สำหรับทริปนี้เราวางแผนกับแฟนมานานมาก เนื่องจากจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับได้ในราคาถูก ซึ่งแน่นนอน จองล่วงหน้าเป็นเวลานาน
เราจึงมีเวลาหาข้อมูล เตรียมตัวค่อนข้างนาน จึงอยากแบ่งปันข้อมูลให้เพื่อนๆ
การไปเขื่อนเชี่ยวหลานนั้น ไม่ยากเลย ไม่ต้องง้อทัวร์เลยก็ได้ แต่เราลองมาคำนวนดูแล้วเราไปกันแค่สองคน ถ้าเหมาเรือคงเสียหลายบาท(ขั้นต่ำ2,000บาท)แล้วเราก็ไม่ได้จำต้องประหยัดให้ถูกที่สุด เราอยากให้การไปเที่ยวของเราเป็นการพักผ่อนจริงๆไม่อยากต้องมานั่งเครียดว่าเกินงบนู่นนี่นั่น เราจึงตัดสินใจจองทัวร์กับบริษัทสยามคาตามารัน โปรแกรมทัวร์ของเรา2วัน1คืน 2,900 บาท/คน รวมค่าเรื่อไป/กลับ พักแพนางไพร อาหาร3มื้อ นั่งเรือไปชมเขาสามเกลอ ไปถ้ำปะการัง เป็นราคาที่พอรับได้ และเราได้ให้ทางบริษัทมารับที่สนามบิน เสียค่าเดินทางคนละ200บาท โดยรวมหลายคนอาจบอกว่าแพงไป แต่สิ่งที่เราได้รับ มันคุ้มมากเลย(อ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ แล้วจะรู้ว่าทำไม
22/3/60 เราตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง มาถึงสนามบินดอนเมืองตอนเกือบตีห้า(เครื่องออก7.15น.)จอดรถทิ้งไว้ที่สนามบิน(ค่าจอด250บาท/วัน)
เดินไปเชคอินที่เค้าเตอร์ air asia จนท.บอกว่าให้ไปเชคอินที่เครื่องคีย์ออส(เรียกแบบนี้เปล่าไม่รู้นะ)หน้าตาเป็นแบบนี้
สะดวกมากๆเราเลยปริ้นตัวทั้งขาไปและขากลับไว้ ขากลับได้ไม่ต้องไปต่อแถวเชคอิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซึ่งคิดถูกจริงๆ ขากลับที่สนามบินสุราษฯคนเยอะมาก ได้boarding pass แล้วก็เข้าไปที่เกต รอเวลาขึ้นเครื่อง 7.00 น. เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง ดูแอร์สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบินเรียบร้อย กัปตันก็ประกาศว่า "สภาพอากาศที่สนามบินสุราษฯ ท้องฟ้ามืดครึ้ม จึงต้องเลื่อนการเดินทางออกไปอีก15นาที"
(จริงๆ30นาทีเลยล่ะ) แล้วงัย ใครแครรรร ก็ชั้นง๊ายยย นัดกับบริษัททัวร์ให้มารับตอน 8.15 น. ตอนนั้นในหัวคิดๆ ถ้าเค้าเทเราล่ะ ต้องหารถไปท่าเรือเอง เท่าไหร่ว่ะ แพงแน่ แล้วถ้าเรื่อไม่รอล่ะ ต้องหาเรือไปเอง บานนนแน่ตรู เลยรีบเปิดสัญญาณโทรศัพท์ Line บอกเจ้าหน้าที่ที่ดีลกันไว้ เหมือนสวรรค์โปรด เค้าแจ้งว่า รอได้ค่ะ แล้วเค้าก็รอเราจริงๆ ถึงสนามบินสุราษฯประมาณ 9.00 น. เปิดโทรศัพท์ปุ๊บ ก็มีเสียเค้าพอทันที เป็นคุณจูนเจ้าหน้าที่ขอบริษัทสยามคาตามารันทีเราจองทัวร์ไว้ โทรให้ออกมารอที่หน้าสนามบิน ตรงจุดนัดหมาย แล้วเค้าก็เอารถกระบะมารับเราสองคนกับแฟน แถมให้แวะเข้าห้องน้ำ ซื้อของใน 7-11 อีกด้วย สอบถามคุณจูนแจ้งว่า ความจริงเราสองคนตกรถตกเรือแล้ว บริษัทจึงส่งคนออกมารับเอง เนื่องจากเราบอกเค้าล่วงหน้าว่าเครื่องดีเลย์ บริษัทเลยประสานงานหาเรือให้อีกลำ(very VIP ฮ่าๆ) จากนั้นคุณจูนก็มาส่งที่ท่าเรือ ตอนนั้นประมาณ 10.00 น.
เป็นเรือที่มีแต่เรากับแฟนสองคน จริงๆที่จองไว้เป็นเรือแบบจอยกรุ๊ป แต่ไม่รู้ว่าเรือคนอื่นเค้าไม่รอเรา หรือวันนี้เป็นวันธรรมดา ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรึเปล่า เรือทั้งลำจึงมีแค่เรากับแฟนสองคน 5555 ฟินนนนน ไปค่ะ เลิกเวิ่น แล้วไปขึ้นเรือกัน
แฟนเรานางฟินมาก ขอนั่งหัวเรือเลย ไม่กลัวร้อนละ
มองไปรอบๆ มีแต่น้ำกับฟ้า ฟ้าเป็นฟ้าจริงๆ อากาศดี แต่นี่แค่เพิ่งออกจากท่าเรื่อนะ เราฟินมากๆอ่ะ
ละอองน้ำกระเด็นมาประทะหน้า ได้หมด ถ้าฉดชื่นนนนนนน
ลืมบอกไป คนขับเรือของเราคือพี่โรจน์ซึ่งจะอยู่กับเราจนถึงตอนกลับเลย พี่เค้าขับเรือพาเรามาดูไฮไลท์ของเขื่อนก่อน
แทน แท่น แท๊นนนน เขาสามเกลอจร้าาาา
นางสวยจริงไรจริง เป็นภูเขาหินปูนสามลูกที่ลักษณะคล้ายๆกัน อยู่ด้วยกัน
สวยค่ะ ถ่ายรูปวนไป เรือเป็นของเรา ไม่ต้องแย่งกับใคร ไม่ต้องรีบ เหมือนเราได้ทิ้งเวลาไว้ที่ท่าเรือแล้ว ไม่ต้องนึกถึงมันเลย
อีกอยางสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี ไม่ต้องรีบอัพรูป ตอนเม้นใคร
ก็มีรูปคู่บ้างนิดนุงงงงงงง อิอิ
ถ่ายรูปจนหนำใจ กดไปร้อยได้มาสาม ฮ่าๆๆๆ พี่โรจน์ก็พาเราไปแพที่พัก
เราพักที่แพนางไพร เป็นแพของอุทยาน ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม
ข้อดีก็คือ อยู่ใกล้ที่สุด นั่งเรือแค่ 30 นาที วิวข้างหน้าเป็นเขาสามเกลอ(แต่ก็ไกลอยู่นะ มองไม่เห็นหรอก) อาหารอร่อย
และเป็นจุดที่มีปลานิลหางแดงเยอะที่สุด
ข้อเสียคือ ห้องน้ำไม่ค่อยสะอาด ที่นอนแค่พอนอนได้(แฟนบอกเจอแมลงสาป มันฝันป่าวว่ะ) กลางคืนร้อน กลางวันบางทีมีทัวร์มาดูปลานิลหางแดงทำให้คนพลุกพล่าน เสียงดัง
อันนี้สภาพห้องพัก แค่พอนอนได้จริงๆ
นางมายืนดูปลาหน้าแพที่พัก เยอะจริงๆ ที่นี่มีอาหารปลาขายด้วยนะ เป็นเมล็ดข้าวโพดแห้ง
เราซื้อมาสองถุง โยนเล่นกับปลาสนุกดี นางเชื่องมาก ให้กับมือก็ได้
นี่ไง เยอะจริงๆ โยนเมล็ดข้าวโพดไป1เมล็ด มากันทั้งฝูง
เก็บของแล้วก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ มีนิทรรศการของคุณสืบ นาคะเสถียร ที่ท่านได้ช่วยเหลือสัตว์ป่าในบริเวณนี้ ตอนที่เริ่มปล่อยน้ำเข้าเขื่อนใหม่ๆ อ่านดูแล้วน่าชื่นชมมาก เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ
เที่ยงครึ่ง เป็นเวลาอาหารกลางวันของที่นี่ ที่เห็นนี้กินกันแค่สองคนนะคะ หมดค่ะ หิวมาก ณ. จุด จุด นี้
กินข้าวเสร็จ พี่โรจน์บอกว่า บ่ายโมงครึ่ง จะพานั่งเรือ ไปชมถ้ำปะการัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้จริงๆแล้วใครขี้เกียจก็ไม่ต้องเลือกโปรแกรมนี้ก็ได้นะ ราคาทัวร์น่าจะลดไปอีก เพราะร้อนมาก ไม่มีอะไร เดินกว่าจะถึงถ้ำก็เหนื่อย หรือว่าเพราะส่วนตัวเราไม่ค่อยอินกับถ้ำๆไรพวกนี้ก็ไม่รุ
นั่งเรือออกมาประมาณ 15 นาที แล้วต้องเดินข้ามเขาเข้าไปอี๊กกกกก ร้อนก็ร้อน เหนื่อนก็เหนื่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เสียค่าเข้าด้วยนะ เท่าไหร่ไม่รู้ ทัวร์ออกให้หมด
เดินไปค่ะ อย่าบ่น เสียตังแล้ว ต้องไปให้คุ้ม
เดินข้ามเขามาแล้วก็จะเจอกันแอ่งน้ำแบบนี้ ต้องต่อแพไปอีกกว่าจะได้เข้าถ้ำ เจ้าหน้าทีบอกว่า น้ำที่เห็นซึมผ่านถ้ำเข้ามา
อะ!! ถ้ำ ก็มีหินงอกหินย้อย เจ้าหน้าที่คนเดิม บอกว่า หินพวกนี้นักวิจัยเอาไปศึกษาแล้วพบว่าโครงสร้างเหมือนกับหินปะการัง นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า "ถ้ำปะการัง" จบค่ะ กลับเถอะ ร้อนมากเลย
แพลักษณะแบบนี้แหละ ที่ต้องนั่งข้ามไปข้ามกลับ
นั่งเรือกลับที่พัก ร้อนมาก เหงื่อนี่อาบตัว อยากจะกระโดดลงน้ำจีๆ แต่ว่ายน้ำไม่เป็น END.
กลับมาถึงแพ แฟนเราก็ตาดี ไปเห็นว่ามีชาวบ้าน ขับเรือมาขายไอศครีมกะทิสด ถ้วยที่เห็นนี่ 40 บาทนาจา ให้เค้าเหอะ ค่าน้ำมัน ค่าตากแดดอีก
กินไอติมฟินๆริมน้ำไป นั่งเล่นกับปลา ว่ายน้ำไม่เป็นก็ขาเอาเท้าจุ่มน้ำสักหน่อยละกัน น้องปลาเชื่องมาก ไม่หนีเลย
แฟนเราทนไม่ไหว ขอกระโดดเล่นน้ำสักหน่อยๆ
รูปนี้แลกมาด้วยโทรศัพท์1เครื่อง พิเรน โทรศัพท์กันน้ำได้ แต่แกรลืมไปรึป่าวว่าซื้อมาปีกว่าแล้ว
นางเอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปใต้น้ำ สักพัก เครื่องรวนจร้าาาาา ดับ เปิดไม่ติด เลยต้องไปหาเจ้าที่ ขอเค้าแช่โทรศัพท์ในถังข้าวสาร1คืน นางเฟลเลย เสียดายของ พิเรนเองด้วย รุ่งเช้าไปเอาโทรศัพท์มาดู ใช้ได้เฉยๆ ทำเสียใจอีก อดซื้อเครื่องใหม่
พักผ่อนเสร็จก็ไปอาบน้ำ ออกมานั่งเล่นหน้าแพหลัก มีสนามหญ้าเทียมให้นั่งรับลม ชิวมากๆ
นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่น แฟนบอกว่าการไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นี่ก็ดีนะ ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น เรานั่งเปิดเพลงฟังชิวๆ เพลงท่อนนี้ก็ผ่านมา เข้ากับรรยากาศสุดๆ "ขอมีแค่ตัวฉันกับวันและเวลาว่างว่าง
จะอยู่กับเพลงเบาเบาและจิบเบียร์บางบาง
จะลืมเรื่องราววุ่นวายต่างต่าง
จะหลับจะฝันไปให้ไกลจนถึงดาวอังคาร
ขอความสุขเล็กเล็กไม่มากมาย
เป็นรางวัลให้ชีวิตที่วุ่นวาย
ขอพักผ่อนให้พร้อมกับวันต่อไป"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพลงวันสบาย วง อภิรมย์
ความรู้สึกตอนนี้เราเรียกมันว่าความสุขอย่างแท้จริง ไม่มีคนไข้ ไม่มีเชื้อโรค ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครตาย แค่หายใจเรายังหายใจได้ช้าลงเลย
18.30 น. ได้เวลาข้าวเย็น
นี่ก็กินกันแค่สองคน อร่อยมากกกกกก
กินข้าวเสร็จแล้วก็เกือบสองทุ่ม แฟนเรานางจะรอดูดาว แต่เราง่วงมากเลย นอนไปก็ร้อนไป ใครจะมาแนะนำพัดค่ะ น่าจะพาช่วยได้
ผ่านไปหนึ่งวัน เช้ารุ่งขึ้นเราตื่นประมาณ 6.00 น. เพราะพี่โรจน์คนขับเรือบอกให้ออกมาดูหมอกตอนเช้า
อากาศดีมากๆ สายหมอหลอยเคียงกับภูเขาหินปูน มองไปทางไหนก็สดชื่น
อาบน้ำล้างหน้า เก็บของ แล้วก็มากินข้าวเช้า 6.30 น.
ข้าวเช้าเป็นโจ๊กหมูด ใส่เรื่องเคียงเอาเองนะ
เช้านี้คนเยอะมาก มีทัวร์จากที่อื่น มาแวะถ่ายรูป ดูปลานิลหางแดง เรากับแฟนเลยรีบกินรีบกลับ
แต่ก่อนกลับ พอทัวร์น้อยลง ก็ต้องขอเก็บภาพสุดท้ายอีกสักหน่อย
ตั้งกล้องถ่ายเอง สนุกดีเหมือนกัน
8.00 น.ขึ้นเรือกลับ
กลับละ สัญญาว่าจะต้องกลับมาrefreshตัวเองที่นี่อีกแน่นนอน ได้พลังกลับไปเยอะจริงๆ
พี่โรจน์มาส่งขึ้นที่ท่าเดิม เราก็เดินตามทางมาเข้าห้องน้ำ เหมือนเป็นห้องน้ำที่เพิ่งทำใหม่ เข้าไปคุยกับน้องคนดูแลห้องน้ำ ว่าเราอยากเดินไปที่สันเขื่อน น้องบอกไกลนะ ให้เรามือMCของน้องไป โอ๊ยน่ารักสุดๆ เรากับแฟนเลยซื้อขนมมาฝากนางถุงนึง ใครไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานอย่าลืมไปใช้บริการห้องน้ำน้องเค้าได้นะสะอาดใช้ได้เลย
[CR] หน้าร้อน นอนแพ @ เขื่อนเชี่ยวหลาน
เราจึงมีเวลาหาข้อมูล เตรียมตัวค่อนข้างนาน จึงอยากแบ่งปันข้อมูลให้เพื่อนๆ
การไปเขื่อนเชี่ยวหลานนั้น ไม่ยากเลย ไม่ต้องง้อทัวร์เลยก็ได้ แต่เราลองมาคำนวนดูแล้วเราไปกันแค่สองคน ถ้าเหมาเรือคงเสียหลายบาท(ขั้นต่ำ2,000บาท)แล้วเราก็ไม่ได้จำต้องประหยัดให้ถูกที่สุด เราอยากให้การไปเที่ยวของเราเป็นการพักผ่อนจริงๆไม่อยากต้องมานั่งเครียดว่าเกินงบนู่นนี่นั่น เราจึงตัดสินใจจองทัวร์กับบริษัทสยามคาตามารัน โปรแกรมทัวร์ของเรา2วัน1คืน 2,900 บาท/คน รวมค่าเรื่อไป/กลับ พักแพนางไพร อาหาร3มื้อ นั่งเรือไปชมเขาสามเกลอ ไปถ้ำปะการัง เป็นราคาที่พอรับได้ และเราได้ให้ทางบริษัทมารับที่สนามบิน เสียค่าเดินทางคนละ200บาท โดยรวมหลายคนอาจบอกว่าแพงไป แต่สิ่งที่เราได้รับ มันคุ้มมากเลย(อ่านต่อไปเรื่อยๆนะคะ แล้วจะรู้ว่าทำไม
22/3/60 เราตื่นตั้งแต่ตีสามครึ่ง มาถึงสนามบินดอนเมืองตอนเกือบตีห้า(เครื่องออก7.15น.)จอดรถทิ้งไว้ที่สนามบิน(ค่าจอด250บาท/วัน)
เดินไปเชคอินที่เค้าเตอร์ air asia จนท.บอกว่าให้ไปเชคอินที่เครื่องคีย์ออส(เรียกแบบนี้เปล่าไม่รู้นะ)หน้าตาเป็นแบบนี้
สะดวกมากๆเราเลยปริ้นตัวทั้งขาไปและขากลับไว้ ขากลับได้ไม่ต้องไปต่อแถวเชคอิน[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ได้boarding pass แล้วก็เข้าไปที่เกต รอเวลาขึ้นเครื่อง 7.00 น. เจ้าหน้าที่ก็เรียกขึ้นเครื่อง ดูแอร์สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์บนเครื่องบินเรียบร้อย กัปตันก็ประกาศว่า "สภาพอากาศที่สนามบินสุราษฯ ท้องฟ้ามืดครึ้ม จึงต้องเลื่อนการเดินทางออกไปอีก15นาที"(จริงๆ30นาทีเลยล่ะ) แล้วงัย ใครแครรรร ก็ชั้นง๊ายยย นัดกับบริษัททัวร์ให้มารับตอน 8.15 น. ตอนนั้นในหัวคิดๆ ถ้าเค้าเทเราล่ะ ต้องหารถไปท่าเรือเอง เท่าไหร่ว่ะ แพงแน่ แล้วถ้าเรื่อไม่รอล่ะ ต้องหาเรือไปเอง บานนนแน่ตรู เลยรีบเปิดสัญญาณโทรศัพท์ Line บอกเจ้าหน้าที่ที่ดีลกันไว้ เหมือนสวรรค์โปรด เค้าแจ้งว่า รอได้ค่ะ แล้วเค้าก็รอเราจริงๆ ถึงสนามบินสุราษฯประมาณ 9.00 น. เปิดโทรศัพท์ปุ๊บ ก็มีเสียเค้าพอทันที เป็นคุณจูนเจ้าหน้าที่ขอบริษัทสยามคาตามารันทีเราจองทัวร์ไว้ โทรให้ออกมารอที่หน้าสนามบิน ตรงจุดนัดหมาย แล้วเค้าก็เอารถกระบะมารับเราสองคนกับแฟน แถมให้แวะเข้าห้องน้ำ ซื้อของใน 7-11 อีกด้วย สอบถามคุณจูนแจ้งว่า ความจริงเราสองคนตกรถตกเรือแล้ว บริษัทจึงส่งคนออกมารับเอง เนื่องจากเราบอกเค้าล่วงหน้าว่าเครื่องดีเลย์ บริษัทเลยประสานงานหาเรือให้อีกลำ(very VIP ฮ่าๆ) จากนั้นคุณจูนก็มาส่งที่ท่าเรือ ตอนนั้นประมาณ 10.00 น.
เป็นเรือที่มีแต่เรากับแฟนสองคน จริงๆที่จองไว้เป็นเรือแบบจอยกรุ๊ป แต่ไม่รู้ว่าเรือคนอื่นเค้าไม่รอเรา หรือวันนี้เป็นวันธรรมดา ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวรึเปล่า เรือทั้งลำจึงมีแค่เรากับแฟนสองคน 5555 ฟินนนนน ไปค่ะ เลิกเวิ่น แล้วไปขึ้นเรือกัน
แฟนเรานางฟินมาก ขอนั่งหัวเรือเลย ไม่กลัวร้อนละ
มองไปรอบๆ มีแต่น้ำกับฟ้า ฟ้าเป็นฟ้าจริงๆ อากาศดี แต่นี่แค่เพิ่งออกจากท่าเรื่อนะ เราฟินมากๆอ่ะ
ละอองน้ำกระเด็นมาประทะหน้า ได้หมด ถ้าฉดชื่นนนนนนน
ลืมบอกไป คนขับเรือของเราคือพี่โรจน์ซึ่งจะอยู่กับเราจนถึงตอนกลับเลย พี่เค้าขับเรือพาเรามาดูไฮไลท์ของเขื่อนก่อน
แทน แท่น แท๊นนนน เขาสามเกลอจร้าาาา
นางสวยจริงไรจริง เป็นภูเขาหินปูนสามลูกที่ลักษณะคล้ายๆกัน อยู่ด้วยกัน
สวยค่ะ ถ่ายรูปวนไป เรือเป็นของเรา ไม่ต้องแย่งกับใคร ไม่ต้องรีบ เหมือนเราได้ทิ้งเวลาไว้ที่ท่าเรือแล้ว ไม่ต้องนึกถึงมันเลย
อีกอยางสัญญาณโทรศัพท์ไม่มี ไม่ต้องรีบอัพรูป ตอนเม้นใคร
ก็มีรูปคู่บ้างนิดนุงงงงงงง อิอิ
ถ่ายรูปจนหนำใจ กดไปร้อยได้มาสาม ฮ่าๆๆๆ พี่โรจน์ก็พาเราไปแพที่พัก
เราพักที่แพนางไพร เป็นแพของอุทยาน ไม่มีแอร์ ไม่มีพัดลม
ข้อดีก็คือ อยู่ใกล้ที่สุด นั่งเรือแค่ 30 นาที วิวข้างหน้าเป็นเขาสามเกลอ(แต่ก็ไกลอยู่นะ มองไม่เห็นหรอก) อาหารอร่อย
และเป็นจุดที่มีปลานิลหางแดงเยอะที่สุด
ข้อเสียคือ ห้องน้ำไม่ค่อยสะอาด ที่นอนแค่พอนอนได้(แฟนบอกเจอแมลงสาป มันฝันป่าวว่ะ) กลางคืนร้อน กลางวันบางทีมีทัวร์มาดูปลานิลหางแดงทำให้คนพลุกพล่าน เสียงดัง
อันนี้สภาพห้องพัก แค่พอนอนได้จริงๆ
นางมายืนดูปลาหน้าแพที่พัก เยอะจริงๆ ที่นี่มีอาหารปลาขายด้วยนะ เป็นเมล็ดข้าวโพดแห้ง
เราซื้อมาสองถุง โยนเล่นกับปลาสนุกดี นางเชื่องมาก ให้กับมือก็ได้
นี่ไง เยอะจริงๆ โยนเมล็ดข้าวโพดไป1เมล็ด มากันทั้งฝูง
เก็บของแล้วก็ออกมาเดินเล่นรอบๆ มีนิทรรศการของคุณสืบ นาคะเสถียร ที่ท่านได้ช่วยเหลือสัตว์ป่าในบริเวณนี้ ตอนที่เริ่มปล่อยน้ำเข้าเขื่อนใหม่ๆ อ่านดูแล้วน่าชื่นชมมาก เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่องจริงๆ
เที่ยงครึ่ง เป็นเวลาอาหารกลางวันของที่นี่ ที่เห็นนี้กินกันแค่สองคนนะคะ หมดค่ะ หิวมาก ณ. จุด จุด นี้
กินข้าวเสร็จ พี่โรจน์บอกว่า บ่ายโมงครึ่ง จะพานั่งเรือ ไปชมถ้ำปะการัง[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นั่งเรือออกมาประมาณ 15 นาที แล้วต้องเดินข้ามเขาเข้าไปอี๊กกกกก ร้อนก็ร้อน เหนื่อนก็เหนื่อย[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เดินไปค่ะ อย่าบ่น เสียตังแล้ว ต้องไปให้คุ้ม
เดินข้ามเขามาแล้วก็จะเจอกันแอ่งน้ำแบบนี้ ต้องต่อแพไปอีกกว่าจะได้เข้าถ้ำ เจ้าหน้าทีบอกว่า น้ำที่เห็นซึมผ่านถ้ำเข้ามา
อะ!! ถ้ำ ก็มีหินงอกหินย้อย เจ้าหน้าที่คนเดิม บอกว่า หินพวกนี้นักวิจัยเอาไปศึกษาแล้วพบว่าโครงสร้างเหมือนกับหินปะการัง นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า "ถ้ำปะการัง" จบค่ะ กลับเถอะ ร้อนมากเลย
แพลักษณะแบบนี้แหละ ที่ต้องนั่งข้ามไปข้ามกลับ
นั่งเรือกลับที่พัก ร้อนมาก เหงื่อนี่อาบตัว อยากจะกระโดดลงน้ำจีๆ แต่ว่ายน้ำไม่เป็น END.
กลับมาถึงแพ แฟนเราก็ตาดี ไปเห็นว่ามีชาวบ้าน ขับเรือมาขายไอศครีมกะทิสด ถ้วยที่เห็นนี่ 40 บาทนาจา ให้เค้าเหอะ ค่าน้ำมัน ค่าตากแดดอีก
กินไอติมฟินๆริมน้ำไป นั่งเล่นกับปลา ว่ายน้ำไม่เป็นก็ขาเอาเท้าจุ่มน้ำสักหน่อยละกัน น้องปลาเชื่องมาก ไม่หนีเลย
แฟนเราทนไม่ไหว ขอกระโดดเล่นน้ำสักหน่อยๆ
รูปนี้แลกมาด้วยโทรศัพท์1เครื่อง พิเรน โทรศัพท์กันน้ำได้ แต่แกรลืมไปรึป่าวว่าซื้อมาปีกว่าแล้ว
นางเอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปใต้น้ำ สักพัก เครื่องรวนจร้าาาาา ดับ เปิดไม่ติด เลยต้องไปหาเจ้าที่ ขอเค้าแช่โทรศัพท์ในถังข้าวสาร1คืน นางเฟลเลย เสียดายของ พิเรนเองด้วย รุ่งเช้าไปเอาโทรศัพท์มาดู ใช้ได้เฉยๆ ทำเสียใจอีก อดซื้อเครื่องใหม่
พักผ่อนเสร็จก็ไปอาบน้ำ ออกมานั่งเล่นหน้าแพหลัก มีสนามหญ้าเทียมให้นั่งรับลม ชิวมากๆ
นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่น แฟนบอกว่าการไม่มีสัญญาณโทรศัพท์นี่ก็ดีนะ ทำให้เราได้คุยกันมากขึ้น เรานั่งเปิดเพลงฟังชิวๆ เพลงท่อนนี้ก็ผ่านมา เข้ากับรรยากาศสุดๆ "ขอมีแค่ตัวฉันกับวันและเวลาว่างว่าง
จะอยู่กับเพลงเบาเบาและจิบเบียร์บางบาง
จะลืมเรื่องราววุ่นวายต่างต่าง
จะหลับจะฝันไปให้ไกลจนถึงดาวอังคาร
ขอความสุขเล็กเล็กไม่มากมาย
เป็นรางวัลให้ชีวิตที่วุ่นวาย
ขอพักผ่อนให้พร้อมกับวันต่อไป"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความรู้สึกตอนนี้เราเรียกมันว่าความสุขอย่างแท้จริง ไม่มีคนไข้ ไม่มีเชื้อโรค ไม่ต้องรีบ ไม่มีใครตาย แค่หายใจเรายังหายใจได้ช้าลงเลย
18.30 น. ได้เวลาข้าวเย็น
นี่ก็กินกันแค่สองคน อร่อยมากกกกกก
กินข้าวเสร็จแล้วก็เกือบสองทุ่ม แฟนเรานางจะรอดูดาว แต่เราง่วงมากเลย นอนไปก็ร้อนไป ใครจะมาแนะนำพัดค่ะ น่าจะพาช่วยได้
ผ่านไปหนึ่งวัน เช้ารุ่งขึ้นเราตื่นประมาณ 6.00 น. เพราะพี่โรจน์คนขับเรือบอกให้ออกมาดูหมอกตอนเช้า
อากาศดีมากๆ สายหมอหลอยเคียงกับภูเขาหินปูน มองไปทางไหนก็สดชื่น
อาบน้ำล้างหน้า เก็บของ แล้วก็มากินข้าวเช้า 6.30 น.
ข้าวเช้าเป็นโจ๊กหมูด ใส่เรื่องเคียงเอาเองนะ
เช้านี้คนเยอะมาก มีทัวร์จากที่อื่น มาแวะถ่ายรูป ดูปลานิลหางแดง เรากับแฟนเลยรีบกินรีบกลับ
แต่ก่อนกลับ พอทัวร์น้อยลง ก็ต้องขอเก็บภาพสุดท้ายอีกสักหน่อย
ตั้งกล้องถ่ายเอง สนุกดีเหมือนกัน
8.00 น.ขึ้นเรือกลับ
กลับละ สัญญาว่าจะต้องกลับมาrefreshตัวเองที่นี่อีกแน่นนอน ได้พลังกลับไปเยอะจริงๆ
พี่โรจน์มาส่งขึ้นที่ท่าเดิม เราก็เดินตามทางมาเข้าห้องน้ำ เหมือนเป็นห้องน้ำที่เพิ่งทำใหม่ เข้าไปคุยกับน้องคนดูแลห้องน้ำ ว่าเราอยากเดินไปที่สันเขื่อน น้องบอกไกลนะ ให้เรามือMCของน้องไป โอ๊ยน่ารักสุดๆ เรากับแฟนเลยซื้อขนมมาฝากนางถุงนึง ใครไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานอย่าลืมไปใช้บริการห้องน้ำน้องเค้าได้นะสะอาดใช้ได้เลย