อ่านแล้ว เห็นว่า มีแง่มุมที่น่าสนใจ และ ส่วนตัวเห็นด้วยเป็นอย่างมาก การสะสมอสังหาริมทรัพย์ จะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป สำหรับคนที่สร้างเนื้อสร้างตัว มาจากเงินเดือน และการประหยัดอดออม .. สวนทางกับเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมาก เนื่องจากการเก็บรักษาที่ดินแม้จะเป็นมรดกตกทอดก็ไม่สามารถจะทำได้ เนื่องจากการหากินแบบพอเพียง มันไม่เพียงพอสำหรับการจ่ายภาษีทีดิน สุดท้ายอาจไม่มีแผ่นดินอยู่
ที่มา
http://www.matichon.co.th/news/509893
ผู้เขียน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา มติชนออนไลน์
เผยแพร่ 27 มี.ค. 60
ความเข้าใจที่คนส่วนใหญ่คิดว่า กฎหมายนี้คือกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรม เศรษฐีที่ดินจะเดือดร้อนเพราะต้องจ่ายภาษี ต้องขายปล่อยที่ดินออกมา ลดจำนวนถือครองที่ดินลง แม้รัฐคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นจะเอื้อประโยชน์ในประชาชนส่วนใหญ่ แต่ในมุมมองของผู้เขียนนั้นกลับเห็นว่า พรบ.นี้จะก่อให้เกิดผลกระทบกลับกันโดยสิ้นเชิง และหากเชื่อมโยงกฎหมายนี้ไปยังกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิ์ชาวต่างชาติครอบครองที่ดิน ซึ่งคือแผ่นดินไทย จะเห็นความน่ากลัวอย่างยิ่งที่กฎหมายนี้เป็นสิ่งที่อันตรายต่อบ้านเมือง เพราะ
1. มหาเศรษฐีที่ดินจะไม่เดือดร้อนและจะมีที่ดินเพิ่มมากขึ้น
เพราะมหาเศรษฐีที่ดินจะผลักภาระ ภาษีที่ดินของให้กับประชาชน เพราะ มหาเศรษฐีผู้ถือครองที่ดินหลายหมื่นหลานแสนไร่ มีเงินทุนและศักยภาพมหาศาล สามารถเปลี่ยนที่ดินมหาศาลเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ผลิตวัตถุดิบการเกษตรเข้าสู่ธุรกิจที่ครบวงจรของตนเอง ภาษีที่ดินอันน้อยนิดจะถูกบวกเข้าไปในต้นทุนการผลิตสินค้า และขายให้กับประชาชน เหมือนกับ บุหรี่ เหล้า เบียร์ ไม่ว่าจะเก็บภาษีแพงแค่ไหน คนจ่ายภาษีตัวจริงก็คือคนไทยทั่วประเทศ เพราะมหาเศรษฐีเหล่านี้คือผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และกลไกตลาดแบบครบวงจรของประเทศไทย
2. บีบบังคับให้คนไทยมีบ้านแค่หลังเดียว
ไม่ว่าบ้านหลังแรกจะมีราคาไม่กี่หมื่นบาท จนถึง 50 ล้านบาท ก็มีได้แค่หลังเดียว ถือเป็นการแช่แข็งคนจนและคนชั้นกลางไม่ให้มีโอกาสก่อร่างสร้างตัว เพราะไม่มีปัญญาเสียภาษีบ้านหลังที่สอง ไม่สามารถไต่ระดับทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก ถ้าต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง นอกจากค่าผ่อนบ้านแล้วต้องบวกค่าภาษีบ้านตลอดชีวิต ทำไมรัฐบาลถึงไม่ปรับฐานภาษีให้ที่ดินและปลูกสร้างทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่กลับเพิ่มความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นธรรม โดยทำให้คนมีบ้านหลัง 50 ล้านบาทมีสิทธิ์ภาษีเท่าเทียมกับคนมีบ้านไม่ถึง 1 แสนบาท เพราะอนุญาตให้มีแค่หลังเดียว ผลจาก พรบ.ฉบับนี้ ทำให้คนรวยอยู่บ้านหลังละ 50 ล้านบาท ( ตามราคาประเมิน ซึ่งความจริงอาจแพงกว่าหลายเท่า)ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีเท่ากับคนจนอยู่บ้านหลังไม่ถึง 1 แสนบาท ในขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุใดจึงผลักดันกฎหมายที่ใช้อำนาจเพิ่มความเลื่อมล้ำทางสังคมอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย
3. บ้านหลังที่สองต้องให้เช่า ซื้อทิ้งไว้เผื่อให้ลูกไม่ได้
นับเป็นความจริงอันโหดร้าย สำหรับครอบครัวที่ต้องการสร้างอนาคตเผื่อให้ลูก แต่แทบไม่มีสิทธิหากพอกินพอใช้ แต่จะต้องมีเกินพอ คนร่างกฎหมายไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนจน เพราะ บ้านที่ซื้อมาไม่สามารถปล่อยเช่าได้ทุกหลัง บ้านที่ปล่อยเช่าได้ ต้องทำเลดี ซึ่งจะมีราคาแพง คนจนหรือคนชั้นกลางล่างมีสิทธิซื้อหรืออย่างไร คนเหล่านี้ซื้อเผื่อให้ลูกในทำเลที่ไม่ค่อยดี แต่ให้พอเป็นที่อยู่ที่กินสำหรับลูกหลานในอนาคต เมื่อซื้อเพิ่มอีกหลังปล่อยให้เช่าก็ไม่ได้ กลับต้องจ่ายภาษีตลอดชีวิต ลูกก็ยังเล็กโอนให้ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องขาย หรือตัดสินใจไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์หลังที่ 2 อีก คนชั้นกลางถูกบีบบังคับด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายให้อยู่นิ่ง ถูกห้ามไม่ให้สร้างตัวจากอสังหาริมทรัพย์ อนาคตฝากไว้กับเงินเก็บที่ดอกเบี้ยต่ำมาก ภาษีที่รัฐบาลเก็บเพิ่มขึ้นไปไม่กี่หมื่นล้านที่น้อยกว่าการคอรัปชั่นมาก กลายเป็นกฎหมายสลายโอกาสสร้างเนื้อตัวสร้างตัวของคนชั้นกลางทั่วประเทศ อย่างไร้ความเป็นธรรม
4. ภาษีที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมราคาถูก คือ ภาพลวงตา
กฎหมายนี้หลอกลวงประชาชนทั้งประเทศ เพราะ เกษตรกรไทยตัวจริงมีที่ดินทำกินส่วนใหญ่ไม่เกิน 50 ไร่ หากมี 100 ไร่ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นผู้อันจะกิน หากมีหลายร้อยไร่ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นคนรวย หากมีหลายพันไร่ขึ้นไปก็เป็นเศรษฐี หากมีหลายหมื่นไร่ หลายแสนไร่ก็นับว่าเป็นมหาเศรษฐี แต่การจ่ายภาษีของมหาเศรษฐีมีที่ดินนับหมื่นแสนไร่กลับใช้อัตราเดียวกับตาสีตาสามีที่นาแค่ 1-10ไร่ ทำไมถึงไม่ใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันได เช่น ถ้าถือครองที่ดินจำนวนมาก เช่น มากกว่า 500 ไร่ขึ้นไป ก็ควรจ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้าเช่นเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าถือครองหมื่นไร่ก็ควรจะต้องจ่ายในภาษีในอัตราที่แพงมาก จึงจะเป็นธรรม รัฐบาลคงลืมไปว่า เงินเสียภาษีแค่ 500-1000 บาท เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากสำหรับคนยากจนที่มีที่ดินไม่กี่ไร่ และแทบจะไม่มีกิน ในขณะเดียวกันนั้น การจ่ายเงินภาษีจำนวนมากหลายพันล้านบาทหรือหลายหมื่นล้านบาทกลับไม่มีผลกระทบใดๆต่อมหาเศรษฐีเลย เพราะภาษีเศรษฐีจะถูกผลักไปที่ผู้บริโภคคนไทยเป็นคนช่วยกันเฉลี่ยจ่าย แต่คนจนไม่มีปัญญาผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภค ในขณะมหาเศรษฐีทำได้สบายมากเพราะมีกลไกธุรกิจและความสามารถในการบริหารจัดการ สุดท้ายคนจนจำเป็นต้องขายที่ดินเกษตรกรรมและที่ดินเกษตรกรรมจะถูกรวบรวมไปสู่มหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน ที่มีเงินความสามารถในการบริหารจัดการและกุมกลไกการตลาด ปิดช่องทางอยู่รอดของเกษตรกรรายย่อยตัวจริง สุดท้ายเกษตรกรรายย่อยจะกลายเป็นทาสในที่ดินของนายทุน ไม่ต้องย้ายออกไปแต่ถูกบังคับให้ทำงานในที่ดินเกษตรกรรมในฐานะผู้รับจ้างเพื่อความอยู่รอด นับว่าเป็นระบบทาสในเรือนเบี้ย ยุคประเทศเทศไทย 4.0
5. ลำดับขั้นไปสู่การบังคับให้คนไทยต้องขายแผ่นดินไทยให้กับชาวต่างชาติเพราะได้ราคาดี
เมื่อกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประกาศใช้บังคับ จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซาอย่างหนัก เพราะลูกค้าที่ซื้อบ้านและที่ดิน คือคนชั้นกลางที่ซื้อที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 โดยกู้ธนาคารผ่อน ซื้อหรือที่ดินแทนการเก็บออมเงิน เมื่อกฎหมายนี้บังคับ คนซื้อหลังที่สองเป็นต้นไป จะลำบาก การเก็บออมเงินด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทำได้ยากมาก เพราะต้องรับภาระภาษี จะต้องหาคนเช่า เมื่อมีบ้านว่างให้เช่าพร้อมกันทั่วประเทศ รัฐบาลได้คิดไหมว่าใครจะมาเช่ากับบ้านที่มีอยู่จำนวนมากเกินความต้องการเช่าจริง คนชั้นกลางที่ก่อร่างสร้างตัวต้องรับภาระจ่ายภาษีที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 ตลอดไป ทั้งๆที่ไม่สามารถทำประโยชน์และมูลค่ารวมกับบ้านหลังแรกแล้วไม่กี่ล้านบาท คนชั้นกลางที่สู้ไม่ไหวก็ต้องขายบ้าน จำนวนบ้านมือสองที่ขายบวกกับหมู่บ้านจัดสรรของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะมีจำนวนมากมายเกินความต้องการตลาด ส่งผลให้ตลาดซบเซาอย่างหนัก กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ รัฐบาลก็จะใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างเพื่อออกกฎหมายยืดหยุ่นให้ต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเปิดช่องให้ต่างชาติเช่าซื้อบ้านและที่ดินได้ (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96 ทวิ และ พระราชบัญญัติอาคารชุด มาตรา 19 ทวิ และ (กฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ) เพื่ออ้างเหตุผลการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบัดนี้ได้เห็นมีสัญญาณการขายสิทธิ์ของแผ่นดินไทยให้ต่างชาติแล้วเพราะ รัฐบาลส่งสัญญาณการแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มจาก 30 ปี เป็น 50 ปี เป็นขั้นแรก คือปล่อยให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้ 1 ชั่วอายุคน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่มีการแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อชาวต่างชาติมากขึ้น เพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ คนไทยชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะมีที่ดิน มีบ้าน ในทำเลที่ดีมากพอที่จะขายให้ชาวต่างชาติ ความจริงแล้ว มีกลุ่มนายทุนไม่กี่เจ้าในประเทศไทย ที่ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริง เพราะสามารถกดราคาซื้อที่ดินจากคนไทยตัวจริงที่แย่งกันขายเพื่อเลี่ยงภาระภาษี แล้วนำมาสร้างเป็นหมู่บ้าน คอนโด หรูๆขายให้ชาวต่างชาติ การเช่าระยะยาวของชาวต่างชาติก็เช่นเดียวกัน
6. ไล่คนชั้นกลางให้ขายบ้านให้พ้นทำเลทองกลางเมือง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่ดินทำเลทองกลางเมืองหลวงมีราคาแพงมากตารางวาละหลายแสนบาทถึงล้านบาท คนชั้นกลางที่มีที่ดินมรดกตกทอดจากพ่อแม่มาแค่ 50 ตารางวา อาจต้องขายบ้านเพราะไม่อาจรับภาระภาษีได้ หากทำงานประจำ กินเงินเดือน ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ ไม่ขายบ้านวันนี้ก็ต้องขายวันหน้า เพราะราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาประเมินบ้านพร้อมที่ดิน 50 ตารางวา อาจเกิน 50 ล้านบาทมากขึ้นทุกๆปี ภาษีที่ดูเหมือนไม่มากในช่วงแรก จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเป็นทำเลทองที่กลุ่มนายทุนแย่งกันซื้อ จนต้องขายบ้านให้นายทุนที่มากว้านซื้อเพื่อย้ายออกไป เป็นการใช้กฎหมายบีบบังคับให้คนไทยต้องขายบ้านเพื่อย้ายออกไปจากทำเลทอง เพื่อให้กลุ่มนายทุนมาทำอสังหาริมทรัพย์ขายให้ชาวต่างชาติให้ง่ายขึ้น ที่ดินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษจะถูกเปลี่ยนมือไปด้วยความจำใจจำยอม อาคารสิ่งก่อสร้างจากอดีตที่งดงามอันบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองทางอารยธรรมและประวัติศาสตร์จะเลือนหาย
7. ปิดอนาคต ทำลายความหวังของคนจน
ที่ดินรกร้างว่างเปล่ากลางเมืองเป็นที่หมายปองของนายทุน แต่ที่รกร้างว่างเปล่าจำนวนมากที่เป็นของชาวบ้านธรรมดา ตาสีตาสา ไม่มีเงินทุนไปพัฒนา อายุมาก ลูกหลานไม่ยอมทำงานเกษตร หรือที่ดินพัฒนายากต้องใช้เงินทุนสูง จำเป็นต้องปล่อยทิ้งร้าง กฎหมายฉบับนี้จะบังคับให้ชาวบ้านธรรมดาที่ถือครองที่ดินรกร้าง ต้องพัฒนาหารายได้ ทั้งๆที่ยากจน ก็จำเป็นต้องขายแบบถูกๆ ถ้าขายไม่ได้ ไม่จ่ายภาษี 10 ปี รัฐบาลก็จะฟ้องยึดเป็นของรัฐ ไม่เหลือโอกาสให้คนจน ที่รอว่าสักวันจะมีถนนตัดผ่านที่ดินรกร้างของเขา ที่ดินจะได้มีราคา ก็ถูกรัฐบาลยึดไป หรือไม่ก็ขายให้นายหน้าของกลุ่มนายทุนที่มากว้านซื้อไปในราคาถูกเพื่อรวบรวมเป็นที่ดินแปลงใหญ่ในการการทำการเกษตรแบบใช้เงินลงทุนจำนวนมาก กฎหมายนี้จะทำลายคนไทยเจ้าของประเทศส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดให้ตกเป็นทาสเศรษฐกิจของนายทุน เป็นความวิบัติของชาติบ้านเมือง
ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายฉบับนี้โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่เจ้าของประเทศ คิดแค่จะออกกฎหมายเพื่อใช้เป็นผลงาน เป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียและแน่นอนว่าผลกระทบจะยังไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใด และ จะยังไม่ใช่กฎหมายบีบให้คนไทยขายจำเป็นต้องที่ดินให้กลุ่มนายทุนเพื่อไปทำอสังหาริมทรัพย์ขายให้ชาวต่างชาติในช่วงแรก แต่เมื่อรัฐบาลในอนาคตแก้ไขกฎหมายฉบับอื่นเพิ่มเติมเพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดิน เมื่อนั้น กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายตัวแม่ ที่บีบคนไทยให้ขายบ้านเมืองให้ชาวต่างชาติ คนไทยจะดำรงชีวิตตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ได้อย่างไร การออกกฎหมายบีบคนจน คนชั้นกลางเช่นนี้ ทำให้คนจน คนชั้นกลางไม่เพียงพอที่จะดำรงชีวิตด้วยความน้อยเท่าที่จำเป็น กลับต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายภาษีตลอดชีวิต ไม่งั้นจะถูกยึดที่ดินเป็นรัฐหากไม่จ่ายภาษีต่อเนื่องกัน 10 ปี กฎหมายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้คนนับล้านๆคน
การอ้างเหตุผลเรื่องเศรษฐกิจ ทอดทิ้งชีวิตพอเพียงของประชาชน ทำลายความสงบสุขของประชาชนไทย เพียงเพื่อภาษีไม่กี่หมื่นล้านบาท น่าจะเอาความสามารถไปแก้ปัญหาการคอรัปชั่นจะดีกว่า เพราะ เงินที่สูญเสียจากการคอรัปชั่น มีจำนวนมากกว่าภาษีที่เก็บได้มากกว่ามาก.
พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อภินิหารคนจนชนชั้นกลาง “ทิ้งที่ดิน” หมดสิทธิ์มีบ้านหลังที่ 2
ที่มา http://www.matichon.co.th/news/509893
ผู้เขียน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา มติชนออนไลน์
เผยแพร่ 27 มี.ค. 60
ความเข้าใจที่คนส่วนใหญ่คิดว่า กฎหมายนี้คือกฎหมายที่ให้ความเป็นธรรม เศรษฐีที่ดินจะเดือดร้อนเพราะต้องจ่ายภาษี ต้องขายปล่อยที่ดินออกมา ลดจำนวนถือครองที่ดินลง แม้รัฐคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นจะเอื้อประโยชน์ในประชาชนส่วนใหญ่ แต่ในมุมมองของผู้เขียนนั้นกลับเห็นว่า พรบ.นี้จะก่อให้เกิดผลกระทบกลับกันโดยสิ้นเชิง และหากเชื่อมโยงกฎหมายนี้ไปยังกฎหมายฉบับอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิ์ชาวต่างชาติครอบครองที่ดิน ซึ่งคือแผ่นดินไทย จะเห็นความน่ากลัวอย่างยิ่งที่กฎหมายนี้เป็นสิ่งที่อันตรายต่อบ้านเมือง เพราะ
1. มหาเศรษฐีที่ดินจะไม่เดือดร้อนและจะมีที่ดินเพิ่มมากขึ้น
เพราะมหาเศรษฐีที่ดินจะผลักภาระ ภาษีที่ดินของให้กับประชาชน เพราะ มหาเศรษฐีผู้ถือครองที่ดินหลายหมื่นหลานแสนไร่ มีเงินทุนและศักยภาพมหาศาล สามารถเปลี่ยนที่ดินมหาศาลเป็นพื้นที่เกษตรกรรม ผลิตวัตถุดิบการเกษตรเข้าสู่ธุรกิจที่ครบวงจรของตนเอง ภาษีที่ดินอันน้อยนิดจะถูกบวกเข้าไปในต้นทุนการผลิตสินค้า และขายให้กับประชาชน เหมือนกับ บุหรี่ เหล้า เบียร์ ไม่ว่าจะเก็บภาษีแพงแค่ไหน คนจ่ายภาษีตัวจริงก็คือคนไทยทั่วประเทศ เพราะมหาเศรษฐีเหล่านี้คือผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และกลไกตลาดแบบครบวงจรของประเทศไทย
2. บีบบังคับให้คนไทยมีบ้านแค่หลังเดียว
ไม่ว่าบ้านหลังแรกจะมีราคาไม่กี่หมื่นบาท จนถึง 50 ล้านบาท ก็มีได้แค่หลังเดียว ถือเป็นการแช่แข็งคนจนและคนชั้นกลางไม่ให้มีโอกาสก่อร่างสร้างตัว เพราะไม่มีปัญญาเสียภาษีบ้านหลังที่สอง ไม่สามารถไต่ระดับทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีก ถ้าต้องการซื้อบ้านหลังที่สอง นอกจากค่าผ่อนบ้านแล้วต้องบวกค่าภาษีบ้านตลอดชีวิต ทำไมรัฐบาลถึงไม่ปรับฐานภาษีให้ที่ดินและปลูกสร้างทั้งหมดรวมกันไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่กลับเพิ่มความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นธรรม โดยทำให้คนมีบ้านหลัง 50 ล้านบาทมีสิทธิ์ภาษีเท่าเทียมกับคนมีบ้านไม่ถึง 1 แสนบาท เพราะอนุญาตให้มีแค่หลังเดียว ผลจาก พรบ.ฉบับนี้ ทำให้คนรวยอยู่บ้านหลังละ 50 ล้านบาท ( ตามราคาประเมิน ซึ่งความจริงอาจแพงกว่าหลายเท่า)ได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีเท่ากับคนจนอยู่บ้านหลังไม่ถึง 1 แสนบาท ในขณะที่นายกรัฐมนตรีประกาศว่าจะลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุใดจึงผลักดันกฎหมายที่ใช้อำนาจเพิ่มความเลื่อมล้ำทางสังคมอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย
3. บ้านหลังที่สองต้องให้เช่า ซื้อทิ้งไว้เผื่อให้ลูกไม่ได้
นับเป็นความจริงอันโหดร้าย สำหรับครอบครัวที่ต้องการสร้างอนาคตเผื่อให้ลูก แต่แทบไม่มีสิทธิหากพอกินพอใช้ แต่จะต้องมีเกินพอ คนร่างกฎหมายไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนจน เพราะ บ้านที่ซื้อมาไม่สามารถปล่อยเช่าได้ทุกหลัง บ้านที่ปล่อยเช่าได้ ต้องทำเลดี ซึ่งจะมีราคาแพง คนจนหรือคนชั้นกลางล่างมีสิทธิซื้อหรืออย่างไร คนเหล่านี้ซื้อเผื่อให้ลูกในทำเลที่ไม่ค่อยดี แต่ให้พอเป็นที่อยู่ที่กินสำหรับลูกหลานในอนาคต เมื่อซื้อเพิ่มอีกหลังปล่อยให้เช่าก็ไม่ได้ กลับต้องจ่ายภาษีตลอดชีวิต ลูกก็ยังเล็กโอนให้ไม่ได้ ก็จำเป็นต้องขาย หรือตัดสินใจไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์หลังที่ 2 อีก คนชั้นกลางถูกบีบบังคับด้วยข้อจำกัดทางกฎหมายให้อยู่นิ่ง ถูกห้ามไม่ให้สร้างตัวจากอสังหาริมทรัพย์ อนาคตฝากไว้กับเงินเก็บที่ดอกเบี้ยต่ำมาก ภาษีที่รัฐบาลเก็บเพิ่มขึ้นไปไม่กี่หมื่นล้านที่น้อยกว่าการคอรัปชั่นมาก กลายเป็นกฎหมายสลายโอกาสสร้างเนื้อตัวสร้างตัวของคนชั้นกลางทั่วประเทศ อย่างไร้ความเป็นธรรม
4. ภาษีที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมราคาถูก คือ ภาพลวงตา
กฎหมายนี้หลอกลวงประชาชนทั้งประเทศ เพราะ เกษตรกรไทยตัวจริงมีที่ดินทำกินส่วนใหญ่ไม่เกิน 50 ไร่ หากมี 100 ไร่ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นผู้อันจะกิน หากมีหลายร้อยไร่ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นคนรวย หากมีหลายพันไร่ขึ้นไปก็เป็นเศรษฐี หากมีหลายหมื่นไร่ หลายแสนไร่ก็นับว่าเป็นมหาเศรษฐี แต่การจ่ายภาษีของมหาเศรษฐีมีที่ดินนับหมื่นแสนไร่กลับใช้อัตราเดียวกับตาสีตาสามีที่นาแค่ 1-10ไร่ ทำไมถึงไม่ใช้อัตราภาษีแบบขั้นบันได เช่น ถ้าถือครองที่ดินจำนวนมาก เช่น มากกว่า 500 ไร่ขึ้นไป ก็ควรจ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้าเช่นเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ถ้าถือครองหมื่นไร่ก็ควรจะต้องจ่ายในภาษีในอัตราที่แพงมาก จึงจะเป็นธรรม รัฐบาลคงลืมไปว่า เงินเสียภาษีแค่ 500-1000 บาท เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากสำหรับคนยากจนที่มีที่ดินไม่กี่ไร่ และแทบจะไม่มีกิน ในขณะเดียวกันนั้น การจ่ายเงินภาษีจำนวนมากหลายพันล้านบาทหรือหลายหมื่นล้านบาทกลับไม่มีผลกระทบใดๆต่อมหาเศรษฐีเลย เพราะภาษีเศรษฐีจะถูกผลักไปที่ผู้บริโภคคนไทยเป็นคนช่วยกันเฉลี่ยจ่าย แต่คนจนไม่มีปัญญาผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภค ในขณะมหาเศรษฐีทำได้สบายมากเพราะมีกลไกธุรกิจและความสามารถในการบริหารจัดการ สุดท้ายคนจนจำเป็นต้องขายที่ดินเกษตรกรรมและที่ดินเกษตรกรรมจะถูกรวบรวมไปสู่มหาเศรษฐีเพียงไม่กี่คน ที่มีเงินความสามารถในการบริหารจัดการและกุมกลไกการตลาด ปิดช่องทางอยู่รอดของเกษตรกรรายย่อยตัวจริง สุดท้ายเกษตรกรรายย่อยจะกลายเป็นทาสในที่ดินของนายทุน ไม่ต้องย้ายออกไปแต่ถูกบังคับให้ทำงานในที่ดินเกษตรกรรมในฐานะผู้รับจ้างเพื่อความอยู่รอด นับว่าเป็นระบบทาสในเรือนเบี้ย ยุคประเทศเทศไทย 4.0
5. ลำดับขั้นไปสู่การบังคับให้คนไทยต้องขายแผ่นดินไทยให้กับชาวต่างชาติเพราะได้ราคาดี
เมื่อกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประกาศใช้บังคับ จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซบเซาอย่างหนัก เพราะลูกค้าที่ซื้อบ้านและที่ดิน คือคนชั้นกลางที่ซื้อที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 หลังที่ 3 โดยกู้ธนาคารผ่อน ซื้อหรือที่ดินแทนการเก็บออมเงิน เมื่อกฎหมายนี้บังคับ คนซื้อหลังที่สองเป็นต้นไป จะลำบาก การเก็บออมเงินด้วยการซื้ออสังหาริมทรัพย์ทำได้ยากมาก เพราะต้องรับภาระภาษี จะต้องหาคนเช่า เมื่อมีบ้านว่างให้เช่าพร้อมกันทั่วประเทศ รัฐบาลได้คิดไหมว่าใครจะมาเช่ากับบ้านที่มีอยู่จำนวนมากเกินความต้องการเช่าจริง คนชั้นกลางที่ก่อร่างสร้างตัวต้องรับภาระจ่ายภาษีที่ดินหรือบ้านหลังที่ 2 ตลอดไป ทั้งๆที่ไม่สามารถทำประโยชน์และมูลค่ารวมกับบ้านหลังแรกแล้วไม่กี่ล้านบาท คนชั้นกลางที่สู้ไม่ไหวก็ต้องขายบ้าน จำนวนบ้านมือสองที่ขายบวกกับหมู่บ้านจัดสรรของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จะมีจำนวนมากมายเกินความต้องการตลาด ส่งผลให้ตลาดซบเซาอย่างหนัก กระทบต่อเศรษฐกิจประเทศ รัฐบาลก็จะใช้เป็นเหตุผลข้ออ้างเพื่อออกกฎหมายยืดหยุ่นให้ต่างชาติเป็นเจ้าของคอนโดได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเปิดช่องให้ต่างชาติเช่าซื้อบ้านและที่ดินได้ (ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 96 ทวิ และ พระราชบัญญัติอาคารชุด มาตรา 19 ทวิ และ (กฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ) เพื่ออ้างเหตุผลการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบัดนี้ได้เห็นมีสัญญาณการขายสิทธิ์ของแผ่นดินไทยให้ต่างชาติแล้วเพราะ รัฐบาลส่งสัญญาณการแก้กฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มจาก 30 ปี เป็น 50 ปี เป็นขั้นแรก คือปล่อยให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้ 1 ชั่วอายุคน ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่มีการแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อชาวต่างชาติมากขึ้น เพื่อให้สามารถเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างเหตุผลทางเศรษฐกิจ คนไทยชาวบ้านธรรมดาที่ไหนจะมีที่ดิน มีบ้าน ในทำเลที่ดีมากพอที่จะขายให้ชาวต่างชาติ ความจริงแล้ว มีกลุ่มนายทุนไม่กี่เจ้าในประเทศไทย ที่ได้ผลประโยชน์ที่แท้จริง เพราะสามารถกดราคาซื้อที่ดินจากคนไทยตัวจริงที่แย่งกันขายเพื่อเลี่ยงภาระภาษี แล้วนำมาสร้างเป็นหมู่บ้าน คอนโด หรูๆขายให้ชาวต่างชาติ การเช่าระยะยาวของชาวต่างชาติก็เช่นเดียวกัน
6. ไล่คนชั้นกลางให้ขายบ้านให้พ้นทำเลทองกลางเมือง
เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่ดินทำเลทองกลางเมืองหลวงมีราคาแพงมากตารางวาละหลายแสนบาทถึงล้านบาท คนชั้นกลางที่มีที่ดินมรดกตกทอดจากพ่อแม่มาแค่ 50 ตารางวา อาจต้องขายบ้านเพราะไม่อาจรับภาระภาษีได้ หากทำงานประจำ กินเงินเดือน ไม่ใช่เจ้าของธุรกิจ ไม่ขายบ้านวันนี้ก็ต้องขายวันหน้า เพราะราคาที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาประเมินบ้านพร้อมที่ดิน 50 ตารางวา อาจเกิน 50 ล้านบาทมากขึ้นทุกๆปี ภาษีที่ดูเหมือนไม่มากในช่วงแรก จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะเป็นทำเลทองที่กลุ่มนายทุนแย่งกันซื้อ จนต้องขายบ้านให้นายทุนที่มากว้านซื้อเพื่อย้ายออกไป เป็นการใช้กฎหมายบีบบังคับให้คนไทยต้องขายบ้านเพื่อย้ายออกไปจากทำเลทอง เพื่อให้กลุ่มนายทุนมาทำอสังหาริมทรัพย์ขายให้ชาวต่างชาติให้ง่ายขึ้น ที่ดินที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษจะถูกเปลี่ยนมือไปด้วยความจำใจจำยอม อาคารสิ่งก่อสร้างจากอดีตที่งดงามอันบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองทางอารยธรรมและประวัติศาสตร์จะเลือนหาย
7. ปิดอนาคต ทำลายความหวังของคนจน
ที่ดินรกร้างว่างเปล่ากลางเมืองเป็นที่หมายปองของนายทุน แต่ที่รกร้างว่างเปล่าจำนวนมากที่เป็นของชาวบ้านธรรมดา ตาสีตาสา ไม่มีเงินทุนไปพัฒนา อายุมาก ลูกหลานไม่ยอมทำงานเกษตร หรือที่ดินพัฒนายากต้องใช้เงินทุนสูง จำเป็นต้องปล่อยทิ้งร้าง กฎหมายฉบับนี้จะบังคับให้ชาวบ้านธรรมดาที่ถือครองที่ดินรกร้าง ต้องพัฒนาหารายได้ ทั้งๆที่ยากจน ก็จำเป็นต้องขายแบบถูกๆ ถ้าขายไม่ได้ ไม่จ่ายภาษี 10 ปี รัฐบาลก็จะฟ้องยึดเป็นของรัฐ ไม่เหลือโอกาสให้คนจน ที่รอว่าสักวันจะมีถนนตัดผ่านที่ดินรกร้างของเขา ที่ดินจะได้มีราคา ก็ถูกรัฐบาลยึดไป หรือไม่ก็ขายให้นายหน้าของกลุ่มนายทุนที่มากว้านซื้อไปในราคาถูกเพื่อรวบรวมเป็นที่ดินแปลงใหญ่ในการการทำการเกษตรแบบใช้เงินลงทุนจำนวนมาก กฎหมายนี้จะทำลายคนไทยเจ้าของประเทศส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดให้ตกเป็นทาสเศรษฐกิจของนายทุน เป็นความวิบัติของชาติบ้านเมือง
ถ้ารัฐบาลออกกฎหมายฉบับนี้โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่เจ้าของประเทศ คิดแค่จะออกกฎหมายเพื่อใช้เป็นผลงาน เป็นสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียและแน่นอนว่าผลกระทบจะยังไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใด และ จะยังไม่ใช่กฎหมายบีบให้คนไทยขายจำเป็นต้องที่ดินให้กลุ่มนายทุนเพื่อไปทำอสังหาริมทรัพย์ขายให้ชาวต่างชาติในช่วงแรก แต่เมื่อรัฐบาลในอนาคตแก้ไขกฎหมายฉบับอื่นเพิ่มเติมเพื่ออนุญาตให้ชาวต่างชาติถือครองที่ดิน เมื่อนั้น กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายตัวแม่ ที่บีบคนไทยให้ขายบ้านเมืองให้ชาวต่างชาติ คนไทยจะดำรงชีวิตตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ได้อย่างไร การออกกฎหมายบีบคนจน คนชั้นกลางเช่นนี้ ทำให้คนจน คนชั้นกลางไม่เพียงพอที่จะดำรงชีวิตด้วยความน้อยเท่าที่จำเป็น กลับต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายภาษีตลอดชีวิต ไม่งั้นจะถูกยึดที่ดินเป็นรัฐหากไม่จ่ายภาษีต่อเนื่องกัน 10 ปี กฎหมายนี้จะสร้างความเดือดร้อนให้คนนับล้านๆคน
การอ้างเหตุผลเรื่องเศรษฐกิจ ทอดทิ้งชีวิตพอเพียงของประชาชน ทำลายความสงบสุขของประชาชนไทย เพียงเพื่อภาษีไม่กี่หมื่นล้านบาท น่าจะเอาความสามารถไปแก้ปัญหาการคอรัปชั่นจะดีกว่า เพราะ เงินที่สูญเสียจากการคอรัปชั่น มีจำนวนมากกว่าภาษีที่เก็บได้มากกว่ามาก.