ประสบการณ์ผ่าตัดสมอง ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

เล่าสู่กันฟังค่ะ กับประสบการณ์ผ่าตัดสมอง
เราตรวจพบเนื้องอกในเยื่อหุ้มสมองตั้งแต่เดือน ก.พ.2559 หมอให้ติดตาม เพื่อทำ MRI อีกครั้งในเดือน ส.ค.2559 แต่ตอนเดือน ก.ค. ก็เกิดผลกระทบ คือ เห็นภาพซ้อน และปวดหัวทุกวัน คุณหมอเลยให้ MRI ก่อนกำหนด พบว่า ก้อนเนื้องอกมันโตขึ้นพรวดพราด หมอเลยบอกว่า ผ่าออกเถอะ เพราะหากมันมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ก็ไม่ควรเก็บไว้ เราก็เลยตัดสินใจค่อนข้างทันทีใดทันใด ที่จะผ่าตัด และพอดีว่า ในช่วงนั้น เราได้ซื้อตั๋วไปเที่ยวหลวงพระบางไว้ก่อนแล้ว ก็เลยบินไปเที่ยวก่อน และนัดผ่าตัดทันทีที่กลับจากลาว ซึ่งเป็นการเที่ยวที่กลายเป็นการตระเวณไหว้พระทุกวัดที่เจอ และระหว่างไปเที่ยว หมอให้เตรียมตัวด้วยการกินยากันชักเอาไว้ก่อน โดยเริ่มกินทีละน้อย และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ก็กินยาได้ปริมาณพอเหมาะที่จะผ่าตัดได้ (กันชักอันนี้ ไม่เกี่ยวกับชักดาบหนีหนี้นะคะ ถ้าใครมียากันชักดาบได้ น่าจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า)

วันที่กลับจากหลวงพระบาง พบว่า มีโทรศัพท์ค้างอยู่เยอะเลย หนึ่งในนั้นคือคุณพยาบาล ที่จะคอนเฟิร์มนัดผ่าตัด และติดต่อเราไม่ได้ เลยคิดว่าเราแอบหนีไปซะแล้ว (ขอโทษจริงๆ ที่ไปเที่ยวลาวโดยไม่ได้บอก) พอติดต่อคุณพยาบาลได้ ก็นัดหมายให้เราไปโรงพยาบาลแต่เช้า เพื่อทำ MRI อีกครั้ง ทีแรกเราก็ งงๆ เพราะเพิ่ง MRI ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่คุณพยาบาลบอกว่า ก่อนผ่าตัดต้องทำอีกที เป็น MRI - Navigator หรือการชี้เป้า ประมาณนั้น จากนั้นก็ตรวจสุขภาพทุกอย่าง ตรวจหัวใจ ปอด ตับ เซ่งจี้ (อันหลังนี่มั่วล่ะ) อ้อ ต้องปลอดเอดส์นะคะ ว่าแล้ว ก็เตรียมตัว นอนพักที่โรงพยาบาล 1 คืน กำหนดนัด พรุ่งนี้เที่ยงเข้าห้องผ่าตัด หมอคาดว่าจะใช้เวลาผ่าตัด 4 ชั่วโมง

คืนแรกในโรงพยาบาล ทีแรก คุณพยาบาลนัดว่า จะมาโกนหัวให้ตอนเย็น แต่คุณพยาบาลก็เปลี่ยนใจ เห็นว่านัดผ่าตัดตั้งเที่ยง เลยให้เราไว้ผมต่อไปอีกคืนนึงก่อน ครั้นพอเช้า กลับกลายเป็นว่า ห้องผ่าตัดเกิดว่างก่อนกำหนด หมอเลยเรียกให้ไปผ่าตัดได้ตั้งแต่ 10 โมง เอาล่ะซิ 8 โมงแล้ว ยังไม่ได้เตรียมตัวเลย พยาบาลก็รีบมาโกนหัวให้ ทางห้องผ่าตัดก็เร่งยิกๆ ก็กลายเป็นเรื่องดีไป เพราะแทนที่เราและครอบครัวจะมีเวลาคิดกังวล ก็กลับไม่มีเวลา เพราะตื่นมาก็รีบๆ รีบโกนหัว รีบอาบน้ำอีกรอบ เพราะเศษผมเต็มตัวไปหมด คนจากห้องผ่าตัดก็เตรียมยากล่อมประสาทเอาไว้ให้กิน เตียงที่จะมาเข็นไปห้องผ่าตัดก็มารอแล้ว รีบทุกอย่าง จากที่คิดว่าจะสวดมนต์ก่อนสัก 3 รอบ ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรเลย โกนหัวเสร็จ อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า กินยา ขึ้นเตียง ถูกเข็นไปห้องผ่าตัดอย่างเร็วรี่

ไปถึงห้องผ่าตัด เจอวิสัญญีแพทย์รออยู่แล้ว คุณหมอทักทายอย่างดี แล้วน่าจะให้ยาสลบ (ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ) สักพัก หมอผ่าตัดเดินเข้ามา เราสะลืมสะลือ แต่ก็ได้ยินวิสัญญีแพทย์ถามศัลยแพทย์ว่า งานนี้ยากไหม ได้ยินคำตอบว่า "ง่ายครับ เหมือนแคะขนมครก" แล้วเราก็หมดสติไป

ทุกอย่างมืดไปหมด ตื่นมาอีกทีนึง ลืมตาขึ้นอย่าง งงๆ เราอยู่ในห้อง ICU ตอนนั้นเอง ที่เจ็บ....เจ็บจนไม่รู้จะพูดยังไง ปวดหัวเหมือนจะระเบิด ในขณะที่ตัวก็สั่น สั่นขนาดที่ว่า พยายามระงับตัวเองไม่ให้สั่นแต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่สั่นงันงกอยู่อย่างนั้น ในใจคิดว่า หรือนี่จะเป็นอาการชักที่หมอบอกว่าเป็นผลข้างเคียงที่หมอกลัวที่สุด แต่พยาบาลก็เดินมาบอกว่า ไม่เป็นไร แค่ห้องผ่าตัดมันหนาวมาก ร่างกายเราเลยสั่น ว่าแล้วพยาบาลก็เอาผ้าห่มไฟฟ้าห่มให้ สักพักใหญ่ๆ ถึงได้หายสั่น

เราบอกพยาบาลว่า ปวดหัวมาก พยาบาลเลยให้ยาแก้ปวด สักครู่ก็ดีขึ้น พอหายสั่น หายปวดหัว ค่อยมาสำรวจตัวเอง ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย มือหายไป 555 ที่จริงคือ พยาบาลเอาอุปกรณ์ที่คล้ายๆ นวมชกมวย ผสมกับถุงมือไมโครเวฟ มาใส่มือเรา ผูกเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เราดึงสายต่างๆ ที่ระโยงระยางออก เราเลยมีมือกลมๆ เหมือนมือโดราเอมอน ไม่มีนิ้ว แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้หยิบจับอะไรอยู่แล้ว

สักพัก หมอก็เดินมา บอกว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี ได้ก้อนเนื้อเจ้าปัญหาส่งไปตรวจแล้ว ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ตอนนี้ นอนพักให้สบายใจได้ เราก็หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดเวลาที่อยู่ ICU 24 ชั่วโมง ก่อนจะได้กลับไปห้องปกติ

ตอนอยู่ ICU เรารู้สึกว่า มีของเหลวบางอย่างไหลอยู่แถวๆ หน้าผาก แต่เนื่องจากเราไม่มีมือ เลยไม่รู้ว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันเป็นจริงหรือเปล่า แล้วอะไรจะมาไหลอยู่ตรงหน้าผาก ถามพยาบาล ก็บอกว่า ไม่เห็นมีอะไร แต่พอให้ญาติเอากระจกมาให้ดู ก็เห็นว่า มีเลือดไหลนิดๆ กลางหน้าผาก โอ้โห ตกใจซิคะ เพราะแผลผ่าตัดอยู่หลังหัว เยื้องไปทางซ้าย แล้วไอ้เลือดไหลกลางหน้าผากนี่มันอะไร ถามไปถามมา ได้ความว่า เป็นรอยน็อต ที่หมอยึดหัวเอาไว้ไม่ให้ขยับตอนผ่าตัด ซึ่งเป็นแผลต่อมาอีกหลายวัน

ปัญหาใหญ่ในตอนนั้นคือ แผลอยู่ด้านหลังซ้าย ทำให้ต้องนอนตะแคงขวาตลอด เลยเมื่อยมาก ต้องกินยาคลายกล้ามเนื้อ และพอพยาบาลเอานวมออก ได้มือของตัวเองคืนมา ถึงได้รู้ว่า มีสายห้อยออกจากแผลผ่าตัด พร้อมกระปุกเลือดเล็กๆ ที่หมอให้น้ำ และเลือดไหลออกมาจากแผลต่ออีก 2 วันก่อน คนมาเยี่ยมแต่ละคนดูทำหน้าสยองนิดหน่อย ที่มีกระปุกเลือดไหลออกมาจากหัวล้านๆ ของเรา

รวมทั้งหมด นอนโรงพยาบาล 8 คืน อุแหม๋ ประกันให้เบิกแค่ 5 คืน เขียนแปะมาซะดิบดีว่า บริษัทประกันใช้วิจารณญาณแล้วว่า ผ่าตัดสมอง พึงนอนแค่ 5 คืนพอ ป๊าด...ด...

หลังจากออกจากโรงพยาบาล ต้องกินยากันชักต่อ และลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ 8 เดือนผ่านไป หมอให้หยุดยาได้

สิ่งที่ตามมาหลังการผ่าตัดคือ อาการความดันสูงที่เป็นมาหลายปี หายไป ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่อาจจะเป็นเพราะก้อนเนื้อนี้ ไปทำให้ความดันสูงกระมัง จากที่เราต้องกินยาลดความดันมาตลอด ตอนนี้ เลิกกินยาแล้ว ความดันปกติ เช่นเดียวกับอาการไมเกรน ที่เคยเป็นมานาน ก็หายแล้ว ตอนนี้ สุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

ดีใจ ที่ตัดสินใจผ่าตัด และมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยวาดภาพเอาไว้เลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่