[CR] ครูอาสากลางน้ำ:คิดถึงวิทยารุ่นที่ 2 "ตอน : มาวัดกันไหมใครคิดถึงมากกว่ากัน ?"@ร.ร.บ้านก้อจัดสรร สาขาเรือนแพ จ.ลำพูน

“มาวัดกันไหม ใครคิดถึงมากกว่ากัน ?”

นึกไม่ออกเท่าไหร่ถ้าต้องมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แบบจริงจังถาวรเลย มันจะเป็นยังไง ?
แสงไฟก็ใช่ว่าจะมี  มีบ้างในวันที่แดดเปรี้ยง มีกำลังมากพอที่จะผลิตไฟฟ้า  สัญญาณโทรศัพท์คืออะไรไม่รู้จัก
ข่าวสารโลกภายนอกหรอ ลืมไปได้เลย

                นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ ไม่รู้ว่ามาเพราะความคิดถึง หรือว่ามาเพราะอะไร   ไม่มีความสะดวกสบายเลยซักนิด
ไหนจะภาระกิจที่ค้ำคอ รอการสะสางอยู่   ผมคงไม่ต้องพูดถึงพื้นฐานของโรงเรียนนี้มากเท่าไหร่เพราะผมได้พูดไปตั้งแต่กระทู้ที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ << หากใครยังไม่อ่านลองย้อนกลับไปอ่านได้ครับ
                    ครั้งนี้ใกล้จะฤดูร้อนแล้ว บรรยากาศสองข้างทางต้นไม้ยืนต้นตาย และผมก็สังเกตุเห็นไฟไหม้ป่าเป็นทางยาวเลยทีเดียว
ต่างจากตอนที่ผมมาเมื่อปีที่แล้ว รุ่นที่ 1 ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี เพราะตอนนั้นยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว

                 ก่อนเดินทางเข้าสู่แก่งก้อซึ่งเป็นท่าเรือ สำหรับนั่งเรือไปโรงเรียนต้องผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติแม่ปิงก่อน  
ซึ่งพอถึงด่านตรวจเจ้าหน้าที่จะถามว่าเข้าไปทำอะไร ผมเลยบอกว่ามาโรงเรียนบ้านก้อจัดสรร สาขาเรือนแพครับ ไปทำกิจกรรมกับเด็กๆ
เจ้าหน้าที่ก็คุยกับครูมาดแปบนึงก็เปิดทางให้เข้าไป ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยานที่คอยอำนวยความสะดวกให้นะครับผม

                 พอถึงท่าเรือ ผมสังเกตุเห็นว่าน้ำลงไปเยอะเลยทีเดียวและรถของเราก็ไม่สามารถไปส่งถึงได้ เราต้องเดินกัน
ระยะทางประมาณ 500 เมตรและหลังจากนั้นก็จะมีเรือที่ผมติดต่อไว้มารอรับ  ทุกคนต่างช่วยกันขนของลงเรือกัน

               สำหรับกระทู้นี้ มันเป็นความรู้สึกและสิ่งที่ผมได้รับจากการกลับมาที่นี่อีกครั้ง  เสน่ห์ที่ดึงดูดทำให้ผมอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง
หาใช่ธรรมชาติรอบตัวเพียงอย่างเดียว  ไม่ใช่แสงแดดอ่อนๆในยามเช้า ไม่ใช่ละอองหมอกที่ลอยเหนือผิวน้ำ
ไม่ใช่อากาศที่เย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งพัดลมหรือแอร์ แต่เป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของเด็ก ๆที่นี่ต่างหาก ผมไม่รู้ว่า
"ระหว่างผมกับเด็ก ๆ ใคร ? คิดถึงมากกว่ากัน"

               ระหว่างสองข้างทางที่ผมนั่งเรือเข้าไป ผมพยายามถามตัวเองหลายครั้งว่า...."ผมต้องการอะไรจากที่นี่
ทำไมผมต้องกลับมาอีกครั้ง"ทั้งที่ระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะหาเวลามาได้  
ทำไมผมต้องพยายามเคลียร์งานต่างๆมากมายให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัด เพื่อการเดินทางในครั้งนี้โดยเฉพาะ

“สวัสดีครับพี่....... ”เสียงทักทายและสำเนียงคุ้นหู แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นใคร
ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ก้าวแรกที่ผมก้าวลงจากเรือ ผมก็โดนกระโดดกอดจากข้างหลัง มันทำให้ผมยิ้มและไล่เตะตูดเจ้าเด็กอ้วนเป็นการแก้เขิน

“น้องฟิล์มทำไมวันนี้ถึงมาโรงเรียนเช้าจัง ครั้งที่แล้วพี่เห็นเรามาตั้ง 4 โมงเย็น”
“ก็ครั้งที่แล้วผมไม่รู้ว่าพวกพี่จะมานี่ครับ ครั้งนี้ผมรู้ว่าพวกพี่จะมา ผมเลยให้แม่มาส่งตั้งแต่ตี 5”
ถึงตรงนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะว่า......ผมหรือน้องที่คิดถึงมากกว่ากัน

             ครั้งนี้ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมากับเพื่อนๆ 20 กว่าคน ต่างอายุ ต่างอาชีพ และต่างจังหวัดทั่วประเทศไทย
จุดประสงค์หลักของเราก็คือ การสอนให้เด็กๆใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข รวมไปถึงการนำความรู้ที่ได้รับสามารถ
นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้

            ผมพยายามนึกถึงตอนที่ผมใช้ชีวิตอยู่บนเรือนแพ ว่าผมได้อะไรบ้าง ผมอยากเขียนออกมาให้ได้มากที่สุด
แต่ตัวหนังสือคงไม่สามารถบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความรู้สึกในขณะนั้นได้

           การใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย แต่มันก็คงไม่ได้เรียบง่ายสำหรับพวกเราเท่าไหร่นัก  การตื่นแต่เช้าเพื่อมาทำกับข้าว
เตรียมเคารพธงชาติ และการทำกับข้าวทานเองในทุกๆมื้อ  มันอาจจะดูไม่ค่อยถนัดและยากเกินไปสำหรับคนที่ใช้ชีวิต
แบบเร่งรีบอย่างพวกผม  การเก็บจานข้าวมาล้างกันเอง และบริเวณล้างจานก็ไม่ได้สะดวกมากนัก
จะมายืนรวมกันเยอะๆก็ไม่ได้เดี๋ยวแพจม

          การทานข้าวก็เช่นกัน ที่นี่มีกฎก่อนทานต้องมีการท่องบทขอบคุณข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง...อย่ากินทิ้งขว้าง
หลายคนอาจจะเคยได้ยินบทนี้อยู่บ่อยๆใช่ไหมครับ ผมจำได้ล่าสุดก็คงจะเป็นตอนผมมารุ่นที่ 1 และก็ตอนเป็นเด็กๆประถมเลยแหละ


               ที่นี่มาเหมือนมาชาร์จแบตร่างกายและจิตใจ ในช่วงที่ว่างจากการสอนและทำกิจกรรมกับเด็กๆ ผมสังเกตเห็นเพื่อนๆหลายคน
มีมุมของตัวเอง บางคนหลบมุมนั่งอ่านหนังสือ บางคนจับกลุ่มนั่งเล่นกีต้าร์ร้องเพลง  แม้เสียงจะดังโหวกเหวกมากแค่ไหนก็ตาม
ก็ไม่มีบ้านข้างๆปาขวดมาใส่แน่นอน 5555+  บางกลุ่มก็เล่นปิงปอง  ตีลูกออกจากโต๊ะแล้วรับไม่ได้ทีไร
ก็ต้องวิ่งลงไปเก็บลูกปิงปองในน้ำทุกที  เป็นการออกกำลังกายอย่างดี ได้ทั้งปิงปองและวิ่งไปในตัว

       ในแต่ละวันพวกผมจะแบ่งชั่วโมงในการสอนหนังสือกัน ซึ่งมีเด็กๆทั้งหมด 6 คน ในแต่ละวิชาพวกเราจะสอนกันแบบตัวต่อตัว
ดังนี้ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคมศึกษา สังคมศึกษา ศิลปะ รวมไปถึงวิชาแนะแนว และสอนการใช้ชีวิตอย่างไร
ให้มีความสุข ความรู้ทั่วไปที่เด็กๆจะสามารถนำเอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เฉลี่ยวิชาการจะอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง/วัน
ตลอดระยะเวลา 4 วันที่เราไปทำกิจกรรมที่นั่น


                ที่นี่ 16.00 น. เด็กๆทุกคนจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า และทำเวรที่ได้รับมอบหมาย โดยที่นี่มีกฎที่ว่า
หากทำเวรไม่เสร็จจะไม่ได้เล่นน้ำ  น้องบอยตัวเล็กสุดมีหน้าที่เพียงเปิดน้ำใส่ถังให้เต็ม  
ผมแอบเห็นน้องบอยลงไปลอยคออยู่กลางน้ำกับพี่ๆ  น้องฟิล์มวิ่งมาตะโกนถามน้องบอยว่าทำเวรหรือยัง ?
น้องบอยรีบขึ้นจากน้ำทันที เหมือนกำลังรู้วว่าตัวเองลืมทำหน้าที่ของตน

                 ต้องขอขอบคุณครูมาดและครูน้อยที่ช่วยอบรมและสั่งสอนเด็ก ๆที่ดี ให้เป็นเด็กที่น่ารักและมีความรับผิดชอบมากขนาดนี้  
สมัยที่ผมยังเป็นเด็กวัยเพียง 5 ขวบ อายุเท่ากันกับน้องบอย ผมยังไม่รู้เลยซ้ำว่าตอนนั้นผมต้องทำอะไรบ้าง  
เหมือนหน้าที่ของผมตอนนั้นมีเพียงกิน นอน และเล่นเท่านั้นเอง


.

หมดโควต้าตัวอักษรเดี๋ยวมาต่อในคอมเม้นนะครับ
ชื่อสินค้า:   อาสาสมัคร,ลำพูน,ยี่สิบสี่จุดเจ็ด,คิดถึงวิทยา,โรงเรียนบ้านก้อจัดสรร
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่