อดังเหมือนทุกวันนี้เลย เขาได้มาเล่นเจอกับผู้เล่นชั้นนำจากอาร์เจนติน่า อย่างเมสซี่, ปารากวัย และอุรุกวัย
FFT TH : คุณต้องบินข้ามทวีปไปดูบอลถึงอังกฤษบ่อยๆ เลยเหรอ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : อืม บางทีผมก็ต้องออกค่าใช้จ่ายบินไปดูฟอร์มเองถึงอังกฤษ คือ มันจำเป็นนะ ในฐานะโค้ชทีมชาติ คุณไม่สามารถดูฟุตบอลแค่บนหน้าจอโทรทัศน์ได้ ตอนอยู่ไทยก็ทำเหมือนกันนั่นแหละ จริงๆ ตอนอยู่จาไมก้าลำบากกว่านิดหน่อย เพราะแต่ละเมืองห่างกันมาก มันไม่ง่ายเลย แต่มันเป็นสไตล์ของผม ในโทรทัศน์ คุณดูได้แค่จอเล็กๆ แต่ในสนามคุณดูได้กว้างกว่า ถ้าคุณจะดูฟอร์มแบ็คซ้าย แล้วบอลไปข้างหน้า มันก็เห็นแค่กองหน้า แต่เราไม่รู้ว่าตอนนั้นแบ็คซ้ายทำอะไรอยู่ สำคัญที่สุดจริงๆ แล้ว คือ นักเตะจะรู้สึกฮึกเหิมว่า เฮ้ย! เอาล่ะ โค้ชทีมชาติของฉัน เข้ามาดูอยู่ในสนามนะ จริงๆ มันไม่ใช่กับเฉพาะนักเตะคนที่ติดทีมชาติอยู่แล้ว แต่รวมถึงทุกๆ คนในสนาม พวกเขาจะรู้สึกภูมิใจ … หลังจบเกม ผมก็จะเข้าไปหาพวกเขาในห้องแต่งตัว ไปให้กำลังใจพวกเขา ไปบอกว่าเขาเล่นดีนะ ทำได้ดีแล้ว หรือว่าควรปรับปรุงแก้ไขตอนไหน มันเหมือนกันตอนสมัยผมเป็นนักเตะนั่นแหละ
FFT TH : แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่ได้สัญญาใหม่กับจาไมก้า
วินฟรีด เชเฟอร์ : กับจาไมก้า ผมก็ประสบความสำเร็จทีเดียว ได้เข้าชิงฟุตบอลโกลด์ คัพ พบกับสหรัฐอเมริกาแบบสุดเซอร์ไพรส์ ผมมีความสุขดีกับจาไมก้า ปัญหาเดียว คือ พวกเขาไม่ได้มีเงินสนับสนุนสมาคมฟุตบอลฯ มากขนาดนั้น เพราะอย่างที่บอกว่า พวกเขาไม่ได้มีฟุตบอลคัลเจอร์ (Football Culture) เมื่อสิ้นสุดสัญญาเมื่อปลายปีก่อน ทางสมาคมฯ ก็ได้ยื่นสัญญาฉบับใหม่มา แต่ผมปฏิเสธไป
FFT TH : ทำไมล่ะ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ผมอยากทำทีมฟุตบอลที่ดูมีแรงกระหาย มีความมุ่งมั่นที่จะเติบโตมากกว่า และผมก็อยากทำทีมเล็กๆ ให้แข็งแกร่งขึ้นมา
FFT TH : ตอนนี้มีทีมไทยติดต่อรึยัง?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ยัง ผมมาพักร้อนเฉยๆ
FFT TH : แล้วคิดถึงบอลไทยไหม?
วินฟรีด เชเฟอร์ : คิดถึงซิ… ผมมีแต่ความรู้สึกดีๆ ให้กับฟุตบอลไทย และผมก็ได้ดูฟุตบอลทีมชาติบ้าง แต่แค่นัดเดียวน่ะนะ คือ เกมที่ไทยไปเล่นกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เพราะผู้เล่นทีมชาติยูเออี ชุดนั้นมีหลายคนที่ผมดันขึ้นมาสู่ชุดใหญ่ อย่าง อูมัร อับดุลเราะห์มาน ที่ตอนนี้กลายเป็นสุดยอดนักเตะเอเชียไปแล้ว และก็อีกหลายๆ คนเช่นกัน เหมือนกับตอนผมอยู่ไทยนั่นแหละ คุณจำได้ไหมที่ผมดึงนักเตะอายุ 18 ปี 4 คนไปคิงส์ คัพ ที่เชียงใหม่ (ชนาธิป สรงกระสินธ์, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, วีระวุฒิ กาเหย็ม, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์) ตอนนั้น คนก็ต่อต้าน โอ้! เอาเด็กๆ มาทำไมเยอะแยะ แล้วดูตอนนี้ซิ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไม่ได้ดูเกม แต่ผมก็ติดตามข่าวสารอยู่ และก็ได้ยินว่า ที่ไทยกำลังมีลีกเยาวชนจริงๆ จังๆ ขึ้นมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ
FFT TH : หมายถึงแตกต่างจากตอนคุณเป็นโค้ช?
วินฟรีด เชเฟอร์ : นั่นแหละ ที่ผมได้ยินมา คือ ตอนนี้ทีมชาติไทย ได้มีเวลาเตรียมทีมนานๆ มีไปเก็บตัวที่กาตาร์ แต่ตอนผมอยู่อยากจะขอเก็บตัวเพิ่มอีกสักวันยังลำบาก แต่ตอนนี้ทีมชาติไทยมีการเตรียมทีมที่ดีกว่าเดิม ได้เก็บตัวอยู่ที่กาตาร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีกับทีมชาติไทยมากๆ
FFT TH : ถามตรงๆ คุณคิดว่าคุณยังเป็นโค้ชทีมชาติในปัจจุบันจะมีผลงานที่ดีกว่าเมื่อก่อนรึเปล่า?
วินฟรีด เชเฟอร์ : ถ้าผมได้เป็นโค้ชทีมชาติไทยตอนนี้น่ะเหรอ? ผมตอบไม่ได้เหมือนกัน เพราะผลงานที่ผ่านมา เราก็ทำได้ดี เป็นแชมป์ซูซูกิ คัพ 2 สมัย แต่ผมคิดว่า ถ้าผมเป็นโค้ชต่อแล้วได้การสนับสนุนที่ดีแบบทุกวันนี้ มันก็คงจะทำอะไรๆ ได้ง่ายขึ้น เราเคยเดินทางไปเล่นต่างประเทศโดยที่นักเตะไม่มีพาสปอร์ตกันตั้งหลายคน
FFT TH : ยังคิดทำฟุตบอลต่อไหม? อายุ 67 ปีแล้วเนี่ย...
วินฟรีด เชเฟอร์ : ทำซิ! จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ก็เพิ่งเลิกไม่นานมานี้, เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กว่าจะเลิกก็อายุ 72 ปี, หลุยซ์ อราโกเญซ ก็พาสเปนคว้าแชมป์ยูโร เมื่อตอนอายุเกือบ 70 ปี แถมเป็นสเปนชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ผมเองก็ยังมีไฟมีแรงกระหายที่จะทำฟุตบอลอยู่ การเป็นโค้ช มันไม่ขึ้นอยู่กับอายุ ยิ่งอายุมากยิ่งมีประสบการณ์ ประสบการณ์มันเป็นอะไรที่ซื้อไม่ได้ด้วยราคาแค่ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯหรอกนะ... โค้ชอายุน้อยบางคนเก่งมากนะ แต่พอเจอปัญหาอะไรต่างๆ นาๆ เข้าที่นอกเหนือจากฟุตบอล พวกเขาอาจจัดการไม่ได้ พวกเขาไม่มีกุญแจที่จะปลดล็อคปัญหาเหล่านั้น
FFT TH : สุดท้าย...แผนการณ์ชีวิตคุณเป็นยังไงต่อ?
วินฟรีด เชเฟอร์ : กลับเยอรมันก่อน และก็หาทีมทำต่อ ผมก็มองหาทีมอยู่ อาจเป็นที่สหรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็มีทีมจากเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ติดต่อมา 2 ทีม รวมถึงทีมจากแอฟริกา แต่อย่างที่บอกว่าผมต้องการทำทีมเล็กๆ ให้แข็งแกร่งขึ้นมา พวกเขาต้องเป็นทีมที่มีความทะเยอทะยาน เพราะผมก็ยังมีไฟอยู่
“อย่างที่บอกว่า ผมเป็นฟุตบอลแมน ผมอยู่บนโลกนี้ไม่ได้หรอก หากปราศจากฟุตบอล”
FFT TH : โอเค ขอบคุณมากสำหรับเวลามีค่าของคุณ ไว้พบกันใหม่นะ
วินฟรีด เชเฟอร์ : ด้วยความยินดีมากๆ แล้วมื้อนี้คุณจะเลี้ยงกาแฟผมใช่ไหม (ฮ่าๆ)
แหล่งข่าว : www.fourfourtwo.com